MG3
MG เป็นแบรนด์ชื่อดังมายาวนาน แม้จะเปิดตัวในเมืองไทยได้ไม่นานนักแต่ก็กลายเป็นที่รู้จักและเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจมากในยุคนี้ สำหรับรุ่นที่เรานำเสนอในครั้งเป็น MG3 โฉมใหม่ล่าสุดครับ
หน้าตารูปโฉมได้รับการออกแบบที่ศูนย์การออกแบบรถยนต์เอ็มจี ณ เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเอ็มจี โดยภายในศูนย์แห่งนี้มีวิศวกรผู้มากด้วยประสบการณ์กว่า 300 คน และมีดีไซเนอร์มากกว่า 60 คน มุ่งมั่นทำงานอย่างหนักเพื่อผลิตรถยนต์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ออกมาให้คนไทยได้ครอบครอง
MG3 หยิบเอาเอกลักษณ์ที่สืบทอดต่อมาของแบรนด์มาใช้เป็นแรงบันดาลใจหลัก สังเกตได้ตั้งแต่กระโปรงหน้ารถที่มีรูปทรงคล้ายปีก ประดับด้วยโลโก้เอ็มจีขนาดใหญ่ ส่วนกันชนหน้าที่ดูสปอร์ตนั้นก็ได้รับการออกแบบให้สะท้อนคาแรกเตอร์ของคนรุ่นใหม่ ไฟหน้ารถที่มีโลโก้ MG ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น กระจกบังลมหน้าที่โค้งมนอย่างมีเอกลักษณ์ คล้ายแว่นตากันแดดสุดชิค เชื่อมต่ออย่างลงตัวกับกระจกด้านข้างของตัวรถดูโดดเด่นเหนือใคร
สิ่งที่ทำให้ MG3 ดูโดดเด่น ผมว่าเพราะเป็นรถยนต์ซับคอมแพ็คคันแรกที่ได้ติดตั้งซันรูฟและฝ้าหลังคาบังแสงแดดมาพร้อมกับรถด้วยทั้งในรุ่นท็อปของแฮทช์แบ็ก (Hatchback) และรุ่นครอส (Xross) สำหรับคันที่เรานำมาทดลองขับนั้นเป็นรุ่นท็อปของแฮทช์แบ็กครับ ให้ความรู้สปอร์ตขึ้นมาเลยครับ ยิ่งตอนเย็น ๆ เปิดซันรูฟรับแดดอ่อน ๆ นี่ยิ่งได้ฟีลสุด ๆ
มาดูภายในกันบ้าง พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง แม้คนตัวสูงก็ยังนั่งอย่างสะดวกสบายและกว้างกว่ารถยนต์ในระดับเดียวกัน การออกแบบภายในของรถยนต์ MG3 ดีไซน์มาให้สอดคล้องกับการทำงานของโทรศัพท์สมาร์ทโฟน
ระบบความบันเทิงภายในรถออกแบบมาให้ใช้งานง่าย เครื่องเล่นซีดีและ MP3 มาพร้อมระบบเชื่อมต่อบลูทูธ และ USB/AUX พร้อมพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชันปรับสูง-ต่ำ และได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดีเพื่อให้ใช้งานได้ง่าย มองเห็นชัดเจน
เบาะที่นั่งของ MG3 แฮทช์แบ็ก รุ่น X และรุ่น V มาพร้อมกับเบาะหนังสีดำเข้ม กระชับเข้ากับสรีระคนนั่ง อีกทั้งยังตกแต่งด้วยด้ายแดงให้อารมณ์สปอร์ตแบบหรูหราได้อยู่
ภายในห้องโดยสารมีช่องเก็บของจำนวนมากถึง 10 จุด ไม่ว่าจะเป็นช่องเก็บแว่นตากันแดดเหนือประตูด้านคนขับ ช่องวางแก้ว 2 ช่อง ด้านหน้า และ 1 ช่องด้านหลัง ช่องเก็บของขนาดใหญ่ตรงคอนโซลกลางและด้านข้างประตูทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เบาะนั่งด้านหลังปรับพนักพิงได้แบบ 60:40 ทำให้เก็บสัมภาระได้มากขึ้นเมื่อคิดจะขนของ
มาดูด้านขุมพลังกันบ้าง MG3 มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC VTi-TECH 4 สูบ 16 วาล์ว ประหยัดน้ำมันด้วยระบบวาล์ว แปรผันคู่ ให้กำลังสูงสุด 106 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด SeleMatic (เซเลเมติก) พร้อมระบบปรับโหมดการขับขี่ รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ความเร็วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมทดลองกับทางลาดชันก็ยังทำความเร็วได้ดี
ระบบช่วงล่างแบบ European Tuning Suspension MG3 เติมเต็มความมั่นใจในการขับขี่และการควบคุมรถอย่างเต็มที่ เพราะระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท และระบบช่วงล่างด้านหลังแบบ เอช-ไทป์ (H-Type) ทอร์ชันบีมคานขวางแบบ U-Shape ได้อย่างเหมาะสม ระบบช่วงล่างกึ่งอิสระยังช่วยลดน้ำหนักของตัวรถโดยรวมและเพิ่มความสามารถในการควบคุมรถได้ดียิ่งขึ้น ตามสไตล์ของรถยุโรป
พวงมาลัยแบบพาวเวอร์ระบบไฮดรอลิก (Hydraulic Assisted Steering Wheel) ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างง่ายดายโดยเฉพาะในการขับขี่ในเมือง ในขณะที่ในการขับขี่ที่ต้องใช้ความเร็วพวงมาลัยจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ อาจจะหนักขึ้นหน่อยนึงแต่ทำให้เข้าโค้งได้มั่นใจขึ้นครับ
แม้จะใช้ความเร็วแต่เสียงลมก็เข้าห้องโดยสารน้อยมาก กับระบบขจัดเสียงรบกวน (Noise, Vibration and Harshness: NVH) โดยเทคโนโลยีดังกล่าวมีทั้ง โครงสร้างรถยนต์ และพรมปูพื้นพิเศษ ที่ช่วยดูดซับเสียงจากด้านนอกรถยนต์ ทำให้ภายในห้องโดยสารเงียบและมีบรรยากาศในการขับขี่ที่น่าพึงพอใจ
MG3 ติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า และระบบความปลอดภัยมากมายซึ่งเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นอยู่แล้ว เอาเป็นว่าโดยรวมโอเคเลยครับ ขับง่ายและที่ผมชอบมากก็คือรูปโฉมนั่นแหละสวยใสสไตล์วินเทจหน่อย ๆ ใครชอบรถเล็กที่นั่งสบายและสวยงาม ผมว่าคันนี้ตอบโจทย์ครับ