Bomb at Track : ระเบิดอารมณ์ สะท้อนความจริงผ่านเสียงดนตรี Issue 146
"เพราะความคิดคนมันห่วยสังคมเลยห่วยแตก" เพียงแค่หนึ่งวรรคจากหนึ่งเพลงใน EP แรกของพวกเขาก็สามารถอธิบายหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ณ ตอนนี้ได้เป็นอย่างดี หลายคนมองสิ่งเห็นผิดแปลกเป็นเรื่องชินตา เลือกที่จะนิ่งเฉยจนน่าตกใจ แต่สำหรับพวกเขา Bomb at Track วงแร็ปเมทัลเลือดใหม่ประกอบด้วย เต้ วงศกร เตมายัง (ร้องนำ), เมษ ภควรรษ ประเสิรฐศักดิ์ (กีต้าร), ปุ้ย ปราชญานนท์ ยุงกลาง (กีต้าร), ข้น ศาสตร์ พรมุณีสุนทร (เบส) และ นิล สิรภพ เลิศชวลิต (กลอง) พวกเขาทั้ง 5 คนเลือกจะไม่นิ่งเฉยกับเรื่องราวเหล่านี้อีกต่อไป และขอตัวแทนพูดถึงเรื่องราวที่ไม่สมเหตุสมผลพร้อมตั้งคำถามกับสิ่งที่เป็นอยู่ในสังคม เปรียบเสมือนระเบิดลูกใหม่ในวงการเพลงไทยที่ใช้ภาษาแร็ปอันจัดจ้าน ตรงไปตรงมา ควบคู่ไปกับเสียงดนตรีที่หนักแน่น และแข็งแกร่ง เพื่อสื่อสารและกระตุ้นเตือนให้ทุกคนตื่นตัวก่อนและเปลี่ยนแปลงก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้
ก่อนจะรวมตัวเป็น Bomb at Track ที่สมบูรณ์
เมษ : ย้อนกลับไปตอนที่ผม เต้ ข้น และนิล ยังเป็นนักศึกษาปี 1 เรียนที่คณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ตอนแรกมีเพียงผม ข้น และนิลที่รวมตัวกันทำวงส่งเพลงประกวด ช่วงปี 2 ได้ปุ้ย จากคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรมาร่วมวงด้วยในตำแหน่งมือกีต้ารและร้องนำ แต่ก็แยกย้ายกันไป ช่วงปี 3 ได้เต้เข้ามาร่วมวงในตำแหน่งร้องนำ แต่เป็นเพียงวงในวิชาเรียนเท่านั้น ก่อนที่จะเริ่มเข้าที่เข้าทางในช่วงปี 4 ตอนนั้นมีงานนูลเมทัลจัดที่เดอะร็อคผับ พวกเราได้เข้าร่วมเล่นดนตรีในงาน โดยมีเต้ร้องนำ และปุ้ยเป็นมือกีต้าร์แทนผม เนื่องจากติดธุระสำคัญ
ปุ้ย : หลังจากมารวมตัวกัน ทุกคนรู้สึกว่ามันน่าจะไปต่อได้ เลยชักชวนกันเขียนเพลง ซ้อมวง ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนก็ได้เพลง อำนาจเจริญ (Powerful) ออกมา
แนวทางของแร็ปเมทัล
ข้น : ตอนแรกพวกเราทำเพลงร็อกทั่วไป พูดถึงความรัก ร้องแบบเมโลดี้ แต่ก็มานั่งคิดกันว่าจริง ๆ แล้วพวกเราอยากทำอะไร ชอบอะไร เลยมีการเสนอไอเดียกันก่อนที่จะได้บทสรุปว่า พวกเราต้องการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ อยากเห็นสิ่งใหม่ ๆ ในวงการดนตรี จากเพลงร็อกก็ทำดนตรีให้หนักแน่นขึ้นเป็นเมทัล เรื่องการร้องเมโลดี้สวย ๆ ก็มีคนร้องเยอะแล้ว งั้นพวกเราแร็ปเลยแล้วกัน แนวทางของวงจึงออกมาเป็นแร็ปเมทัล ซึ่งถูกกับจริตของพวกเราครับ
จาก EP สู่อัลบั้มเต็ม
เต้ : ตอนที่พวกเราทำ EP ตอนนั้นยังไม่มีสังกัด ทำเองทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดนตรี เรื่องคอนเซ็ปต์ ติดต่อประสานงาน ติดต่อคนทำอาร์ตเวิร์ค ไปจนถึงขั้นพ่นสีกล่อง เอาซีดีใส่กล่อง ใส่ปก จัดส่งไปรษณีย์ มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพนักงานโรงงาน แต่พอได้เข้ามาอยู่ในค่าย Wayfer Records สังกัด Wanner Music Thailand พวกเรายังคงทำเพลงกันเองทุกขึ้นตอนเหมือนเดิม ต่างกันตรงที่การทำงานเป็นระบบระเบียบเรียบร้อยขึ้น ส่วนอื่น ๆ นอกเหนือจากงานเพลงจะ Pursuit เป็นการเสนอไอเดียไปยังทีมงานฝ่ายต่าง ๆ เพื่อคอยช่วยเหลือ เป็นทีมงานที่ใหญ่ขึ้น โดยพวกเราจะคอยดูภาพรวมอีกทีครับ
คอนเซ็ปต์อัลบั้ม White
ข้น : ชื่ออัลบั้ม White เพราะสีขาวมันคือความว่างเปล่า และความว่างเปล่าเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง นัยยะแรกคือ อัลบั้มนี้คือจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนของพวกเรา จุดเริ่มต้นของวง นัยยะที่สองคือ สีขาวเปรียบเป็นกระดาษยังไม่เปื้อนหมึก เหมือนสิ่งต่าง ๆ บนโลกที่ยังไม่มีอะไร นัยยะที่สามคือ สีขาวก็เหมือนกับเปลือกที่หอหุ้มตัวตนของคนคนหนึ่ง ที่ตอนเด็ก ๆ ยังไร้เดียงสา เราเริ่มต้นด้วยสีขาวก่อนที่จะต่อยอดไปสู่สีต่าง ๆ เหมือนกระดาษที่พอมีหมึกมาเปื้อนกระดาษถึงจะมีสีสัน เหมือนพอมีมนุษย์ เกิดสังคม เกิดสิ่งก่อสร้าง มีการรวมกลุ่มกันมากขึ้น มันก็มีเรื่องของอารมณ์ ของความคิดที่แตกต่างกัน เหมือนเด็กที่พอโตขึ้น พออยู่ในสังคม เปลือกของเราก็เริ่มถูกแต่งแต้มด้วยสีต่าง ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือจุดเริ่มต้นของวงก่อนที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตครับ
เพลงล่าสุดที่ปล่อยออกมาเพลง คำตอบ (Pursuit)
เต้ : คอนเซ็ปต์ของเพลงตอนแรกผมอยากให้เป็นเพลงที่เกี่ยวกับการตั้งคำถามกับหลาย ๆ อย่างที่ไม่สมเหตุสมผลในสังคม พาร์ทของผมจะเป็นการตั้งคำถาม ส่วนพาร์ทของ Repaze แร็ปเปอร์ที่เราได้ร่วมงานด้วยจะเป็นการตอบคำถามในเชิงประชดประชัน เป็นการสรุปในสิ่งที่ผลถามครับ
ข้น : พาร์ทดนตรีจะเป็นการนำเพลงแนว EDM ยุกต์ใช้ ทำให้จังหวะในเพลงนี้ค่อนข้างเร็วประมาณหนึ่ง มีความสนุก โยกได้ และเร้าใจครับ
นิล : โดยส่วนตัวผมชอบ Repaze มาตั้งแต่สมัยแข่งขันรายการ Rap is Now และด้วยแนวทางและฉายา The Best Flip เลยทำให้พวกเราเลือกเขาเป็นแร็ปเปอร์ที่วงอยากร่วมงานด้วยครับ
แนะนำเพลงในอัลบั้ม
เต้ : ผมชอบเพลง จด (Note) ที่ feat. กับพี่ริม Silly Fools ครับ เพลงนี้เป็นเพลงรัก พาร์ทของผมพูดถึงคนที่เสียใจที่การระบายความรู้สึกลงกระดาษ พาทของพี่ริมเป็นการพูดถึงความที่เจ็บปวดจนอยู่ไม่ไหว และตัดสลับมาด้วยพาร์ทของผมที่เป็นการปลอบใจครับ
ปุ้ย : ผมแนะนำเพลง ราชา (The Man) พาร์ทดนตรีมันฟังไม่ยากจนเกินไป เพลงสนุกมาก ให้อารมณ์ปลุกใจสำหรับคนที่มีความฝัน ฟังแล้วรู้สึกฮึกเหิมดีครับ
นิล : ผมชอบเพลง ผู้ใหญ่ (Arrogant) เพลงนี้ทางผมพยายามทำให้พาร์ทของดนตรีแตกต่างจากขนบพื้นฐานทางดนตรี มีจังหวะแบบฮิปฮอป มีกลิ่นอายแก๊งสเตอร์ เนื้อหาเป็นการจิกกัดกลุ่มคนที่มีอำนาจเหนือในสังคม
เมษ : จริง ๆ แล้วผมชอบทุกเพลงครับ แต่เพลงที่อยากพูดถึงคือเพลง จด (Note) เพราะเป็นเพลงที่ท้าทายพวกเราจากกรอบเดิม ๆ
ข้น : ผมเองก็ชอบทุกเพลงครับ แต่ที่ชอบที่สุดคือเพลง พ่อใหญ่ (Big Daddy) เป็นเพลงโจ๊ะ ๆ เนื้อหากวน ๆ ซึ่งถ้าฟังให้ดีดูเหมือนพูดเรื่องตลกร้ายธรรมดา แต่มันสะท้อนระบบองค์กรต่าง ๆ ที่ใหญ่กว่าเรื่องของเด็กนักเรียนครับ
จากวงเล็ก ๆ หน้าใหม่สู่ความสำเร็จและกลายเป็นวงที่น่าจับตามอง
เต้ : สำหรับผมสิ่งที่ได้รับตอนนี้มันเกินตัวครับ แต่ยังไม่ไกลเกินฝัน ตอนนี้มันยังไม่ถึงในสิ่งที่ผมวาดฝันเอาไว้ แม้ว่าผลตอบรับของพวกเราที่ได้รับมันจะดีเกินคาดก็ตาม ภายในสองปีพวกเราได้ร่วมงานกับคนมากมาย ได้รับรางวัล ได้เดินทางไปเล่นที่ต่างประเทศ มันเกินตัวมาก ๆ เลยครับ
ข้น : ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันเข้ามาเร็วเกินกว่าที่คิด แต่มันก็ทำให้พวกเราเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าจะไปทางไหนต่อ เพื่อทำให้วงสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการนี้ได้ครับ
นิล :ความสำเร็จที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ผมได้ดีใจ เพราะก่อนหน้านี้วงเคยอยู่ในจุดที่ไปเล่นแล้วไม่มีใครรู้จัก หรือบางทีก็ไม่มีคนดู ได้เห็นคนที่รักเรา คนที่ไม่รักเรา ถามว่าพอใจหรือยังกับตอนนี้ สำหรับผมมันเป็นแค่จุดเริ่มต้น พวกเรายังมีอะไร ยังทำอะไรได้มากกว่าที่ทุกคนเห็นอีกเยอะครับ
ปุ้ย : มันทำให้ผมได้ย้อนกลับไปมองในสมัยที่เราเป็นเด็กมัธยม เรามีความฝันว่าอยากเล่นดนตรี อยากออกอัลบั้ม แต่ว่ามันยังไม่สิ้นสุดแค่นี้ มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น การเดินทางต้องมีต่อไปครับ
เมษ : สำหรับคนที่เล่นดนตรี จุดที่พวกเรายืนอยู่มันคือมุดหมายของนักดนตรีอยู่แล้วครับว่าต้องมาให้ถึงให้ได้ เหมือนกับเวลาที่ใครตั้งใจทำอะไร มันต้องถึงวันที่ทำตามฝันได้ ตอนนี้ผมภูมิใจมาก ๆ เลยครับ
Photo : Satchaphon Rungwichitsin