เด็กติดเกม ปัญหาของครอบครัว หรือของใคร
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้อ่านบทความ “เมื่อลูก ๆ ของผมไม่ได้อยู่ในโลกของเกมส์” จากเพจ Dad Mom and Kids ที่แสดงทัศนะว่าทำไมเราถึงไม่ควรให้เด็ก ๆ เล่นเกม โดยยกประสบการณ์ของผู้เขียนที่เคยเล่นเกมในวัยเด็ก และพ่อแม่หักดิบไม่ให้เล่นอีกเลย จนปัจจุบันประสบความสำเร็จเป็นนายแพทย์ ซึ่งผู้เขียนเองก็ยึดถือเป็นแบบอย่างในการเลี้ยงลูก โดยปฏิเสธเกมอิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างที่จะเข้ามาในครอบครัว
แน่นอนว่าคนเรามีความเห็นที่แตกต่างกันได้ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับบทความนี้ในบางจุดที่เกมส่งผลกระทบกับผู้เล่นจริง ๆ แต่วันนี้เรามาคุยกันครับว่าทำไมผมถึงแนะนำให้คุณและเด็ก ๆ ควรเล่นเกม แทนที่จะหักดิบไม่ให้เล่นไปเลย ซึ่งคุณหมออิทธิฤทธิ์เจ้าของบทความ “เมื่อลูก ๆ ของผมไม่ได้อยู่ในโลกของเกม” กล่าวถึงเรื่องความสนุกของเกมสั้น ๆ ว่า “ก็ทำมาซะสนุกเร้าใจขนาดนั้น เล่นแล้วก็ติดสิคร้าบ”
ใช่ครับ เป้าหมายของเกมทุกเกมคือทำให้คนติด หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือทำให้เกมสนุกจนคนติดนั้นแหละ และถ้าสังเกตดู คำว่า “ความสนุก” ของเกมและสื่อบันเทิงต่าง ๆ นั้นเติบโตขึ้นตามกาลเวลา ไม่มีมนุษย์คนไหนจะรู้สึกสนุกกับสิ่งเดิม ๆ รูปแบบเดิม ๆ ไปได้ตลอด เมื่อมีของใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้น แปลกใหม่กว่า ผู้คนจะรู้สึกสนุกกว่ากับสิ่งนั้น จนกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของความสนุกที่เราแทบไม่หวนกลับไปหาความสนุกแบบเดิม ๆ อีก มันเป็นความคิดที่สั่งสมในกระบวนการสร้างความสนุกที่ตกผลึกไปเรื่อย ๆ เพื่อสร้างของใหม่ที่สนุกกว่าเดิม
สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อคือ ในปัจจุบัน เกมนั้นเป็นตัวแทนของทุกศาสตร์ในโลกที่บูรณาการกันเป็นผลงานออกมา การที่ไม่ได้เล่นเกมเลยจึงไม่เข้าใจว่าความบันเทิงในยุคนี้เป็นอย่างไรและจึงอาจมีปัญหาเมื่อต้องสร้างอะไรที่เกี่ยวกับความสนุกออกมา
กลไกของเกม เรื่องง่าย ๆ ที่อธิบายยากมากสำหรับคนไม่เคยเล่น
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจเถียงว่าไม่เห็นต้องเล่นเกม เราก็เข้าใจความสนุกที่ชาวโลกต้องการได้น่า เราอ่านหนังสือเยอะ ๆ ดูหนังมาก ๆ ออกไปเที่ยว ออกไปเปิดหูเปิดตาในโลกมาก ๆ มันได้อะไรยิ่งกว่าการเล่นเกมอีก มันก็จริงครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ทดแทนไม่ได้คือแนวคิดกลไกของเกม ซึ่งเป็นสิ่งพิเศษที่ทำให้เกมแตกต่างจากสื่อบันเทิงอื่น ๆ เพราะมันคือรูปแบบที่ผู้เล่นเข้าไปมีส่วนร่วมกับเกม ถ้านิยายคือการเล่าเรื่อง เปลี่ยนมาเป็นเกมก็ต้องคิดเพิ่มว่าจะให้ผู้เล่นมีส่วนร่วมกับเรื่องยังไง ถ้าภาพยนตร์คือการเสพประสบการณ์เหนือจริงเปลี่ยนมาเป็นเกมก็ต้องคิดว่าจะให้ผู้เล่นเข้าไปอยู่ในประสบการณ์นั้นยังไง ทำอะไรได้บ้าง
ถึงแม้จะบอกว่าไม่เห็นต้องเข้าใจกลไกเกมฉันก็มีชีวิตได้น่า จริงครับ กลไกของเกมมันไม่ใช่ปัจจัยสี่สักหน่อย แต่สำหรับบางสายงาน โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ งานการตลาด งานสื่อ งานเศรษฐกิจดิจิตอล หรืองานที่เกี่ยวกับมวลมหาประชาชน ถ้าคุณไม่มีพื้นความคิดกลไกเกมสมัยใหม่อยู่ในหัว มันก็ทำงานยากแล้ว ก็คุณไม่เข้าใจว่าความสนุกของคนยุคนี้มันเป็นยังไงนี่นาแล้วคุณจะไปเข้าใจอารมณ์ของเด็ก ๆ ที่นั่งดูวิดีโอคนอื่นเล่นให้ดู หรือเข้าใจอารมณ์ของคนที่ต้องเติมเงินเข้าเกมมือถือได้ยังไง
เรื่องของเกมที่เคยคิดว่าเป็นของขวัญจากปีศาจ เป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับเด็ก ๆ แต่ถึงตอนนี้ดันสำคัญเพราะอนาคตเราจะอิงกับกลไกเหล่านี้มากขึ้น ในโลกที่ถนนทุกสายมุ่งสู่ดิจิตอล โลก VR ที่เราเจอหน้าคนอื่นได้เหมือนอยู่ด้วยกัน โดยไม่ต้องขับรถไปหากำลังจะมาถึง แนวคิดความสนุกของเกมกำลังโอบล้อมผู้คน การปิดกั้นจากเกมมันเป็นการปิดกั้นความคิด ความเข้าใจในเรื่องที่โลกกำลังจะมุ่งไปรึเปล่า
เมื่อยังเด็ก ได้เล่นเกมที่ผู้ปกครองได้อยู่ควบคุม ได้หัวร้อน ได้เสียเงินไปด้วยกัน ก็เข้าใจและรู้ว่าลิมิตของตัวเองอยู่ที่ไหน เมื่อเติบโต อยู่มาวันหนึ่งหลงเข้าไปอยู่ในโลกของเกมที่ไม่คุ้นเคย แต่เชื่อว่าตัวเองมีวุฒิภาวะดี และโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลยไม่ปรึกษาใคร สุดท้ายอาจจะเสร็จของขวัญจากปีศาจชิ้นนี้เพราะไม่มีภูมิคุ้มกันก็ได้
อย่างน้อยการได้เข้าใจเกม เข้าใจโลกที่มันกำลังจะเป็นไป ก็ทำให้อยู่ร่วมในสังคมที่สื่ออิเล็กทรอนิกส์กำลังครองเมืองได้ง่ายขึ้น โดยไม่คิดว่าคนอื่นโง่เขลาครับ