ธีรวัฒน์ นุชเจริญผล
ความเป็นไทยนั้นคงอยู่ทั่วทุกที่ที่เราพบเจอ แน่ล่ะเพราะที่นี่ประเทศไทย เพียงแต่กิจวัตรประจำวันของตัวเราเองที่ทำให้หลงลืมไปว่าความเป็นไทยที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร “จอร์ช – ธีรวัฒน์ นุชเจริญผล” ศิลปินหนุ่มไฟแรงผู้คร่ำหวอดในวงการจิตรกรรมไทย ได้หยิบยกประเด็นวัฒนธรรม ความคิดและวิถีชีวิตไทยๆ นำเสนอผลงานศิลปะร่วมสมัยภายใต้เรื่องราวของจิตใจมนุษย์ผ่านการเสียดสีสังคมสะท้อนมุมมองในรูปแบบที่เห็นแล้วชวนต้องกลับไปคิดทบทวน
แนวความคิดของเขามีรูปแบบของความเป็นปัจจุบัน แล้วนำเสนอออกมาโดยมีคติความเชื่อทางพุทธศาสนาแฝงเข้ามา อย่างกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง มีหลักความดี ตีแผ่เรื่องราวของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งฝีไม้ลายมือของเขาไม่ธรรมดาเลย เพราะเคยจัดแสดงนิทรรศการเดี่ยวมาแล้ว 2 ครั้ง ผ่านเวทีการประกวดและแสดงนิทรรศการกลุ่มมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน อย่างนิทรรศการเดี่ยวครั้งล่าสุดเมื่อปี 2556 กับนิทรรศการ “คุณพระช่วย(Oh My God!)” พูดถึงวิถีชีวิตของคนไทยปัจจุบันที่ไม่มีอิสระในการใช้ชีวิตด้วยการสอดแทรกสัญลักษณ์บางอย่างที่ต้องตีความกันอย่างลึกซึ้ง
“ชื่อนิทรรศการคุณพระช่วย คนส่วนใหญ่ชอบให้คุณพระช่วย ซึ่งมันเป็นการอุปทานขึ้นมาเฉยๆ แต่คุณพระจริงๆ คือ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระธรรมคือให้ทำเอง ลงมือด้วยตัวเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนี่แหละคุณพระช่วยของจริง โดยผลงานภาพรวมของผมจะทำเกี่ยวกับมนุษย์ บุคคล และพุทธศาสนามาตลอด เรียกได้ว่าแนว Pop Symbol ใส่ความเป็นป็อปผสมผสานสัญลักษณ์บางอย่าง มันคือการตีความที่เราไม่ได้สื่อสารออกมาโดยตรง การทำงานชุดนี้ผมได้แรงบันดาลใจมาจากการที่เราได้ทำงานที่เราชอบ และเป็นอิสระจากทุกสิ่ง ซึ่งผมเห็นความไม่เป็นอิสระในชีวิตของคนไทยยุคปัจจุบัน โดยใส่สัญลักษณ์ลงไปอย่าง เสือ สิงห์ กระทิง แรด ที่เปรียบได้กับชนชั้นนักการเมือง หรือพวกมีอิทธิพล กำลังกดดันชาวบ้าน กลุ่มคนชั้นล่างที่อยู่ต่ำกว่า”
เช่นเดียวกับนิทรรศการกลุ่มล่าสุดที่เขามีส่วนร่วมในนิทรรศการ “Dramathais (ดราม่าไทส์)” เมื่อปี 2557 พูดถึงความดราม่าในแบบฉบับไทยๆ ที่คนทั่วไปคุ้นชิน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน โดยเขาเลือกถ่ายทอดผ่านผู้คนในสังคมยุคปัจจุบัน ซึ่งพากันหลงยึดติดกับนานากิเลส ที่ไหลมาพร้อมกับกระแสวัฒนธรรมตะวันตก จนกลายเป็นความลุ่มหลง บูชาในวัตถุสินค้ามากกว่าคุณค่าทางจิตใจ
“คอนเซ็ปต์ชุดนี้ ผมจะพูดถึงกิเลสในตัวมนุษย์ มองภาพรวมของคนโดยหยิบเรื่อง “กิน กาม เกียรติ” มาเป็นหลักแต่ก็ยังมีวิถีชีวิต ความเชื่อของไทยอยู่คือคนไทยมักเชื่อว่าเทวดาจะคุ้มครองผู้ที่มีบุญ ปฏิบัติดีแต่สำหรับคนที่มีกิเลสในตัวมากๆ เทวดาประจำตัวจะไม่คุ้มครอง ทำหน้าเอือมแล้วบินหนี อย่างรูปที่เราจินตนาการคนขึ้นมาหนึ่งคน ให้มีโครงสร้างเหมือนกับปูนจากประติมากรรมฝรั่ง เราจะเห็นว่าเขาอาจโดนกิเลสครอบงำ เป็นเหมือนหินสื่อถึงความไม่มีชีวิต ความคิด หรืออิสระในตัวเองเลย
“เหมือนกับรูปที่ชื่อ 24 hour ก็มาจากอาหาร Fast Food ที่คนเรากินได้ตลอดเวลา ทำให้มันกลืนกินชีวิตเรา ซึ่งสังคมไทยก็รับพวกนี้มาเต็มๆ และอีกรูปก็เป็นกระเป๋าแบรนด์เนม เหมือนคนที่อยู่ในอารมณ์หลง โดนหลายสิ่งหลายอย่างครอบงำ น้ำที่ไหลท่วมตัวก็คาบเกี่ยวกับความอยากทางกามและความอยากที่อยากได้กระเป๋า อะไรที่มาครอบงำ เราจะมองไม่เห็นอะไรเลยนะ รอยสักก็เหมือนเราเอาไปยึดติดกับร่างกาย เหมือนเป็นการติดแบรนด์เนมนั่นแหละ”
เขามองว่ามนุษย์ทุกคนมีพื้นฐานเหมือนกันหมด คือมีความโลภ โกรธ หลง แต่ของไทยดีตรงที่มีพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ มีจุดยืนในความเป็นไทย และแสดงความเป็นไทยออกมาในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงผลงานของศิลปินในเมืองไทยเช่นกัน
“ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่นำเอกลักษณ์ความเป็นไทยผสมเข้าไปด้วย ผมว่าอะไรมันก็เปลี่ยนแปลงได้ได้รับอิทธิพลได้ แต่ข้างในลึกๆ ความเป็นไทยทุกคนต้องมีในการทำงานอย่างสร้างสรรค์ เอาง่ายๆ คนที่เสพงานจากต่างชาติ มองไม่รู้ว่างานนี้เป็นชาติอะไร แยกไม่ออก แต่คนไทยทำงานออกมาเป็นเอกลักษณ์ มันมีความเป็นไทยอยู่ มีความรักชาติ ผมคิดว่ามันมีเสน่ห์นะ บางทีไม่ต้องไทยจ๋าหรอก บางภาพก็ไม่มีลายไทย แต่ก็ดูออกนะว่าเป็นของคนเอเชีย
“ผมไม่สนใจหรอกว่าคนจะชอบผลงานชุดนี้ชุดนั้น หรือว่าขายดี แต่ผมสนใจการพัฒนาตัวเองมากกว่า เหมือนเราได้เรียนรู้และอยากจะพัฒนาชุดต่อไปให้ดีขึ้น ชอบอะไรก็ทำอย่างนั้น บางครั้งก็ไม่ตรงใจกับคนอื่นบ้างอย่างที่เขาอยากได้
แต่ในเมื่อเราเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ เราก็จะอยากทำสิ่งนี้ต่อไปแม้ว่าผลงานของผมจะไม่ได้สื่อสารออกไปแบบตรงๆ ทำให้คนชมงานก็รู้บ้างไม่รู้บ้างว่าเราสอดแทรกอะไรลงไป แต่ถ้าคนที่สนใจจริงๆ เขาก็จะถามผมมาตรงๆ ว่าจะสื่ออะไร (ยิ้ม)”
เร็วๆ นี้เขาจะจัดนิทรรศการเดี่ยวครั้งที่ 3 โดยยังคงพูดถึงภายในจิตใจของมนุษย์เกี่ยวกับอากัปกิริยาของมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะวัตถุสิ่งของเฉกเช่นเดียวกับวัฒนธรรมที่เลื่อมล้ำไปเพราะสิ่งของ ผลงานของเขาจะออกมาเจ็บแสบ เสียดสีสังคมมากน้อยแค่ไหน คงต้องติดตามชมกันต่อไป