KJ : On My Soul ศิลปินกู๊ดบอย กับอัตลักษณ์ความเป็นไทยสไตล์ Neo Thai Country
KJ (เคเจ) หรือ กาย กฤติพงษ์ ใจห้าว เขาคือศิลปินมากความสามารถจากค่าย Noble Music หนุ่มใต้วัย 20 ปีผู้มาพร้อมกับเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ สไตล์ดนตรีจัดจ้าน และแพสชั่นที่เปี่ยมล้นแบบขั้นสุด พร้อมหยิบยกรากเหง้าสำคัญที่คอยหล่อหลอมตัวตนอย่าง ‘เพลงลูกทุ่ง’ และความเป็น ‘คนใต้’ มาผสมผสานกับรสนิยมทางดนตรี ‘โซล’ และ ‘อาร์แอนด์บี’ ที่ชื่นชอบ ก่อให้เกิดเป็นอัตลักษณ์ที่ชัดเจน พร้อมสอดไส้ความเป็นไทยเพื่อหวังปลุกชีพวิญญาณที่ใครหลายคนมองว่าหลับใหลให้เติบขึ้นใหม่ในร่าง ‘Neo Thai Country’
Intro : KJ
KJ : สำหรับ KJ ชื่อนี้มีที่มาจากชื่อจริงกับนามสกุลของผมครับ ‘กิตติพงษ์ ใจห้าว’ ขึ้นต้นด้วย K และ J เพราะอยากให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงตัวตนของผมแบบจริง ๆ เรียบง่าย เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่มีอะไรต้องปิดบังซ่อนเร้นกับคนฟัง เป็นศิลปินที่รักและหลงใหลในศิลปะ ชอบฟังเพลงโซล/อาร์แอนด์บี แจ๊ส และที่พลาดไม่ได้คือเพลงลูกทุ่งเพราะผมฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งหล่อหลอมให้เรากลายเป็นศิลปินที่มีทั้งความเป็นลูกทุ่ง โซล/อาร์แอนด์บี และแจ๊สผสมเข้าด้วยกัน
Track : Good Boy
KJ : ผมเติบโตมากับการร้องเพลงครับ หลายคนอาจถามว่าผมร้องเพลงตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ตอบคร่าว ๆ น่าจะประมาณ 3-4 ขวบ ช่วงนั้นผมเป็นเด็กที่ชอบทำตามอารมณ์ตัวเอง อยู่ในกรอบไม่ได้สักเท่าไหร่ ถูกเลี้ยงดูมาแบบทำตามอารมณ์ได้เลย โชคดีที่ผมไม่ได้เป็นคนที่มีอารมณ์โกรธหรือขี้โมโหสักเท่าไหร่ แต่กลับเป็นเด็กที่เอ็นจอยกับทุกสิ่งรอบตัว สนุกกับการค้นหาสิ่งใหม่ ๆ มากกว่า เวลาสนใจอะไรก็มักจะดำดิ่งไปกับสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง เล่นดนตรี หรือศิลปะด้านอื่น เช่นการเขียน การวาดรูป
ขณะที่ญาติทางฝั่งคุณแม่เป็นข้าราชการตำรวจ ส่วนคุณพ่อเป็นข้าราชการอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ แต่เหมือนว่าผมจะเล็ดลอดออกมาจากสิ่งแวดล้อมของครอบครัว ศิลปะไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัวผมให้ความสำคัญเป็นหลัก แต่มันดันเป็นสิ่งที่ผมสนใจ จากการที่คุณตาคุณยายเปิดเพลงให้ฟังและผมก็ชอบดนตรี มันแค่นั้นเลยครับ
ช่วงแรกผมดำดิ่งไปกับการฟังเพลงลูกทุ่งเนื่องจากผมโตมากับคุณตาคุณยาย ท่านเปิดเพลงลูกทุ่งให้เราฟังมาตั้งแต่เล็ก จนกระทั่งช่วงมัธยมผมได้มาเจอกับวงดนตรีเป็นครั้งแรก ก็เริ่มหลงใหลในเครื่องดนตรี เราศึกษาและหัดเล่นเครื่องดนตรีชิ้นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลอง เบส กีต้าร์ เปียโน ยิ่งพอได้มารู้จักกับแนวเพลงของตะวันตกเพิ่มมากขึ้น ก็เลยสวิตช์จากแนวลูกทุ่งที่ร้องมาตลอด มาเริ่มร้องเพลงโซล/อาร์แอนด์บี ทำให้เรามีแรงบันดาลใจในการสร้างเพลง เขียนเพลงเพิ่มมากขึ้น
Track : Feeling like day one
KJ : แรกเริ่มผมฝึกร้องเพลงก่อนครับ ผมร้องเพลงตั้งแต่ช่วงป.1 จนป.2 ที่บ้านเห็นว่าเราร้องไม่หยุดเลย เขาก็เลยไปคุยกับคุณครูสอนดนตรีที่โรงเรียนประถมว่าพอเป็นไปได้มั้ยที่จะฝึกสอนร้องเพลงให้เด็กคนนี้ คุณครูเขาบอกว่าได้ เดี๋ยวจัดตารางฝึกซ้อมให้ ต้องขอขอบคุณคุณครูเพ็ญศรีที่คอยสอนและให้ความรู้ผมมาตั้งแต่จุดเริ่มต้น ตอนนี้ความรู้ของท่านก็ยังอยู่และผมใช้มันอยู่เสมอครับ
ส่วนเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ผมเล่นคืออูคูเลเล่ครับ ช่วงประถมก็หัดเล่นอยู่พักนึง ตอนนั้นผมพยายามที่จะลองเล่นเครื่องดนตรีอยู่หลายชิ้นมาก แต่ด้วยความที่เรามีแพสชั่นไม่มากพอ พอรู้สึกว่ามันยากก็ล้มเลิกไปเลย ประกอบกับผมต้องซ้อมร้องเพลงด้วย แค่ซ้อมเช้า-กลางวัน-เย็น-กลางคืน มันค่อนข้างหนักหน่วงพอสมควรจนทำให้เราหนีจากเครื่องดนตรี หนีจากการร้องเพลงไปอยู่พักนึง
พอขึ้นชั้นมัธยม เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทำให้ผมรู้จักกับจังหวะแบบจริงจังคือกลองชุด ผมรู้สึกว่าจังหวะคือหัวใจ คือแม่ทัพในการบอกจำนวนก้าว บอกความสั้นยาวของก้าวที่ทุกคนในวงจะได้เดินไปพร้อมกัน จากกลองชุดก็ไหลไปเล่นเปียโน ก็ค่อย ๆ ฝึกเล่นเครื่องอื่นตามมาทีหลัง
Track : Self-Centered
KJ : ผมซ้อมร้องเพลง หัดเล่นดนตรี ประกวดร้องเพลงตามเวทีเพื่อละลายพฤติกรรมทำให้เรากล้าแสดงออก มันก็ค่อย ๆ ต่อยอดความคิดให้อยากทำเพลง อย่างตอนประถมผมชอบอ่านกลอนชอบเขียน จนช่วงประมาณอายุ 15 เริ่มมีความคิดที่อยากจะฟังเพลงแบบนั้นแบบนี้แต่มันไม่มีให้ฟัง รู้สึกว่างั้นเราต้องทำขึ้นมาเองแล้ว เป็นช่วงแรกที่เริ่มศึกษาและพยายามหัดโปรดิวซ์เพลงขึ้นมาเองครับ
จริง ๆ เพลงแรกที่ทำเองแล้วรู้สึกว่ามันสมบูรณ์แบบเรียกได้ว่าไม่มี เพราะผมไม่ได้ปล่อยเพลงเลยจนมาอยู่กับ Noble Music ตอนนั้นผมเริ่มหัดทำเพลงให้คนอื่นฟังแล้วเก็บฟีดแบคกลับมาเพื่อพัฒนาตลอดแต่ยังไม่ปล่อยสักที เพราะรู้สึกว่ามันยังมีมาตรฐานที่ดีไม่พอ ยังมีจุดบกพร่องที่ผมรู้สึกว่ายังไม่สมควรแก่การปล่อย จนกระทั่งเพลงแรกที่ผมมองว่าเหมาะสมแล้วก็คือ “เอาแต่ใจ (Self-Centered)” เพลงแรกที่ได้มาปล่อยกับค่ายและอยู่ใน EP “Soul sad” ครับ
Track : Label
KJ : ช่วงที่หัดทำเพลง ผมพยายามส่งเดโมของตัวเองไปให้หลาย ๆ ค่ายได้ลองฟังนะครับ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นทั้งฝีมือ ความคิด ทัศนคติ สิ่งแวดล้อม หลายอย่างของเรายังไม่พร้อมที่จะทำให้ผลงานไปเข้าตาของใคร ส่วน Noble Music ก็เป็นคล้าย ๆ กลุ่มพี่ที่ผมรู้จัก พวกเขากำลังจะสร้างค่ายขึ้นมาพอดี แล้วผมมีความคิดที่อยากจะเป็นศิลปิน พอเราได้ลองเข้ามาคุยกันก็เลยเกิดการวางแผนว่าจะทำโปรเจคนี้ร่วมกันนะ คือสร้าง KJ ขึ้นมา สร้างเพลงที่เป็นแนวโซล/อาร์แอนด์บี เหมือนเป็นการเริ่มต้นขึ้นมาพร้อม ๆ กันเลยครับ
Track : OMG
KJ : เมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมเพิ่งปล่อยซิงเกิลล่าสุด “โธ่เอ๊ย (OMG)” คอนเซ็ปต์เพลงพูดถึงคนที่พยายามทุ่มเทเพื่อความรักความสัมพันธ์ของเขา จนเกิดเป็นคำถามขึ้นในใจว่าตกลงที่ทำไปมันดีพอหรือยัง? หรือว่ามันดีเกินไปนะ? และความสงสัยชั่ววูบนี้ก็ทำให้เขานั่งกังวลจนต้องอุทานว่าโธ่เอ๊ยออกมา
สำหรับแนวเพลง ผมจำกัดความเอาไว้สั้น ๆ ว่ามันคือแนว Neo Thai Country หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินเพราะเป็นคำที่ผมคิดและอยากจะเขียนลงไปเอง ด้วยความที่ Thai Country คือเพลงลูกทุ่งเพลงไทยเดิม Neo Thai Country ก็คือการที่เราปลุกวิญญาณที่หลับใหลอยู่ของเพลงลูกทุ่งให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างใหม่ เป็นการนำตัวตนด้านโซล/อาร์แอนด์บีในช่วงวัยรุ่นมาผนวกเข้ากับรากเหง้าพื้นฐานของผมอย่างเพลงลูกทุ่ง พัฒนาจนกลายมาเป็นเพลงแนวนี้
ขอ 3 คำให้กับเพลง “โธ่เอ๊ย (OMG)” ก็คงเป็น “Let it be” ปล่อยมันไปตามที่ควรจะเป็น เพราะโธ่เอ๊ยมันเหมือนการสลัดอารมณ์ไม่ดีทิ้งออกไป บางทีถ้ายึดติดกับความเครียด ความกังวล ความเศร้า หรือความทุกข์ใจมากเกินไป มันจะอยู่กับเราได้นานมาก มันจะบั่นทอนและทำร้ายคุณ โธ่เอ๊ยมันเป็นการเอาอารมณ์พวกนั้นทิ้งไปพร้อมกับคำพูดว่า “โธ่เอ๊ย” พอมันถูกทิ้งไปแล้ว เราไม่จำเป็นต้องเก็บขยะกลับมาใส่ในตัวอีก แล้วมันก็จะผ่านไป
Track : This is not a song, This is my heart (Music Spotlight)
KJ : เริ่มจากเดบิวต์ซิงเกิล “เอาแต่ใจ (Self-Centered)” เพลงนี้บอกเล่าความรู้สึกในช่วงวัยเด็กของผม อายุประมาณ 16-17 ความเป็นเด็กมักจะคิดอะไรเร็วและมีอารมณ์พุ่งรุนแรง บางทีก็โดนมองว่าเป็นการเอาแต่ใจและคิดน้อยได้ ผมเอาไปเชื่อมโยงกับสถาการณ์ความรักว่าฝ่ายที่ถูกมองว่าเอาแต่ใจงอแง บางทีเขาอาจพยายามสื่อสารว่าคนรักนั้นสำคัญแค่ไหน เขาไม่ได้เอาแต่ใจนะ เพราะถ้าขาดคนรักไปคงอยู่ไม่ได้ ก็เลยแสดงออกมาแบบนั้น ซึ่งเป็นการสะท้อนว่าอารมณ์ที่ไม่ดีมันมักจะมาบดบังความจริงใจ บดบังความรู้สึกดี ๆ ของกันและกันได้ ผมอยากสื่อว่าคนเรามีอะไรให้ลองเปิดใจคุยกัน บางทีหีบห่อที่อีกฝ่ายทำมาดูไม่สวยแต่ข้างในอาจมีของขวัญที่งดงามซ่อนอยู่ก็เป็นได้
เพลงต่อมา “หลุมดำ (Blackhole)” เพลงช้าเศร้า ๆ ผมเอาความรักความสัมพันธ์ไปผูกโยงกับคำว่าหลุมดำ เรารู้กันดีว่าคุณสมบัติของหลุมดำนั้น เมื่อมีสิ่งใดตกเข้าไปจะไม่มีทางหลุดออกมาได้เลย แม้แต่แสงสว่าง ซึ่งความสัมพันธ์แบบหลุมดำผมจำกัดความไว้ในรูปแบบของการดึงดูดให้จมดิ่งลงโดยที่หาทางขึ้นมาไม่ได้ ผมอยากเขียนเพลงนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าคู่ชีวิตที่ไม่เข้ากัน จนกลายเป็นหลุมดำให้กัน มันอาจแปลความหมายได้ว่าเราควรแยกย้ายเพื่อไปเจอคนที่เข้ากันได้ดีกว่า โดยเนื้อเพลงจะพูดถึงแหวนว่ามันไม่ใช่เครื่องหมายวัดว่าเราจะเป็นนิรันดร์ แต่มันคือเครื่องตอกย้ำว่าสักวันเราอาจจะต้องทิ้งแหวนนี้ไปก็ได้นะ เพื่อไม่ให้เรายึดติดกับความสัมพันธ์ที่เป็นหลุมดำ
ต่อมา “ไอฟาย (I’m Fine)” ชัดเจนเลยว่ากิมมิคของเพลงนี้คือคำว่า ‘ไอฟาย’ กับ ‘I’m Fine’ เป็นการหยอกล้อว่าเรากำลังโกหกตัวเองอยู่นะ มันคือการด่าตัวเองเล็ก ๆ ว่าทำไมเราถึงยอมให้เขาหลอกได้นะ เนื้อเพลงก็พูดถึงกรณีที่เรารู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันไม่ได้หวังดีกับเราแต่ก็ยังทนอยู่ มันเหมือนเป็นการเตือนเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนที่กำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ ว่าหัวใจของคุณไม่ปลอดภัยแล้วนะ จะยอมโดนย่ำยีต่อไปเรื่อย ๆ หรอ
ต่อมาคือเพลงที่ทุกคนน่าจะรู้จักกัน “Good boy” เพลงนี้รีเลทกับตัวผมตรง ๆ ในเรื่องของการเป็นกู๊ดบอย ผมเคยพยายามเป็นสิ่งที่คนเขานิยมกันในช่วงที่ยังเด็ก ซึ่งมันมีหลายวิธีในยุคที่ผมโตมา อย่างคำว่าแบดบอยมันดูเท่ใช่มั้ย เราอยากได้รับความรักความสนใจเลยพยายามที่จะเป็นแบดบอย แต่มันไม่สามารถเป็นได้จริง ๆ งั้นเปลี่ยนกลับด้านจากทางแบดที่เราไม่เก่ง ไปเป็นทางกู๊ดบอยแล้วกันเพราะมันง่ายดี ผมไม่ต้องฝืนอะไร Good boy จึงเป็นเหมือนเพลงประจำตัวของกู๊ดบอย ทำให้เขาไม่รู้สึกว้าเหว่ว่ายังมีเพื่อนแบบเราเยอะแยะเลย อีกอย่างผมสร้างเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนที่รู้สึกว่าชีวิตนี้ทำไมเจอแต่คนไม่ดีนะ จริง ๆ แล้วคนเรามีทั้งดีและไม่ดี เพราะงั้นอยากให้เขามองภาพกว้าง ๆ เปิดใจมองคนให้ออกว่าใครดีหรือไม่ดีกันแน่
ต่อมาในเพลง “Cloud 9” หลังเพลงนี้ผมเว้นระยะการปล่อยเพลงไปเกือบหนึ่งปีเต็ม คอนเซ็ปต์เพลงมาจาก ‘Cloud 9’ หรือ ‘สวรรค์ชั้น 9’ ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด ถ้าบ้านเราก็คือสวรรค์ชั้นดาวดึงหรือสวรรค์ชั้น 7 ผมอยากสื่อว่า Cloud 9 มันอยู่ข้างบนและเราอาจมองไม่เห็น แต่ตามเนื้อเพลง ‘Cause after storm there'll be cloud 9’ คือในวันที่เมฆครึ้มฝนตก พายุโหมกระหน่ำใส่คุณ สุดท้ายพายุจะจบลง ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงสว่างจะกลับมาอีกครั้ง พื้นที่คับแคบที่เคยมองมันจะมีที่ว่างและกว้างมากพอให้ได้รับความสดใส และนี่คือ Cloud 9 เพลงนี้ผมตั้งใจที่จะให้กำลังใจคนว่าอยากให้พวกเขาเข้มแข็ง อีกอย่างคือการใส่ภาษาใต้เข้ามาในเพลงเป็นครั้งแรกในรูปแบบโซล/อาร์แอนด์บี เพื่อบอกว่าผมเป็นใครมาจากไหน
ส่วนเพลง “โธ่เอ๊ย (OMG)” อย่างที่พูดไปว่าเพลงนี้มีการผสมผสานระหว่างไทยและตะวันตกจนเกิดเป็น Neo Thai Country เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความทุกข์จากความสงสัยในใจว่าเราดีไม่พอหรือดีเกินไปกันนะ ซึ่งต่อยอดมาจาก “Good Boy” ว่าการเป็นกู๊ดบอยในความสัมพันธ์อาจถูกมองว่าเป็นคนดีเกินไป หรืออาจถูกมองว่ายังดีไม่พอได้เหมือนกัน ที่สำคัญผมอยากจะบอกให้ทุกคนรู้ว่ามันไม่เกี่ยวว่าคนอื่นจะมองคุณยังไง ขอแค่เรารู้และเริ่มที่ตัวเองก่อน เราจะรู้เองว่าตอนนี้มันดีพอ หรือควรเป็นคนที่ดีขึ้นหรือเปล่านะ
Track : Made in Heaven (Cloud 9)
KJ : นับจากวันแรกที่เริ่มเขียนเพลง เรียกได้ว่าผมเติบโตขึ้นมากเลยครับ ไม่คิดเลยว่าเด็กในวันนั้นจะมายืนตรงจุดนี้ได้ ช่วงก่อนเดบิวต์ผมยังเขียนเพลงเพื่อสนองความต้องการและพูดในสิ่งที่อยากจะพูดเท่านั้น แต่พอเราโตขึ้น ผ่านช่วงเวลาการบ่มเพาะ ผ่านค่าย ผ่านผู้ใหญ่หลายคนที่คอยสอนสิ่งต่าง ๆ ทำให้มุมมองในการสร้างสรรค์ผลงานเปลี่ยนไป ผมเริ่มมองเห็นคุณค่าของเพลงและศิลปะมากขึ้น รู้ว่าเพลงสามารถเข้าไปมีผลต่ออารมณ์ความคิดของคนฟังได้มากน้อยแค่ไหน ทำให้ผมรู้สึกว่าการสร้างเพลงและงานศิลปะในแต่ละครั้งมันจะต้องมีคุณค่าต่อผู้คน ต้องคิดถึงคนอื่นให้มากเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเป็นศิลปินที่รักผู้ฟังมาก ๆ ผมเข้าใจเลยว่าการเป็นศิลปินมันไม่ใช่แค่การปล่อยเพลงของตัวเองเพียงอย่างเดียว
ขอ 3 คำให้ KJ คงเป็น “Boy To Men” เพราะผมอยากเติบโตจากเด็กชายไปเป็นผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษ ผมคิดว่าสังคมของเรายังต้องการสุภาพบุรุษนะ แล้วก็คิดว่าการเป็นสุภาพบุรุษที่ดีของสังคมเป็นเรื่องที่ผู้ชายทุกคนควรทำอยู่แล้ว และเป็นสิ่งที่ KJ ควรจะทำเหมือนกันครับ
Track : Music Inspire
KJ : จุดเริ่มต้นในช่วงวัยเด็ก ผมมักจะร้องเพลงลูกทุ่งของ คุณยอดรัก สลักใจ เพราะเพลงของเขามีถ้อยคำหวานซึ้ง มีการร้อยเรียงประโยคมาอย่างดี เพลงถูกออกแบบมาเพื่อสื่อสาร มีมุขตลกบ้างเพื่อทำให้เพลงมีอารมณ์ขันและมีสีสัน แต่พอช่วงที่เราเริ่มอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง แรงบันดาลใจหลักของผมคือ บรูโน่ มาร์ส กับ ไมเคิล แจ็คสัน ซึ่งมีอิทธิพลต่อแนวเพลงและวิธีคิดในการสร้างงานของผม ซึ่งคนที่ผมยกให้เป็นไอดอลแบบพูดได้ชัดเจนที่สุดคือเอ็มเจครับ เขามีผลต่อระบบความคิดของผมมากจริง ๆ
Outtro : Good Bye
KJ : สำหรับแฟนเพลง อันดับแรกผมต้องขอขอบคุณทุกคนจริง ๆ ทั้งกลุ่มคนที่ติดตามผมมาตั้งแต่แรก และกลุ่มคนที่เข้ามาเจอผมผ่านเพลง “โธ่เอ๊ย (OMG)” พวกคุณคือกำลังสำคัญในอุตสาหกรรมเพลงและสำคัญต่อชีวิตของผมด้วย จริง ๆ แล้วคนที่เปลี่ยนชีวิตของผมอาจจะไม่ใช่ตัวผมเองด้วยซ้ำ แต่อาจจะเป็นพวกคุณทุกคนที่สนับสนุนติดตามฟังเพลงของผม เพราะฉะนั้นผมอยากบอกว่าพวกคุณคือคนที่มีพระคุณมาก ๆ ผมจะทำเพลงที่ดีและเป็นศิลปินที่ดีเพื่อผู้ฟังของผม เพื่อทุก ๆ คนในโลกเลยครับ
สำหรับช่องทางการติดตามนะครับ ผมขอแนะนำตัวอีกครั้ง ผม KJ จาก Noble Music ทุกคนสามารถติดตามข่าวสารของผมได้จากโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ของ Noble Music และช่องทางโซเชียลมีเดียส่วนตัว Instagram :kj2003s มี Tiktok :kittipongjaihaw และ Facebook : KJ รวมถึงสตรีมมิ่งทุกแพลตฟอร์มก็สามารถเข้าไปฟังเพลงของKJ กันได้แล้วครับ