ดร.ธัญญา โพธิ์วิจิตร
ดร.ธัญญา โพธิ์วิจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคเมดี้ ไลน์ จำกัด ผู้ผลิตรายการตลก ก่อนบ่ายคลายเครียด และรายการอื่นๆ หรือที่รู้จักกันดีในนาม เป็ด เชิญยิ้ม อดีตนายกสมาคมศิลปินตลกแห่งประเทศไทย ชายคนนี้จัดเป็นบุคคลตัวอย่างที่ดีของสังคม ชีวิตของเขาผ่านประสบการณ์มาหลากหลายรูปแบบ กว่าจะมีวันนี้ได้นั้นความสำเร็จไม่ได้มาเพราะโชคช่วยอย่างแน่นอน นอกจากวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลแล้ว การคิดดีทำดี ความกตัญญู ความพยายามมานะบากบั่น คือส่วนผสมของความสำเร็จ
“ผมเป็นคนจังหวัดตรัง อยู่ที่อำเภอห้วยยอด มีพี่น้อง 6 คน ผมเป็นคนที่ 2 ชีวิตไม่ใช่ลูกเศรษฐี พ่อขับแท็กซี่ แม่เป็นแม่บ้าน เลี้ยงลูก 6 คนมันไม่ใช่เรื่องง่าย ถามว่าในสมัยก่อนผมได้กินอาหารดีๆ ไหม ในยุคนั้นข้าวกับปลาเค็มที่ผมจำได้ที่แม่ปั้นให้ผมกินตั้งแต่เล็กๆ ถ้าผมอยากได้รองเท้าแตะสักคู่ก็ต้องหาวิธีการเพื่อให้ได้มาเป็นของตัวเอง รองเท้าแตะคู่ไม่กี่สตางค์เอง ผมต้องไปหยิบกระดิ่งมาตอนตื่นตีสี่วิ่งไปกับพี่ชาย ตีห้าไปรับไอติมมาแล้วถือกระดิ่งไปขายตามสวนยาง หลังจากขายเสร็จก็เอากระสอบที่ถือไปด้วยเก็บเศษยางมาขายกิโลละ 1 สลึง พอได้เงินมานั่นแหละผมถึงได้รองเท้าแตะมาสักคู่หนึ่ง แล้วอยากได้อะไรก็ต้องไปทำเอง ต้องหาเอง เพราะฉะนั้นชีวิตผมต่อสู้มาตั้งแต่เล็กๆ เป็นชีวิตที่ลำบาก ชีวิตที่ต้องต่อสู้
“ในยุคนั้นตั้งแต่ ป.5 – ป.6 ที่เราต้องเริ่มทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ดูแลตัวเอง ช่วยพ่อแม่ เพราะพ่อขับแท็กซี่ ในยุคนั้นขับแท็กซี่เลี้ยงลูก 6 คนมันจะได้เงินสักเท่าไหร่ เราก็ต้องดิ้นรนช่วยตัวเองเพื่อความอยู่รอดวันไหนถ้ามีอาหารดีๆ ของอร่อยดีๆ ก็จะมีความสุขมาก จำได้ว่าในชีวิตพ่อพาไปเที่ยวต่างจังหวัดครั้งเดียว คือไปเที่ยวทะเลที่หาดสะมีหลา จังหวัดสงขลา เป็นวันที่ครอบครัวมีความสุขมาก เราได้เห็นทะเล ได้เที่ยว เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่พ่อพาไปเที่ยว
“ผมว่าความลำบากนั้นสอนให้ผมแข็งแกร่ง ผมเป็นเด็กที่เกเรนะ ทำให้พ่อแม่เสียน้ำตามากที่สุด ทำให้แม่ผิดหวังในตัวผมเองมากที่สุด สาเหตุเพราะสมัยนั้น ผมเล่นกีฬา ผมติดทีมฟุตบอลนักเรียนตั้งแต่รุ่นจิ๋ว รุ่นเล็ก รุ่นกลาง แต่ไม่มีโอกาสติดรุ่นใหญ่เพราะตัวผมเล็ก ผมติดจนจบ ม.ศ.3 แล้วผมตั้งใจในความฝัน มนุษย์ทุกคนต้องมีความฝันมีเป้าหมาย ผมก็เลยคิดว่าถ้าผมจบ ม.ศ.3 ผมอยากเรียนต่อพาณิชย์ผมไม่ชอบเรียนครู ผมอยากเรียนพาณิชย์ใส่สูทผูกไท ผมจะทำงานอยู่ในธนาคารห้องแอร์เย็นๆ นั่นคือฝันของผมในสมัยนั้น
“แต่ว่าความฝันของผมต้องพังทลายลงมา เมื่อแม่บอกว่าต้องไปเรียนครู เพราะตอนนั้นพี่ชายไปเรียนพาณิชย์ ผมเลยต้องมาเรียนครู ทำให้ต้องไปเรียนที่ราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เมื่อปี 2513 เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ตอนนั้นผมอยู่แถวดินแดง เช้ามาผมก็ไปเช็คชื่อ บ่ายผมไปเข้าโรงหนังสุริยา ผมชอบนั่งอยู่ที่โต๊ะสนุ๊กเกอร์อยู่กับเพื่อน ไม่เรียนหนังสือ พอเย็นผมเข้าไปซ้อมบอล เป็นแบบนี้ตลอดเวลา 2 ปีเต็มพอประกาศผลออกมาว่าเกรดเฉลี่ยของผมไม่ผ่านต้องโดนรีไทร์ ผมดีใจมากเพราะผมตั้งใจว่าผมจะต้องได้เรียนพาณิชย์ แต่แม่ก็ไม่ให้ เห็นท่านนั่งร้องไห้เสียใจมาก แม่บอกยังไงก็ต้องเป็นครู ก็ทะเลาะกันพอสมควร แต่ก็ตัดสินใจเรียนครูให้แม่ ผมเห็นน้ำตาแม่ครั้งนั้นทำให้ผมเข้าไปกราบแม่ แล้วบอกว่า
ต่อไปนี้ผมจะเรียน แล้วน้ำตาของแม่ขอให้น้ำตาในครั้งนี้เป็นน้ำตาแห่งความทุกข์ครั้งสุดท้าย ถ้าผมเห็นน้ำตาแม่ อีกครั้ง ขอให้เป็นน้ำตาแห่งความสุข ที่แม่เห็นในตัวผม
“พอเรียนใกล้จะจบก็เกิดปัญหาขึ้นอีก ตอนนั้นผมเรียนอยู่ราชภัฎจันเกษม แล้วแฟนซึ่งเรียนด้วยกันเกิดท้อง ตอนนั้นเราเป็นนักฟุตบอลของจันเกษมที่อยู่ในช่วงเก็บตัวด้วย ในตอนนั้นที่รู้ว่าท้องสมองตื้อไปหมด ก็เลยเข้าไปบอกคุณปรีชา กลิ่นบุญ ที่ตอนนั้นเป็นนักกีฬาด้วยกัน ผมไปบอกเขาว่าผมจะลาออกแล้วนะ จะไม่เก็บตัวแล้ว พอดีแฟนผมท้อง คิดหลายอย่างมากจะบอกให้พ่อแม่รู้ก็ไม่ได้ เลยตัดสินใจบอกกับพี่ชาย ทีนี้จากที่อยู่กันคนละบ้านก็ต้องมาหาบ้านที่อยู่ด้วยกันแล้ว แต่เงินก็ไม่มี เลยต้องออกมาหางานทำ ตอนนั้นผมไปเป็นพนักงานเสิร์ฟในโรงแรม ห้องเช่าก็ไม่มีแต่บังเอิญได้ไปเจอเพื่อนที่สถานีรถไฟสามเสนเขาเลยให้ไปอยู่ด้วย ตอนนั้นก็ต้องดรอปเรียน พอแฟนคลอดลูกแล้วจึงตัดสินใจบอกแม่ อุ้มลูกไปที่ตรัง ยังไงแม่ก็ยังให้อภัยถึงจะโกรธก็เถอะ แต่พ่อนี่เก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านไปเลย ผมเลยฝากลูกไว้กับแม่ กลับมากรุงเทพฯ หางานทำ แต่แล้วแม่ก็เขียนจดหมายมาบอกว่าเป็ดต้องมารับลูกกลับ เพราะตั้งแต่วันนั้นพ่อยังไม่เข้าบ้านเลย
น้องอดตายแน่ เพราะไม่มีเงิน จนสุดท้ายต้องนั่งรถไฟกลับไปรับลูก
“พอกลับมาถึงกรุงเทพฯ เลยตัดสินใจหาบ้านเช่าเพราะต้องเลี้ยงลูก ตอนนั้นเงินไม่มีไหนจะค่าห้องเช่า ค่านมลูกอีกเลยไปหางานทำ ไปเป็นเซลล์แมนขายทีวีอยู่แถวสีลม อบรมอยู่ 3 วัน ขณะที่ตอนนั้นเงินผมไม่มีเลยนะ มีแต่ค่ารถไปค่ารถกลับเท่านั้น โดยต้องขายทีวีผ่านทางโทรศัพท์ ต้องเปิดสมุดหน้าเหลืองเพื่อโทรไปขายให้ลูกค้า พออบรมเสร็จหัวหน้าก็ถามว่าใครจะลองไหม ผมรีบยกมือเลยเพื่อหวังจะได้เงินไปซื้อนมให้ลูก ตอนนั้นก็เปิดสมุดหน้าเหลืองไปสะดุดชื่อคุณลัญจกร ฟักมีทอง อยู่ตรงปั้มน้ำมันปากซอยรางน้ำ ผมก็พูดแนะนำไปเรื่อยๆ ว่าเราเป็นใคร ขายอะไร มีกี่รุ่น กี่แบบ สรรพคุณอะไรบ้าง คุณลัญจกรฟังแต่ไม่พูดอะไรสักคำ พอผมพูดจบเท่านั้นแหละ คุณลัญจกรบอกว่าคุณธัญญาส่งมาให้ผมเครื่องหนึ่ง เท่านั้นแหละเฮกันลั่นทั้งบริษัท ตอนนั้นผมเลยได้ค่าคอมมิชชั่น 300 บาท เท่ากับว่าคุณลัญจกรซื้อนมให้ลูกผมกิน ทุกวันนี้ผมอยากเจอคุณลัญจกรมาก เพราะวันนั้นเขาให้ชีวิตลูกผมจนจบปริญญาเอกในวันนี้ แล้วหลังจากนั้นก็ขายไม่ได้อีกเลย
“ผมเลยเปลี่ยนอาชีพไปเป็นครู ตอนนั้นได้เงินเดือนเดือนละ 800 บาท ค่าเช่าห้อง 400 บาท เหลือ 400 บาท ตอนนั้นผมต้องอุ้มลูกไปสอนหนังสือ แฟนไปทำงานสอยเสื้อได้ตัวละ 1 บาท ทั้งลูกศิษย์ทั้งครูท่านอื่นก็ต้องมาช่วยผมเลี้ยงลูกไปด้วย แต่เงินเดือนก็ยังไม่พอใช้ เลยต้องทำงานพิเศษซึ่งผมทำหมด ผมล่อเป้าเป็นเทรนเนอร์มวย พอทำไปได้สักพักก็อยู่ไม่ไหวเพราะเงินเดือนน้อย พอดีเพื่อนชวนไปสมัครงานโรงแรมดุสิตธานี ได้เงินเดือนละ 1,500 บาท ในตำแหน่งล้างจาน ผมเลยกลับมาที่โรงเรียนเพื่อจะขอลาออก ครูใหญ่ก็ตกใจว่าผมจะลาออกไปล้างจาน ผมก็ให้เหตุผลว่าผมต้องเลี้ยงลูก แล้วตรงนั้นผมได้ตั้ง 1,500 บาท แต่ครูใหญ่บอกว่าอยู่ที่โรงเรียนนี้แหละเดี๋ยวจะเลื่อนขั้นให้เป็นครูประจำชั้น
เพราะการเป็นครูประจำชั้นจะได้เงินจากค่าสอนพิเศษเด็กเฉลี่ยแล้วก็ได้พันกว่าบาทแต่ไม่ถึงพันห้า ในที่สุดก็เลยเป็นครูต่อ แต่ลูกเราโตขึ้นทุกวันเงินเดือนเริ่มไม่พอแล้ว เลยพากันกลับไปอยู่ที่ตรัง ตอนนั้นพ่อก็เริ่มดีขึ้น เพราะว่าย่าเป็นคนช่วยพูดให้อะไรให้ ทำให้มีคนช่วยดูลูก ก็เริ่มขยับขยาย เริ่มหายใจได้กว้างขึ้น
“จากนั้นผมก็ไปทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ แล้วก็เริ่มเข้าวงการตลก เพราะได้ตั้งวงดนตรีในธนาคารแล้วเล่นตามสาขาต่างๆ ทั้งที่เดิมทีก็ไม่ใช่คนตลกแต่จะเป็นคนอารมณ์ดี สนุกสนานแต่ไม่มีพื้นฐานทางด้านตลก พื้นฐานตลกส่วนใหญ่จะปากกัดตีนถีบมาก่อนอยู่แล้ว ตลกทุกคนไม่ใช่ลูกเศรษฐีแล้วมาเล่นตลก เพราะตลกในยุคก่อนจะโดนดูถูกดูแคลนมาเยอะ ในหนังในละครจะต้องเป็นตัวที่เป็นคนใช้ เป็นขี้ข้าคนอื่น เป็นตัวที่ทำให้เขาหัวเราะ นั่นจึงเป็นที่มาของตลกนามสกุล ‘เชิญยิ้ม’
จุดเปลี่ยนอยู่ที่วันหนึ่งเขาได้ไปแสดงตลกที่นครสวรรค์ จากที่เล่นเพียงในธนาคารซึ่งจะมีแต่คนรู้จัก แต่พอลงสนามจริงกลับไม่มีใครขำ จนชายคนหนึ่งยืนขึ้นกลางร้านจะเอาแก้วเขวี้ยงพร้อมกับไล่พวกเขาลงจากเวที
“จากเหตุการณ์นั้นผมเลยลาออกจากธนาคารมาขับรถให้พี่เด๋อ ดอกสะเดา เพื่อมาจำมุกของเขา ผมเลยบอกพี่เด๋อว่าผมลาออกจากธนาคารแล้วนะ พี่เอาผมไปเล่นตลกทีแล้วผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง ตั้งแต่นั้นก็นั่งจำมุกจำคาแรกเตอร์ของพี่เด๋อ พี่ดี๋ แล้วก็ศึกษา ฝึก ดู จำ เรียนรู้ทุกเรื่องทุกศาสตร์ แล้วก็เริ่มเล่น พอเริ่มเล่น เชิญยิ้มก็มาพอดี พอเห็นผมก็เอาผมเข้าไปอยู่ในทีม แล้วก็เล่นด้วยกันตั้งแต่นั้นเลย ก็บูมมาเรื่อยๆ ก็ดังมาตั้งแต่นั้นเลย นี่เลยเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องจดจำไว้ ผมจะเป็นคนจำเรื่องราวไว้ไม่ว่าจะเป็นตอนที่รันทดที่สุด ก็ได้คุณลัญจกรช่วยเหลือไว้ คนที่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงจากพนักงานธนาคารมาเป็นตลก ก็เพราะคนนั้นที่จะเอาแก้วเขวี้ยงผม นั่นคือแรงบัลดาลใจที่ทำให้เรามีวันนี้ได้ ฉะนั้นในวันนี้มนุษย์เราจะประสบความสำเร็จได้ ต้องตั้งสติแล้วเดินเข้าไปหาจุดหมายให้ได้ทุกเส้นทางมันถึงเส้นชัยเสมอ ไม่มีเส้นทางไหนไม่ถึงเส้นชัยแต่มันจะถึงแบบไหนเท่านั้นเอง ช้าหรือเร็วยังไงมันก็ถึง
“โชคชะตามักเล่นตลกกับชีวิตคนเราเสมอ ในขณะที่คณะเชิญยิ้มกำลังเริ่มโด่งดังไปทั่วประเทศ หัวหน้าคณะกลับมาถูกยิงตายในคาเฟ่ ตอนนั้นตัดสินใจว่าจะเลิก มีศรีหนุ่มโย่ง แล้วก็ผมกอดคอกันร้องไห้ พี่เด๋อก็ให้กำลังใจกัน ในตอนนั้นผู้สนับสนุนเราก็พาไปพัทยาบอกเราว่าอย่าเลิก ให้พักผ่อนก่อน และในระหว่างนั้นที่จัดงานศพเพื่อนเรา เราก็สามารถเช็กเรตติ้งไปได้ด้วย เราไปกล่าวลาว่าจะเลิกเล่นตลกตามคาเฟ่ตามที่ต่างๆ ที่เราเคยเล่น แต่เชื่อไหมว่ามันเหมือนเรื่องตลกที่คนดูทุกคนยืนตบมือเรียก เชิญยิ้มอย่าเลิกๆ แบบนี้กันทั้งร้าน กลายเป็นเราเล่นตลกกันทั้งน้ำตาจากตรงจุดนั้นนะเชื่อไหมว่าพวงหรีดมากันเต็มจนล้นศาลา พอเช็กเรตติ้งแล้ว ก็ตัดสินใจว่าจะไม่เลิก เลยทำให้ต้องหาคนมาเพิ่ม เลยมาเป็นอ้วน และนุ้ย เชิญยิ้มในยุคนั้น
“จากครั้งนั้นเราก็ประสบทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวมาด้วยกัน ฉะนั้นจำไว้อย่างหนึ่งนะ มนุษย์ตอนไม่มีนี่ก็ยังไม่เป็นไร แต่พอมีปุ๊บเราชอบหลง ชอบระเริง ชอบเพ้อฝันไม่ตั้งสติ ไม่คิดอะไร จำไว้ว่าหลงอะไรก็ได้แต่อย่าหลงตัวเองมนุษย์คนเราพอมีชื่อเสียงก็มักจะหลงตัวเอง ซึ่งเป็นแบบนี้กันทุกคน ผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งในการหลงตัวเอง ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เล่นการพนัน เลี้ยงผู้หญิง หลงระเริง เพราะคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยหาใหม่ ตัวเองดังจะไปเอาเงินจากที่ไหนก็ได้ ไปหยิบยืมจากใครตรงไหนก็ได้ จนทุกอย่างมันล้มเหลว จนกลายเป็นหนี้เป็นสิน กลับมาสู่ที่เดิม ครอบครัวก็แตกแยกผมเองก็ไปมีแฟนใหม่เป็นคุณก้ามปู ตัวเราเลยต้องกลับมาตั้งสติใหม่ ว่าถ้าผมจะจีบลูกสาวคุณสุประวัติ ปัทมสูต ผมเองจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เพราะเราต่างอยู่ในวงการบันเทิง ผมต้องวางตัวใหม่จะให้มามองว่าผมเจ้าชู้ไม่ได้ ผมเป็นคนที่ทำอะไรจะมีบรรทัดฐานหรือจุดยืนของเราเพราะทางครอบครัวเก่าของเราก็เริ่มมีปัญหาระหองระแหงกันผมเลยตัดสินใจต้องเลิกกับทางครอบครัวเก่าเด็ดขาด ผมต้องสร้างความเชื่อถือบนแผ่นดินนี้ เพราะว่าพ่อตาเขาเป็นคนที่ได้รับการเคารพในวงการบันเทิง ถ้าผมฟันลูกเขาแล้วทิ้งผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อยู่ในสังคมนี้ได้อย่างไร ผมเลยเลิกกับครอบครัวเก่าแล้วพิสูจน์ในครอบครัวนี้ ทุกอย่างผมตัดหมดตั้งสติใหม่อีกครั้ง ให้ครอบครัวพ่อตาแม่ยายมองผมในแง่ใหม่สร้างภาพลักษณ์ขึ้นใหม่ ทั้งที่ผมเองก็ยังต้องเลี้ยงดูในส่วนของครอบครัวเก่าอยู่ ถึงตอนนี้จะเลิกกันมากว่า 20 ปี ผมก็ยังเลี้ยงดูจนถึงทุกวันนี้”
แบบอย่างที่ดี
ชายคนนี้เสมือนแมวเก้าชีวิต แม้จะมีช่วงตกบ้างแต่ก็กลับขึ้นมาผงาดได้อีก เพราะเขายึดมั่นในการเป็นคนคิดดีทำดีคิดบวก ไม่เคยเอาเปรียบใคร เขาบอกว่าต้องกล้าที่จะให้โดยที่ไม่หวังว่าจะได้รับกลับมา แล้วทุกอย่างมันจะโถมทวีคูณกลับมาหาเราเอง ตัวเขาเองเคยพลาดมาแล้วทุกเรื่อง แต่ทุกครั้งจะต้องกลับมาตั้งสติใหม่ และดำเนินชีวิตไปให้ได้
“ยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง ลูกผมไม่เรียนหนังสือ ผมก็ไปสมัครเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงกับลูก เพราะพ่อผมมีลูก 6 คน เรียนจบปริญญาตรีทุกคน มีผมคนเดียวที่เกเรเรียนไม่จบปริญญาตรี พอผมสมัครเรียนผมก็ทำให้ลูกเห็น ตอนลูกดูทีวีผมก็นั่งทำรายงานข้างๆ ลูก ผมก็ทำอยู่แบบนี้ จนวันหนึ่งลูกมานั่งตรงหน้าผมแล้วพูดว่า พ่อ...ผมจะกลับมาเรียนหนังสือแล้วนะ ผมได้ยินแล้วผมน้ำตาไหลเลย แค่คำพูดลูกคำเดียวมันทำให้ผมมีความสุขมากเลยนะ ทั้งๆ ที่ลูกยังไม่ได้ทำเลยนะ ฉะนั้นเวลาเรียนก็ไม่ต้องโถม ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แค่ลูกจะเรียนผมก็มีความสุขแล้ว
“พอผมเรียนจบปริญญาตรีที่รามคำแหง ผมเอาใบปริญญามายื่นให้พ่อแล้วกอดท่าน พร้อมกับพูดว่าวันนี้พ่อเก่งสมบูรณ์แบบแล้ว จากคนขับแท็กซี่พ่อส่งลูกจนจบปริญญาตรีแล้วทุกคน ตอนนั้นผมก็ขอว่าพ่อแม่อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ ผมขอปริญญาโทอีกใบให้พ่อแม่ได้ชื่นชม แล้วผมก็ไปเรียนปริญญาโทต่อที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม กว่าผมจะจบปริญญาโท ลูกผมจบปริญญาตรี ผมเลยให้ลูกไปเรียนปริญญาโท ผมเลยแข่งกันเรียนปริญญาโทกับลูก จนลูกผมจบปริญญาโท ผมเองก็ใกล้จะจบปริญญาโท ผมเลยให้ลูกรีบไปเรียนปริญญาเอกเลย ไม่เช่นนั้นผมจะข้ามคุณนะ ลูกชายก็เลยรีบไปสมัครเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม
“พอผมจบปริญญาโทผมก็บอกพ่อแม่ว่านี่คือความสำเร็จก้าวที่สอง พ่อกับแม่อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ รอผมจบปริญญาเอกก่อน จนผมจบปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผมก็มอบใบปริญญาทั้งสามใบให้พ่อแม่ แล้วบอกว่าผมเป็นเด็กที่เกเรที่สุดนะ เป็นคนที่ทำให้พ่อแม่ทุกข์ที่สุด เป็นคนที่ทำให้พ่อแม่เสียใจที่สุด แต่วันนี้ทุกอย่างสะท้อนกลับมาเป็นคุณค่าแห่งความดีที่จะมอบให้กับท่านผมจบปริญญาเอกแล้วจากเด็กที่เกเรที่สุดในบ้าน ทำให้พ่อแม่ผมน้ำตาไหลด้วยความปิติ แล้วสิ่งนี้มันทำให้พ่อแม่ผมมีความสุขที่สุด นั่นคือใบปริญญาเอกที่ผมมอบให้ท่าน ตอนนี้ได้ยินว่าทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครจะมอบปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิตให้ผมอีกใบหนึ่ง ผมสอนทุกคนเสมอเรื่องการตอบแทนบุญคุณ ในชีวิตนี้เราต้องตอบแทนบุญคุณ3 อย่าง ต้องเป็นคนรู้จักกตัญญูกตเวทีแล้วก็ต้องกล้าที่จะตอบแทนบุญคุณ สิ่งหนึ่งคือบุญคุณแผ่นดิน สองคือตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ สามถึงตอบแทนบุญคุณผู้มีพระคุณ”บริหารคน บริหารงาน
ช่วงแรกที่ทำ บริษัท โคเมดี้ ไลน์ เขายังคงเล่นตลกในคณะของตน แต่อีกพาร์ทก็ทำงานเบื้องหลังในวงการทีวีไปด้วย แม้งานแสดงตลกจะมาก แต่เมื่อถึงคราวต้องตัดสินใจเลือดนักบริหารทำให้เขาเลือกที่จะมุ่งมั่นทำธุรกิจ
“ผมเชื่อเสมอว่าคนเราสูงสุดก็ต้องลงต่ำสุด ชีวิตคนเราเหมือนลูกฟุตบอล ยิ่งมีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ ยิ่งสูงมากเท่าไหร่ยังไงเราก็ต้องตกลงมาอย่างแน่นอน เราต้องคิดว่าในระหว่างที่เราจะตกถึงพื้นเราจะทำอย่างไร โอกาสที่ผมจะโด่งดังยืนยาวเป็นศิลปินผมว่าผมไม่ใช่ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมต้องทำคือหาอาชีพใดอาชีพหนึ่งมาซับพอร์ตเราก็เลยมาทำรายการทีวี เริ่มจากรายการมุมหัวเราะที่หุ้นกับคุณไตรภพ ลิมปพัทธ์ คุณไตรภพลงทุน 3 ล้าน คุณโบ๊ทกับผมคนละ 1.5 ล้าน คุณไตรภพเขาลงหุ้นใหญ่ ผมกับคุณโบ๊ทเลยต้องลงเงินด้วย เล่นเองด้วย แต่รายการขาดทุนพวกเราก็เลยเลิก
“ต่อมาคุณประวิทย์ มาลีนนท์ ก็บอกว่ามีเวลาช่วงเที่ยงให้ ขอให้ผมทำให้สำเร็จนะ เขาจะเป็นกำลังใจให้ ผมก็เลยคิดรายการใหม่ขึ้นมา ในสมัยนั้นพักเที่ยงคนมักจะปิดทีวี ช่วงเวลานั้นก็เลยไม่มีคนดู ผมก็ไปต่อสู้เอาจากตรงนั้นแหละ ขาดทุนไม่ประสบความสำเร็จ แต่คุณประวิทย์ก็ให้เงินอาทิตย์ละแสน เพื่อช่วยผม ดูแลผม จนผมยืนอยู่ได้ตอนนั้นผมเล่นตลกไปด้วย ทำให้ต้องเข้าบริษัทสาย ลูกน้องก็สายไปด้วยเพราะเจ้านายยังไม่เข้า แบบนี้ก็แย่แน่ ผมเลยเลิกเล่นตลก แล้วได้มาเจอกับถั่วแระที่ออกมาจากโน้ต เชิญยิ้ม พอดี ผมให้ถั่วแระเอาคณะผมไปเลย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นรายได้จากคณะมีอยู่ประมาณ 300,000 บาทต่อเดือน เพราะผมจะไปดูบริษัทที่ทำรายการก่อนบ่ายคลายเครียดอย่างเดียว ผมก็เข้าบริษัทประชุมเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานใหม่ แล้วดูแลเองทั้งหมด ทุกอย่างทำใหม่ หาความสำเร็จใหม่ กลับมาสู้ได้
“ผมใช้ใจในการบริหารจัดการ เอาใจเข้าไปทำงาน เอาความรู้สึกดีๆ เข้าไปทำงาน เอาสติเข้าไปแก้ไขปัญหา ทุกเรื่องทุกงานมีปัญหากันหมด ปัญหาเขามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้มหรือให้เครียด การแก้ปัญหาต้องแก้ด้วยสติไม่ได้แก้ด้วยอารมณ์ ปัญหาทุกเรื่องผมไม่เคยเอากลับบ้านผมไปละลายความเครียดระบายอารมณ์ในสนามฟุตบอลกับเกมกีฬา แล้วหลังจากนั้นผมจะกลับมาตั้งสติใหม่ว่าจะแก้ไขกับปัญหานั้นอย่างไร ถ้านิ้วคนเราไม่เท่ากัน จะทำอย่างไรให้เท่ากัน ถ้าไม่มีสติเราก็จะเอามีดมาตัดนิ้วให้นิ้วมันเท่ากัน แต่ถ้าเรามีสติเราก็ย่นนิ้วตรงนี้ลงมา ดึงตรงนี้ขึ้นไป เราก็ต้องใช้ตัวช่วยใช้อีกมือดึง ทฤษฎีมันประกอบกันอยู่ในตัวมันอยู่แล้ว ฉะนั้นเราต้องใช้การคิดลงมือทำ แล้วแก้ไขมันให้ได้ ในสังคมไทยเราชอบตัดปัญหาไม่ชอบแก้ปัญหา เหมือนนักการเมืองในบ้านเรา ผมว่าถ้าคนไทยเราถืออิฐความดีกันไว้ทุกคน 70 กว่าล้านคน ล้อมกรอบประเทศไว้ยังไงเราก็ไม่มีทางแตกแยก ไม่มีการขัดแย้ง
“ทุกอย่างมันจะขึ้นอยู่กับคุณภาพ ทำอะไรก็แล้วแต่ทำให้มีคุณภาพ ทำให้มีภาพลักษณ์เป็นของตัวเอง สิ่งหนึ่งในความสำเร็จด้านการบริหารจัดการ ตอนผมไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนนักศึกษา ผมจะบอกว่ามันมีปรอทอยู่ 3 แท่ง ปรอทแท่งที่หนึ่งคือปรอทแห่งการสร้างสินค้า ประกอบไปด้วยทฤษฎีของ 4M ได้แก่ 1. Man Management 2. Money 3. Material 4. Management ปรอทแท่งที่สองคือทฤษฎีแห่งการทำโปรโมชั่น โดยใช้ทฤษฎี 4P เข้ามาช่วย1. Product 2. Price 3. Place 4. Promotion ปรอทที่สามทางการตลาดก็จะเข้ามาซื้อ ความสำเร็จมันก็จะเกิดขึ้นทิศทางและเป้าหมาย
บริษัทโคเมดี้ ไลน์ ได้ต่อยอดขยับขยายฐานลูกค้ามากขึ้นปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้เข้ากับสภาวะปัจจุบัน กลายเป็นบริษัทเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ครบวงจรที่อนาคตไกล
“การที่เราจะรีแบรนดิ้งตลกทุกคน เราต้องทำการรีแบรนดิ้งที่ตัวผู้นำก่อน ผมเองก็ต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ห่อหุ้มตัวเองก่อน สร้างความน่าเชื่อถือก่อน เมื่อทุกคนเชื่อในตัวผมผมก็จะสร้างรีแบรนดิ้งไปหาอาชีพของผม เปลี่ยนจากตลกคาเฟ่มาเป็นตลกคอมเมเดียน เอาเด็กรุ่นใหม่มาเล่นแทน เอาคนบุคลิคดีๆ หน้าตาดีๆ มาสอนแทน เอาคนรุ่นเดียวกันกับวัยรุ่นมาคุยมาเล่า โดยที่เราจะเป็นคนช่วยเหลืออีกแรงจนผมมีหลักสูตรที่ผมเขียนขึ้นมาเอง เป็นหลักสูตรที่อยากจะเพิ่มในมหาวิทยาลัยด้วย เป็นหลักสูตรที่สอนเกี่ยวกับการเป็นตลกเพราะผมเชื่อว่าตลกมันสอนกันได้ ไม่เช่นนั้นคุณเด๋อคงไม่สอนสายัณห์เล่นตลกหรอก ถ้าบอกว่าตลกสอนไม่ได้แล้วทำไมลิงถึงเล่นตลกได้ ทุกอย่างมันต้องศึกษาย้ำคิดย้ำทำ
การสอนมันมี 2 ทาง ทางตรงกับทางอ้อม
“ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็พร้อมจะขยายต่อบริษัทไปสู่อาเซียน ได้มีการพูดคุยวางแผนกันไปได้ 70 – 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว คือเมื่อก่อนที่ผมไปดูฟุตบอลโลกทุก 4 ปี เมื่อก่อนไปดูเพื่อดูการเตะฟุตบอลว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ แต่ปีสุดท้ายมานี้ผมเปลี่ยนมุมมองทัศนะคติทางความคิด เป็นการไปดูการแข่งขันทางยุทธศาสตร์ทางการตลาดของสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนต่างๆ ผมเลยเอามุมมองทัศนคตินั้นมาปรับมาพัฒนาเป็นสปอร์ตเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ผมได้คุยหลักสูตรกับ ดร.ปรางทิพย์ ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม ท่านจึงได้เปิดหลักสูตรการสอน สาขาสปอร์ตเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เป็นหลักสูตรปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยศรีปทุม จนตอนนี้รุ่นที่ 4 แล้ว
“มนุษย์เกิดมาทั้งทีอย่าท้อ ท้อนั้นเอาไว้ให้ลิงถือ ต้องไม่มีคำว่าไม่สำเร็จ เราต้องชนะ ต้องสำเร็จทุกคน มันจะช้าหรือเร็วก็เท่านั้นเอง บางครั้งยังไม่ถึงเส้นชัยเลยคุณก็ท้อและยอมแพ้แล้ว ทั้งที่ระฆังยังไม่หมดยกเลย อยู่ที่ว่าคุณมีสติหรือเปล่า คุณสู้กับมันหรือเปล่า กลับมาด้วยสติ ตายไปก็ถืออะไรไปไม่ได้ ร่างกายยังไม่ใช่ของเราจริงๆ เพราะทุกอย่างถูกกำหนดขึ้นมาแล้ว แต่สิ่งที่คุณทำได้คือการคิดดีทำดี นั่นเป็นเกราะกำบัง ความดีที่ผมสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเกราะปกป้องลูกของผม วันใดที่ไม่มีผมทุกคนจะบอกกับลูกผมได้ว่า พ่อมันเป็นคนดี เพราะฉะนั้นคุณต้องทำแต่ความดีเพื่อเป็นเกราะป้องกันทุกคนในครอบครัวคุณ อย่ามัวแต่มองถึงผลประโยชน์ อย่ามัวแต่มองถึงอำนาจ คนเรามักหลงอยู่สองอย่าง คือเงินและอำนาจ ให้เรากลับมาหลงความดีกันดีกว่า”