LET LOVE LEAD THE WAY OF LIFE

LET LOVE LEAD THE WAY OF LIFE

ให้ความรักความชอบ นำพาชีวิต - บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์

นักธุรกิจหนุ่ม ผู้มากความสามารถ หลายคนคุ้นเคยกับเขาในบทบาทนักร้องคุณภาพระดับประเทศ ชายผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นเจ้าพ่อดิสโก้แห่งเมืองไทย “บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์” วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของเขา ไม่ว่าจะเป็นความรักในสิ่งที่ทำ และมาดของนักธุรกิจที่แฟนเพลงหลายคนไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

บทบาทการทำงานของบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ตอนนี้เป็นยังไง?
“ปัจจุบันจริง ๆ ก็ทำอยู่หลายอาชีพพอสมควร ก็แน่นอนครับเป็นนักร้อง ศิลปิน โปรดิวเซอร์ ทำหลากหลายเกี่ยวกับเรื่องเพลง แล้วก็มีเรื่องธุรกิจของที่บ้าน โดยผมเองก็มาดำรงตำแหน่งเป็นประธานบริหารของเมโทรออโต้เฮ้าส์, เมโทรฮอนด้า ออโต้โมบิล ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เมอซิเดส เบ้นซ์ แล้วก็ฮอนด้าครับ นอกจากนั้นก็เมื่อ 3 ปีที่แล้วมาเริ่มธุรกิจใหม่อีกอันนึง เป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ ชื่อ The Grove อยู่แถว ๆ หทัยราษฏร์ ต่อเนื่องมาทำร้านอาหารอีก 2 ร้าน Lambic Eatery กับ Shab Shab Shabu แล้วก็มีทำ Ofce Building ชื่อตึกมหานครยิปซั่มครับ ประมาณนี้

“ส่วนเรื่องของบทบาท จริง ๆ เวลาที่ผมทำงาน ผมก็จะเลือกงานที่ตัวเองรัก เพราะผมคิดว่า ถ้าเรารักในงานที่เราทำ เราจะทำออกมาได้อย่างธรรมชาติ ออกมาได้ดี เราจะรัก จะใส่ใจมัน ทำให้สิ่งที่เรารักประสบความสำเร็จให้ได้ เพราะฉะนั้นอย่างที่บอกว่า วิธีการทำงาน ทำยังไง ก็เลือกที่จะรักมัน ผมคิดว่าเราจะทำออกมาได้เป็นธรรมชาติ

“หลังจากที่เราไม่ได้ทำโตโยต้าในกรุงเทพฯ จริง ๆ แล้วก็ยังเหลือโตโยต้าภาคกลางอยู่ ซึ่งกลายเป็นภาระหน้าที่มันมากขึ้น เพราะว่าตัวผมเองอย่างที่บอก เป็น CEO ของหลาย ๆ บริษัทที่ต้องรับผิดชอบ ฉะนั้นความรับผิดชอบมันมีสูงมากขึ้น เวลาที่จะแบ่งมาร้องเพลงมันเลยน้อยลง เพราะว่าภาระหน้าที่มันเยอะขึ้น เรามีทีมงานที่ต้องดูแลมากขึ้น เรามีปัญหาที่มันเกิดขึ้นกับงานมากขึ้น มันเลยแบ่งเวลามาร้องเพลงได้น้อยลงไปเรื่อย ๆ แต่ ณ ตอนนี้ผมอยากจะกลับมาทำดนตรีอย่างเต็มตัว”

ในฐานะนักธุรกิจ คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง?
“ผมว่ามันเป็นการเริ่มต้นทำธุรกิจมากกว่า ความสำเร็จมันวัดกันที่ตรงไหนเท่านั้นเอง ขึ้นอยู่กับว่าเราพอใจกับจุดไหน แต่ผมมองว่าถ้าคิดว่าตัวเราประสบความสำเร็จแล้ว การพัฒนาตัวเองคงจะไม่ค่อยมี ฉะนั้นถ้าหากเราเริ่มสร้างมันไปเรื่อย ๆ เริ่มทำ เติบโต พัฒนาไปกับมันเรื่อย ๆ มันคงไม่มีวันที่เราคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จ เพราะธุรกิจมันก็ต้องเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ชีวิตมันก็ต้องเดินหน้าต่อไป นั่นแหละครับถ้าเราสนุกกับมัน มีความสุขกับมันเท่านั้นก็พอ จริง ๆ ผมเองยังมีหลาย ๆ อย่างที่อยากทำในชีวิตแต่ยังไม่ได้ทำ ก็ต้องหาโอกาสและเวลาที่เหมาะสม อีกงานนึงที่ชอบและใฝ่ฝันมาตลอด คือผมอยากเป็นนักโบราณคดี ไอดอลก็มาจากนักโบราณคดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพวกอารายธรรมโบราณ เรื่องของสัตว์ต่าง ๆ เรื่องของพืช ของดาราศาสตร์ ซึ่งทุกอย่างก็เป็นสิ่งที่เราชอบ แต่การเป็นนักโบราณคดี ผมคิดว่ามันต้องเสียสละในหลาย ๆ เรื่อง หนึ่งคือเรื่องเงินแน่นอน เพราะชีวิตเราต้องไปอยู่กับไซต์งาน ต้องไปขุด ต้องไปหา ทำรีเซิร์จอะไรต่าง ๆ สิบปี ยี่สิบปีก็ยังไม่จบ เงินต่าง ๆ ถ้าเราหาสปอนเซอร์ไม่ได้เราก็ต้องลงทุนเอง ในการที่จะซัพพอร์ตให้เรามีชีวิตอยู่กับสิ่งที่เรารักได้

“อีกอย่างหนึ่งผมว่าเวลาที่ให้ครอบครัวด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องอยู่กับงานอย่างเดียว คือเราต้องมีความสุขและมีรายได้พอสมควรที่จะใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองอยากจะทำ เรื่องโบราณคดีก็เป็นความฝัน จริงหรือเปล่าอันนั้นยังไม่รู้ ก็หวังว่าสักวันนึงอาจจะได้ทำอะไรที่ตัวเองรักอีกอย่างหนึ่งเท่านั้นเองครับ”

การเป็นทั้งศิลปินและนักธุรกิจ ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร?
“มันแตกต่างกันเยอะนะ การเป็นศิลปินกับการเป็นนักธุรกิจ แต่ผมคิดว่ามันอยู่บนพื้นฐานของอะไรที่คล้าย ๆ กันอยู่บางอย่าง การเป็นศิลปินเราผลิตงานศิลปะออกมา สุดท้ายเราก็ต้องมาเล่นคอนเสิร์ตคือการไปถ่ายทอดศิลปะของเรา มันก็คือเซอร์วิสอย่างหนึ่ง ผมทำงานเกี่ยวกับรถยนต์ เรามีโปรดักส์ที่จะมาขายให้ลูกค้า สิ่งที่เราต้องมันก็คือการเซอร์วิสนี่แหล่ะ คือเราขายรถไปแล้วทำยังไงให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจมากที่สุด จะบริการยังไงให้ลูกค้ารู้สึกดีและบอกต่อให้เพื่อน ๆ หรือครอบครัวเค้ากลับมาซื้อและอยู่กับเราได้อย่างมีความสุข

“เพราะฉะนั้นผมคิดว่ามันอยู่ที่พื้นฐานของการทำ CRM (Customer Retention Management) และทำยังไงให้ลูกค้าประทับใจ กลับมาดูคอนเสิร์ตเราอีกหรือกลับมาซื้อรถเราอีก ผมเป็นคนที่มีความสุขกับการทำอาชีพการบริการ เพราะว่าผมชอบอยู่กับคน ผมชอบเห็นคนมีความสุข ผมร้องเพลงแล้วคนยิ้ม คนร้องเพลงตามคนปรบมือให้ มันคือความสุขที่ผมได้รับ

“การที่ผมทำร้านอาหาร ผมทำอาหารออกมาจานนึง แล้วได้เห็นคนทานอาหาร ถ่ายรูป ยิ้ม บอกว่าอร่อย นั่นคือความสุขที่ผมได้รับจากลูกค้า รถยนต์ก็เหมือนกัน การซื้อรถยนต์ไปแล้วได้รับบริการที่ดี ไปอีเว้นท์กับเรา ไปแรลลี่กับเราแล้วกลับมาบอกว่า เค้าประทับใจในบริการที่เรามอบให้ มันก็คือความสุขที่เราได้รับจากงานที่ทำ มันก็คือความสุขทั้งสามอย่าง สามประเภท ฉะนั้นผมคิดว่ารากฐานสุดท้ายเนี่ยอยู่ที่หัวใจของการบริการ นั่นคือสิ่งที่ผมชอบ และโชคดีที่เราได้มาทำในสิ่งที่เรารักครับ”

บทบาทนักธุรกิจ ศิลปิน รวมถึงผู้บริหาร ตัวตนจริง ๆ ของบุรินทร์ เป็นแบบไหน และจัดสรรเวลาอย่างไร?
“ก็เป็นอย่างที่เห็นเลยครับ ผมมีความสุขกับสิ่งที่ผมทำและก็ไม่เคยเสแสร้ง หรือว่าไม่เคยดัดแปลงตัวเองให้เป็นอย่างอื่น จากวันแรกเลยที่มาร้องเพลง ตอนนั้นมีความงงอยู่เหมือนกันว่าเอ้ย! เราจะทำยังไงให้เราเป็นศิลปินที่ดี ในวันแรกตอนนั้นก็ยังทำงานเป็นนักธุรกิจ ก็เหยียบอยู่สองขา ใส่สองหมวก ฉะนั้นผมคิดว่าสุดท้ายเนี่ยเราต้องให้ใจกับสิ่งที่เราทำ เราต้องรักในสิ่งที่เราทำ เหมือนกลับมาเรื่องเดิม ก็พอเราให้ใจพอเรารักมันเนี่ยมันจะออกมาจากธรรมชาติของตัวเอง ก็คิดอยู่นานว่าเราต้องทำยังไง จะฟอร์มยังไงให้คนสนุก สุดท้ายผมก็คิดว่าเราต้องเป็นตัวเอง พอเป็นตัวเองทุก ๆ อย่างก็เป็นธรรมชาติ เป็นอย่างนี้มาสิบกว่าปี ก็มีความสุขมาตลอด

“ส่วนเรื่องของการแบ่งเวลา ถามว่าแบ่งยากมั้ย แบ่งยากมาก แบ่งยากมาก ๆ แต่มันแบ่งอย่างนี้มาสิบกว่าปีละ เพราะฉะนั้นมันก็เริ่มถือว่าเป็นความเคยชิน มันก็เริ่มจากการที่เรา คือช่วงที่เราวุ่น ๆ เนี่ย ผมไม่มีวันหยุด แม็กซิมั่มเบรคที่สุดคือ 60 กว่าวัน ไม่มีวันหยุดเลย ทุกวันมีการทำงานหมด เช้าเข้าออฟฟิศ เข้าประมาณสามที่ ตอนเย็นเข้าไปคอมมิวนิตี้มอล์ ตอนกลางคืนออกมาร้องเพลง กลับบ้านตีสามตีสี่ใช่มั้ยครับ ตื่นเช้ามาก็เป็นลูปเดิม คือถามว่ามันบริหารยากมั้ย มันก็บริหารยาก แต่พอเราชินกับมัน มันก็กลับมาเรื่องเดิมอีกว่า พอเรารักมัน ก็ไม่เบื่อ เราจะไม่เหนื่อย มันจะมีแรงผลักดันที่ทำให้เราต้องคิดว่าจะทำยังไงให้งานเราสำเร็จให้ได้ เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่ความรักจริง ๆ”

อะไรผลักดันให้เกิดเป็นตัวตนของบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ในวันนี้?
“ผมเกิดมาในครอบครัวที่ผมคิดว่าแฮปปี้มาก คุณพ่อคุณแม่ก็ให้ความรัก ความรู้ สั่งสอนให้เราเติบโตมาเป็นคนที่มีคุณภาพ ผมก็ไม่รู้นะว่าตัวเองมีคุณภาพรึเปล่า (หัวเราะ) แต่พูดจริง ๆ ว่าเราก็เป็นเด็กที่แฮปปี้มาตั้งแต่เด็ก ผมเป็นเด็กซนครับ ซนมาก ๆ เรียกว่าพลังเหลือเยอะ เป็นเด็กไฮเปอร์พอสมควร ตอนเด็กก็จะมีเพื่อนเยอะ อยู่มาหลายโรงเรียน ตอนประถมอยู่โรงเรียนนานาชาติเอกมัย Seventh Day Adventist School เป็นโรงเรียนคริสเตียน แล้วก็มาอยู่เตรียมอุดมศึกษา จากนั้นก็มาเรียนนานาชาติ International School Bangkok แล้วผมก็ไปอยู่ที่อังกฤษ สามปีนิด ๆ แล้วจึงไปเรียนต่อที่อเมริกา อยู่ที่บอสตั้น 7-8 ปี

“หลังจากนั้นก็กลับมาทำงานที่เมืองไทย กลับมาปีเดียวก็มาเป็นนักร้องเลย ตอนนั้นคุยกับพ่อแม่เหมือนกันว่าอยากจะทำเพลง คือพ่อแม่เค้ารู้ตั้งแต่เด็กว่าผมเป็นคนชอบเพลงมาก รายได้ต่าง ๆ ที่ได้จากเงินค่าขนม ผมจะเก็บไว้ซื้อเพลง ซื้อเทป ซื้อซีดี เป็นอย่างนั้นมาตลอด ที่บ้านในห้องที่ผมเก็บเพลง ทั้งกำแพงก็เป็นซีดีไปหมด เทปไปหมดเลย พอวันที่เราจะออกไปร้องเพลงเนี่ย แม่บอกว่าดีเหมือนกันจะได้หักเงินมาจ่ายค่าซีดีที่ซื้อมาตลอดชีวิต จนปัจจุบันร้องเพลงได้เงินก็ยังซื้อไม่จบอยู่ดี (หัวเราะ) ตอนนี้ติดฟังแผ่นเสียงครับ ผมคิดว่าดนตรีเป็นเหมือนปัจจัยอย่างนึงที่เราขาดไม่ได้ในชีวิต นอกจากอาหาร นํ้า อะไรต่าง ๆ เพลงมันเป็นสิ่งนึงที่ผมขาดไม่ได้ อยู่กับชีวิตทุกวันตลอดมา สร้างความสุขให้เวลาที่มีความทุกข์ ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เวลาเราเครียด เราฟังเพลง อาจจะเครียดเพิ่มเติม แต่สุดท้ายเราก็รู้สึกดีขึ้น”

คำสอนหรือคติประจำใจที่ใช้ในการดำเนินชีวิต?
“ต้องขอบคุณคุณปู่ครับ ท่านเป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ ทำธุรกิจรถยนต์ด้านนี้มา 70 กว่าปี ขายรถมาแล้วทุกยี่ห้อ สอนผมเสมอทุก ๆ ครั้งที่เข้าไปทำงาน คือท่านทำงานจนอายุ 90 ปี เสียตอนอายุ 94 ปี ในชีวิตตั้งแต่เกิดมาเนี่ย ผมแทบจะไม่เห็นปู่โกรธใครเลย ท่านไม่เคยว่าใคร ทั้ง ๆ ที่เครียด แต่เขาจะไม่แสดงให้เรารู้คุณปู่เป็นคนที่สอนทุก ๆ อย่าง ได้มองเห็น ได้เรียนรู้จากท่านเยอะมาก ๆ บางสิ่งที่เขาสอนหรือบางสิ่งที่ผมแอบครูพักลักจำเอาเอง

“สิ่งหนึ่งที่ท่านจะสอนเสมอคือ ทำอะไรเราต้องทำออกจากใจรัก ทำอะไรเราต้องซื่อสัตย์ต่ออาชีพของเรา กับลูกค้าเราต้องซื่อสัตย์ ต้องคิดว่าเขาเป็นญาติเรา เพราะฉะนั้นถ้าเราให้ความรักเขาไป ยังไงเขาก็มอบความรักกลับมาให้ นั่นคือสิ่งที่ยึดถือมาตลอด ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว มันเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าพอได้ทำลงไปแล้วมันเป็นเหมือนที่ปู่พูดจริง ๆ เวลารักใคร เรามอบความรักให้เขา เรามอบบริการดี ๆ ให้ แล้วพวกเขาจะมอบสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นกลับมาให้เรา มันเป็นความสุขที่หาจากที่อื่นไม่ได้”

พูดถึงเรื่องดนตรีกันบ้าง เริ่มหลงใหลดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ตั้งแต่เกิดนะฮะ คือตั้งแต่จำความได้ก็ชอบร้องเพลงละ สิ่งที่ขอพ่อแม่ไปก็คือ พาไปดูคอนเสิร์ตซึ่งจำได้เลยว่ามีหลาย ๆ คอนเสิร์ตที่ไปแล้วจะเป็นลม เพราะว่าผมตัวเล็กกว่าคนอื่นเค้ามาก ผมไปดูคอนเสิร์ตตั้งแต่ประมาณประถม จำได้ว่าไปดู Earth Wind and Firer เป็นวงที่ชอบมาก เพลง September ดังทั่วโลก ตอนดูคอนเสิร์ตผมจำได้ว่า เราตัวเล็กมากมองไม่เห็น เลยกลับไปล้างแค้นอีกหลาย ๆ งาน แต่ก็มองไม่เห็นเหมือนเดิม สุดท้ายก็นั่งอยู่ไกล ๆ แทนเพื่อจะได้มองเห็นตลอด จนมาถึงคอนเสิร์ต Kylie Minogue ก็ตามพี่ ๆ ไปดูจำได้เลยว่าพอไคลีย์ออกมาจาก Backstage ปุ๊ป ผมยืนอยู่ประมาณ 20 นาที เป็นลมเลยเพราะหายใจไม่ออก ก็เป็นประสบการณ์ที่บอกว่า เราสนุกทุกครั้งที่เราไป แต่ร่างกายเรายังไม่ไหว

“เรื่องอรรถรสที่ได้รับจากสิ่งดนตรีมอบให้นี่มันมีตลอด ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจ ชอบเพลง มีเงินก็ซื้อแต่เพลง ค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพลงมาตลอด ก็มีเพื่อนที่เป็นกลุ่มเดียวกัน ที่ชอบอะไรคล้าย ๆ กันหลายคน อย่างคุณบอล อพาร์ตเมนต์คุณป้า นี่ก็จะเป็นคนประเภทเดียวกัน เปิดเพลงเสร็จเราก็มานั่งทายกันว่ามือเบสคือใคร อัดห้องแค่ไหน ผมมีความคิดที่ว่าถ้าชอบอะไรจริง ๆ เราต้องอินไปกับมัน จริงจังกับมัน พอเรามีความรู้เยอะ ๆ Input ที่ดี สุดท้ายเราจะสามารถปล่อย Output ตัวเองได้ดี ก็ถือคตินี้มาตลอด”

นอกจากเรื่องของดนตรี ไลฟ์สไตล์อย่างอื่นของบุรินทร์ มีบ้างไหม?
“ก็คงจะเป็นเรื่องจักรยานครับ เมื่อก่อนชอบปั่นจักรยานมาก ประมาณ 9 ปีที่แล้ว เรามีกลุ่มของเพื่อนที่รักการปั่นชื่อ Life Cycling แล้วเราไม่ได้ปั่นกันธรรมดานะ ปั่นเพื่อประโยชน์ของนักปั่นในประเทศไทยตอนนั้นเราทำกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไบค์โชว์ ทำคลิปการปั่น รายได้ตรงนั้นก็นำไปซื้อจักรยานให้น้อง ๆ ที่บ้านอยู่ไกลโรงเรียน อีกเรื่องนึงที่ผมคิดว่าเป็นความภูมิใจของกลุ่มเราก็คือ พวกเราผู้ผลักดันให้เกิดสนามเขียวขึ้นมา ที่เป็นสนามขี่จักรยานรอบรันเวย์ สิ่งที่เราริเริ่มขึ้นมาจนปัจจุบันนี้มันก็กลายเป็นสนามที่เปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ ซึ่งถึงแม้เราไม่ได้เป็นคนจัดการบริหารอะไรตรงนั้น แต่เรารู้สึกมีความภาคภูมิใจ ที่สามารถสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับนักปั่นทุกคนในประเทศไทย

“แต่ตัวผมปัจจุบันนี้ไม่ค่อยได้ปั่นเท่าไหร่ เพราะว่าภาระหน้าที่เพิ่มมากขึ้น ผมเรียกว่าเป็นข้ออ้างดีกว่า คือเอาจริง ๆ ถ้าจะหาเวลาปั่นมันก็มีให้ได้แหละ ช่วงนี้วุ่นพอสมควรเลยมีเวลาปั่นน้อยมาก นาน ๆ ทีจะได้ไปปั่นกับเพื่อน ตัวผมเองชอบไปปั่นตามต่างจังหวัด ตามสถานที่สวย ๆ ริมทะเล ขึ้นภูเขา มันให้ความรู้สึกทีไม่เบื่อแล้วก็เข้าไปอยู่กับธรรมชาติอย่างแท้จริง ปั่นจักรยานเนี่ยมันทำให้คุณเข้าใจธรรมชาติมากขึ้นนะ เพราะว่าคุณนั่งรถผ่านที่เดิม ๆ รูทเดิม ๆ ซึ่งคุณไม่รู้หรอกว่ากลิ่นมันเป็นยังไง ต้นไม้มันมีอะไรบ้าง นอกจากนี้การใช้เวลาอยู่บนถนนมากขึ้น ทำให้เราจะรู้เลยว่าแต่ละคนมีนิสัยการขับรถยังไง ถนนเส้นนี้เป็นยังไง มารยาทของคนเป็นยังไง นํ้าใจของคนข้างทางเป็นยังไง กลิ่นของที่นั้น ๆ มันก็ทำให้เราได้รักธรรมชาติมากขึ้น แล้วก็ที่สำคัญคือให้สุขภาพกับเรา”

สุดท้ายคิดเห็นยังไงกับการที่สื่อต่าง ๆ ยกย่องพี่ให้เป็นเจ้าพ่อดิสโก้?
“ก็ขอบคุณครับที่ไม่ได้ให้ผมเป็นเจ้าแม่ดิสโก้ (หัวเราะ) ก็แล้วแต่ครับ ฉายาก็เป็นส่วนของฉายา แต่ก็ขอบคุณด้วยที่รู้สึกกันอย่างนั้น ผมเองก็รู้สึกว่าอยากจะทำเพลงให้ดีที่สุด ในมาตรฐานของตัวเอง ตั้งแต่เริ่มต้นมาหาดนตรีทางเลือกให้กับผู้ฟังเท่านั้นเอง เพราะผมคิดว่าดนตรีมีให้เลือกฟังกันเยอะแยะมากมายอยู่แล้ว ก็อยากจะเป็นทางเลือกหนึ่งให้ผู้ฟังมาโดยตลอด แต่ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา เราก็มีกลุ่มแฟนเพลงที่มากขึ้น ลูกค้ามากขึ้น คนมาดูคอนเสิร์ตมากขึ้น ผมจำได้เล่นคอนเสิร์ตครั้งแรกคนมาดู 30 คน ปัจจุบันเราเล่นคอนเสิร์ตที่คนมาดูสองแสนคน สองหมื่นคน ห้าหมื่นคนบ้าง ทุกรูปแบบมันเกินกว่าสิ่งที่เราฝันทุกอย่าง และต้องขอบคุณทุก ๆ คนที่ให้โอกาสและสนุกร่วมกับเรามาตลอด ก็สัญญาว่าเราจะตั้งใจทำงาน ผลิตผลงานดี ๆ ออกมาให้ฟังกันเรื่อย ๆ ตลอดไปครับ”

interview