เทรนด์เร่าร้อน แห่งปี 2017 (ตอนจบ)
จากตอนที่แล้วที่เราเขียนถึงเทรนด์ต่าง ๆ ที่จะมาแรงในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น Live-Streaming Entertainment หรือ Individual Marketing รวมทั้ง Healthy Lifestyle ซึ่งจะว่าไป ยังมีเทรนด์ที่อยู่ในแวดวงอื่น ๆ อีกที่เราไม่ได้กล่าวถึง เพราะคิดว่าเป็นเทรนด์ “เฉพาะเกินไป” เช่น เทรนด์Cashless Society ที่คนจะไม่ติดเงินสดกันอีกแล้ว เพราะทุกอย่างใช้มือถือจ่ายได้หมด นี่คือเทรนด์ที่ยังไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งจะมาแน่ในปีไก่นี้
4. Sports Prestige Exclusive Trips
หลายคนคงชายตามองกลับไปในปีลิง แล้วมองเห็นว่า(ไม่ใช่วู้ดดี้แน่นอน) สิ่งที่ บวม เบ่ง พองตัว ใหญ่โต ก็คือการที่เอเย่นท์นักกีฬาต่าง ๆ นำเอาเสื้อผ้า การกินข้าวส่วนตัว หรือกิจกรรมเจอตัวแบบสั้น ๆ มาขายในออนไลน์ สิ่งนี้นำไปสู่เทรนด์ของ Sports Marketing แบบพรีเมียม นั่นคือการจัดทริปไปดูกีฬาต่าง ๆ เช่นฟุตบอลอังกฤษ, แข่งรถ F1, ดูเทนนิสแกรนด์สแลม, ดูกอล์ฟระดับโลก และสารพัดกีฬาใหญ่ ๆ ของทัวร์นาเม้นท์ พบปะ กินข้าว นั่งสนทนาแบบซื้อเวลามาเลย เช่น ค่าตัวนักบอลคนนี้ 45 นาที 8 แสนบาท หรือ กินข้าวหลังแมทช์แล้วนั่งคุย แจกลายเซนต์กับแฟน ๆ แบบ “เฉพาะวง” การพัดพามาถึงของกิจกรรม “ซีฟ” แบบนี้ ทำให้วงการกีฬา สามารถจะขายตัวเองต่อไปได้อีกหลายปี เพราะคนมีกำลังจ่ายก็จะได้กลายเป็นคนพิเศษ ตอบสนองความต้องการของการตลาดรุนแรงที่เรียกว่า Personalized Marketingเพราะนี่คือยุคไลฟ์สไตล์ที่เทรนด์อะไรก็ตาม สามารถตอบสนองคนให้เขาและเธอคือคนพิเศษ คนเฉพาะ เป็นอยู่คนเดียวเป็นอยู่แบบ “ส่วนน้อย” นั่นคือ ชัยชนะของ “เทรนด์” 2017
5. Upper Lifestyle
จะบอกว่าเทรนด์อันแรกนี้ กระเพื่อมอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจนรู้สึกได้มาตั้งแต่ปลายปี 2016 ก็น่าจะได้ Upper คือการที่แบรนด์ ปรับตัวเองจากภาวะของเศรษฐกิจตก ที่น่าจะกินเวลายาวนาน หันมาทดลองจับกลุ่มผู้บริโภคในระดับบน เช่น รถยนต์บางค่ายออกรุ่นพิเศษ ที่ราคาแพงขึ้นไปอีก, ร้านกาแฟชื่อดังเปิดช็อปบางพื้นที่โดยเสนอกาแฟราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิม โดยมีฉากหลังในการเร้า ยั่ว เชื้อเชิญ การเข้าไปใช้บริการ (แทนการที่จะแข่งกันตัดราคาแบบกาแฟทั่วไป) คนโฆษณาท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า แม้แต่เครื่องเสียงก็อัพเรียบร้อย ด้วยการสั่งสินค้าแพง ๆ มีจำนวนจำกัดเข้ามาขาย ระดับหูฟังเหยียบหมื่น ลำโพงข้างเดียวเกือบสองล้านบาทอาจจะบอกว่าเป็นจริตหรือรสนิยมก็ตาม แต่นี่คือการสวนทางของการตลาด เพราะขณะที่ใครต่อใครอาจจะแข่งกันลด ตัดราคาเพื่อได้ยอดขายแต่แบรนด์บางส่วน มองเห็นอาการ Upper ผ่านไลฟ์สไตล์ เพราะเมื่อจ่ายแล้วได้ “ภาพลักษณ์” และสถานะที่สูงขึ้น มันคือเทรนด์อย่างหนึ่งในการประกาศตัวของปี 2017!
นอกจากทั้ง 5 เทรนด์ที่เรากล่าวถึงทั้งสองตอนนี้แล้ว ยังมีเทรนด์หลายอย่างที่ไม่ใหญ่โตแบบที่ยกมาเช่น Chip Card Money Lifestyle อันนี้ก็เกี่ยวกับการเงิน แต่ไม่ใช่แค่ “ชิปการ์ด” เฉย ๆ ไม่ใช่เศษแผ่นอะไรก็ไม่รู้ที่ฝังแนบลงไปในบัตรการ์ดของเรา แต่เทรนด์ตัวนี้หมายถึงการที่ชิปการ์ดถูกออกแบบจากหลายบริษัทการเงิน ให้รวมข้อมูลและ “บริการ” ความสะดวกความต้องการของลูกค้า มันมีทั้งการให้บริการเข้าไปฟังเพลงจากแอพฯที่มีเพลงมากกว่า 20 ล้านเพลง, การหาร้านอาหารใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นและทุกช่วงเวลา เรียกว่าตัวธนาคารเองก็ไม่ได้หยุดนิ่ง จะสรรหาและคัดกรองไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ มาบริการผ่านชิปการ์ด รวมสารพัดมาให้เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่มีคอนเซ็ปต์ว่า Anywhere Anytime Any Device!
อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบก็คือเทรนด์ Wearable Tech Trends ซึ่งผมอ่านเจอในกราฟิกภาพหนึ่งในหนังสือ The Escapist สีฟ้าของสำนักMonocle ที่ดูไม่มีอะไรพิเศษ แต่มันถูกลงซ้ำคล้าย ๆ กันใน Wired 2017 ปกทองดำ ก็คือ คนยุคใหม่ต่าง “กิน นอน ทำงาน เดิน” โดยมีเทคโนโลยีกำกับ “โดยเฉพาะพวกแทรคเกอร์”