Essence of Harmony กาย ใจ จิต สู่ชีวิตสมดุล ความรู้ทางการแพทย์ การป้องกัน และการรักษาโรค จากภายในไปสู่ภายนอก : Scoop
Essence of Harmony : กาย ใจ จิต สู่ชีวิตสมดุล
มนุษย์เราล้วนปรารถนาที่จะมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมเป็นสุขทั้งกายและใจ แต่สิ่งที่เราไม่สามารถเลี่ยงได้เลยคือความเจ็บป่วย การดูแลสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ MiX Magazine ฉบับ 195 จึงนำเรื่องความรู้ทางการแพทย์ การป้องกัน และการรักษาโรค จากภายในไปสู่ภายนอก เสมือนเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาไปสู่ความแข็งแรงของร่างกายและสุขทางจิตใจอย่างยั่งยืน
บทที่ 1 : ทางเดินอาหารและตับ ระบบที่สำคัญของร่างกาย
ระบบภายในร่างกายถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของชีวิต เพราะอย่างแรกหากเป็นโรคเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องแสดงอาการออกมาเท่านั้น โรคระบบทางเดินอาหารและตับเป็นกลุ่มโรคที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วไป โดยเราขอยกตัวอย่างโรคที่คนมักเป็นบ่อยดังต่อไปนี้
โรคกระเพาะอาหาร
โรคกระเพาะอาหารเกิดด้วยกันหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมต่าง ๆ เช่นการกินอาหารไม่ตรงเวลา การดื่มเหล้า สูบบุหรี การกินยามีฤทธิ์กัดกระเพาะ (บางส่วนอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori ร่วมด้วย) ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งจะมีอาการปวดแสบร้อนในท้อง คลื่นไส้อาเจียน หรืออาเจียนมีเลือดปนออกมา
การรักษาโดยทั่วไปจะใช้ยาลดกรดเพื่อลดการหลั่งกรดหรือ ใช้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วยในการกำจัดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ผู้ป่วยต้องช่วยรักษาตัวเองด้วย เช่น งดการรับประทานอาหารรสจัด เครื่องดื่มกาแฟ และแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อกระเพาะ
โรคลำไส้
โรคลำไส้ที่พบบ่อยได้แก่ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้อักเสบ และโรคพยาธิในลำไส้ สาเหตุส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม การติดเชื้อ ความเครียด หรือแม้แต่ความผิดปกติทางพันธุกรรม ก็เป็นสาเหตุของโรคได้เช่นกัน
การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี เช่นการใช้ยา การผ่าตัด หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ และจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม
โรคตับ
ถือได้ว่าเป็นโรคอันดับต้น ๆ ที่ฆ่าคนไทย โรคตับที่พบบ่อย ได้แก่ ตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับ สาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก โรคอ้วน หรือความผิดปกติทางพันธุกรรม โดยจะมีอาการเช่น ตัวเหลืองคล้ำ ปวดท้องน้อย อ่อนเพลีย และมีไข้
การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและระยะของโรค โดยในกรณีติดเชื้อไวรัสจะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ส่วนในกรณีที่ตับเสียหายมากจนเกิดตับแข็งอาจต้องรอรับการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ ผู้ป่วยโรคตับจึงควรปรับพฤติกรรมการดำรงชีวิต โดยงดเว้นจากการดื่มแอลกอฮอล์ ควบคุมน้ำหนัก และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อตับ
ในส่วนของการป้องกันโรคระบบทางเดินอาหารและตับที่สำคัญ คือ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับ การรับประทานอาหารที่ปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อร่างกาย หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและแอลกอฮอล์ รวมถึงออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงโรคอ้วน และหมั่นตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อง่ายต่อการรักษาในระยะแรก
แม้โรคระบบทางเดินอาหารและตับหรือระบบภายในร่างกายจะมีหลากหลายโรค แต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ละทิ้งพฤติกรรมเสี่ยงในการเป็นโรค หากพบว่าเป็นโรคแล้วก็ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
บทที่ 2 : โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ภัยเงียบอันตราย
โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งคนที่มีร่างกายปกติ ภูมิคุ้มกันจะต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามายังร่างกาย แต่สำหรับคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ระบบภูมิคุ้มกันกลับมองว่าสิ่งที่ร่างกายพบ (ซึ่งคนปกติไม่แพ้) เป็นสารก่อภูมิแพ้และพยายามต่อต้าน จนเกิดอาการแพ้หรือระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเนื้อเยื่อและอวัยวะของร่างกายเอง
สาเหตุหลักของโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันมาจากหลายสาเหตุ ส่วนหนึ่งมากจากพันธุกรรม อีกส่วนหนึ่งมาจากสิ่งแวดล้อม ทั้งมลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ และสารเคมีต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมาจากสารก่อภูมิแพ้ เช่น อาหารบางชนิด ยาบางชนิด พิษจากแมลงหรือสัตว์ เป็นต้น ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันนี่เอง มักทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันจำแนกสารต่าง ๆ ผิดพลาด ทำให้ร่างกายต่อต้านในสิ่งที่คนปกติไม่เป็นอะไร
ความจริงโรคภูมิแพ้บางส่วนอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย ได้แก่ หวัด ภูมิแพ้ฤดูกาล หลอดลมอักเสบ กลากเกรียม คันตามผิวหนัง อาหารบางชนิดทำให้แพ้ เป็นต้น ซึ่งอาการจะแตกต่างกันไปตามชนิดของสารก่อภูมิแพ้
ส่วนโรคภูมิคุ้มกันที่สำคัญ ได้แก่ โรคลูปัส (SLE โรคแพ้ภูมิตัวเอง) โรครูมาตอยด์ โรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง เบาหวานชนิดที่ 1 กลุ่มอาการร่างกายโจมตีตนเอง เป็นต้น เหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายกันคือ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะสร้างแอนติบอดีโจมตีเนื้อเยื่อและอวัยวะของร่างกายเอง
การรักษาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน จะใช้ยากลุ่มแก้แพ้ เช่น ยาคาร์เทอร์โรลีน หรือ ยากลุ่มแก้แพ้ประเภทสเตียรอยด์ ยากดภูมิคุ้มกัน เพื่อลดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ในโรคที่เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันรุนแรงยารักษาตามอาการ เช่น ยาขยายหลอดลม ยาลดการอักเสบ เป็นต้น การฉีดวัคซีน ในภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องบางชนิด
แนวทางการป้องกันโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ทั้งทางการหายใจ ผิวหนัง หรือการรับประทานที่มีความเสี่ยง สังเกตสารที่ร่างกายแพ้ และระมัดระวังการบริโภคหรือสัมผัสสารนั้น ๆ สนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน โดยการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ พักผ่อนเพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รักษาสุขอนามัยส่วนตัว ล้างมือ กินร้อนช้อนกลาง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ลดความเครียด เนื่องจากภาวะเครียดเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบ ให้ฉีดวัคซีนตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค
โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ที่ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมมากเกินไป หรือกลับมาโจมตีร่างกายเอง ดังนั้นการรักษาจึงมุ่งเน้นที่การลดอาการแพ้ และภาวะการอักเสบ พร้อมทั้งควบคุมไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติมากเกินไป ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพื่อป้องกันการเกิดโรคและลดอาการกำเริบของโรค
บทที่ 3 : ศาสตร์ชะลอวัย คืนความอ่อนเยาว์ ฟื้นฟูสุขภาพ ยืดอายุ
ศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ หรือ “Anti-Aging” เป็นศาสตร์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากสังคมมีแนวโน้มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ทำให้มีความต้องการในการหาวิธีการชะลอวัย รักษาสุขภาพและฟื้นฟูความแข็งแรงให้แก่ร่างกาย
สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้คือเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะค่อย ๆ เสื่อมลง ตั้งแต่การทำงานของเซลล์ชะลอตัวลง กล้ามเนื้อลีบหดลง กระดูกพรุนและหักง่าย ความจำเสื่อม ภูมิคุ้มกันต่ำลง เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาได้ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาด้านจิตใจ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล เนื่องจากการสูญเสียบทบาทหน้าที่ในสังคมหรือรู้สึกเป็นภาระต่อคนรอบข้าง
หลักการสำคัญของ Anti-Aging คือฟื้นฟูสมรรถภาพและสุขภาพ โดยใช้วิธีการผสมผสานทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือก เช่น การบริหารร่างกาย การนวดผ่อนคลาย การฝึกสมาธิ เป็นต้น ส่วนเรื่องของการชะลอวัยต้องดูแลสุขภาพองค์รวม ทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และปัญญา รวมถึงการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ในการปรับสมดุลฮอร์โมน และยืดอายุเซลล์
แน่นอนว่าเมื่อใช้หลักการแพทย์ทางเลือกแล้วยังมีปัญหาทางร่างกาย ในขึ้นนี้ต้องใช้เรื่องของการรักษาโดยตรง ด้วยการใช้ฮอร์โมนเพศชาย หรือ ฮอร์โมนเพศหญิง เพื่อช่วยชะลอกระบวนการชราของระบบต่าง ๆ ด้วยการใช้สารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินเพื่อบำรุงเซลล์และเนื้อเยื่อ ใช้อาหารเสริมและผลิตภัณฑ์ Anti-Aging เช่น กระชายดำ น้ำมันปลาและผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายสไปรูลิน่า การทำกายภาพบำบัด นวดบำบัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและประสาท ฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและข้อต่อ จิตบำบัด เทคนิคผ่อนคลายความเครียด และฝึกสมาธิ เพื่อให้จิตใจผ่อนคลายและมีพลังชีวิต
การป้องกันและชะลอวัย โดยหลักการคือการดูแลสุขภาพองค์รวมของร่างกายให้สมดุล เริ่มตั้งแต่การควบคุมน้ำหนัก โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หลอดเลือด และระบบหายใจ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์ ซึ่งทำลายเซลล์และระบบต่าง ๆ ในร่างกายเสริมสร้างจิตใจที่เข้มแข็ง ด้วยการฝึกสมาธิ ทำสมาธิ ทำกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด และหมั่นตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อเฝ้าระวังและคัดกรองโรคต่าง ๆ
ในส่วนของการชะลอวัยด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ จากสถานเสริมความงาม ควรรับการตรวจร่างกายและให้คำปรึกษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Anti-Aging ซึ่งจะช่วยประเมินสภาพร่างกาย และออกแบบแผนการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม ไม่สรรหาสารแต่งเติมเข้ามาในร่างกายมากเกินไป
อย่างการฉีดฮอร์โมนบำบัด หรือการให้สารเสริมต่างๆ เช่น วิตามิน โปรตีน เพื่อทดแทนสารที่ร่างกายขาดหายไปตามวัย การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น คลื่นความร้อน เลเซอร์ เพื่อกระชับผิวและลดริ้วรอย อย่างไรก็ตามควรเลือกใช้ตามความเหมาะสมและระมัดระวังผลข้างเคียง ควรกระทำภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
Anti-Aging เป็นศาสตร์ที่ผสมผสานวิชาการหลากหลายแขนง ทั้งการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนปัจจุบัน เทคโนโลยีทางการแพทย์ และการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการชะลอวัย รักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิต ตลอดจนยืดอายุคุณภาพชีวิตให้แก่มนุษย์ ซึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการบรรลุถึงจุดหมายแห่งการมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีอย่างยั่งยืน
บทที่ 4 : สุขภาพจิตดีมีชีวิตสมดุล
การมีสุขภาพจิตที่ดี หมายถึงภาวะของจิตใจที่อยู่ในสภาวะสมบูรณ์ แจ่มใส ไม่มีความผิดปกติ สามารถปรับตัวและรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม รู้จักควบคุมอารมณ์และแสดงออกได้อย่างถูกต้องเหมาะสม โดยจิตใจที่เข้มแข็งและสุขภาพจิตที่ดีนั้นจะนำไปสู่สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงด้วยเช่นกัน
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพจิต ได้แก่เรื่องสำคัญคือความมั่นคงในชีวิต ทั้งด้านการงาน การเงิน แม้จะไม่ได้การันตีว่าคนที่มีฐานะดีทางการเงินจะมีความสุข แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าผู้ที่มีปัญหาทางด้านการเงิน ที่มีความลำบากทั้งกายและใจ ในเรื่องการได้รับความรักและการยอมรับจากบุคคลรอบข้าง เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่ร่วมกัน การมี การมีกิจกรรมผ่อนคลายและสิ่งที่ทำให้จิตใจเบิกบาน การออกกำลังกายและการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ มีส่วนช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและสุขภาพจิตดี
เมื่อจิตใจเข้มแข็งและสุขภาพจิตดี ย่อมส่งผลให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตามมา โดยมีกลไกสำคัญคือ เมื่อสุขภาพจิตดีร่างกายจะสร้างสารเคมีในสมองเรียกว่า “เอนดอร์ฟิน” (Endorphin) ที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวด เพิ่มความสุขและความรู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งยังช่วยควบคุมการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ควบคุมการเต้นของหัวใจ การหายใจ และการทำงานของระบบอื่น ๆ จึงทำให้ระบบการทำงานต่าง ๆ ในร่างกายสมดุล
ในทางตรงกันข้าม หากเป็นโรคทางจิตเวช เช่น ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือโรคจิตเภท ร่างกายจะมีระบบสร้างภูมิคุ้มกัน และการทำงานของระบบประสาทผิดปกติ เสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็ง เป็นต้น
การดูแลสุขภาพจิตให้แข็งแรงอาจทำได้หลายวิธี เช่น การผ่อนคลายความเครียด จัดการกับอารมณ์ ฝึกสร้างความคิดสร้างสรรค์ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และหากประสบปัญหาทางจิตสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ เช่น นักจิตวิทยา จิตแพทย์ เป็นต้น เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างถูกวิธี
จิตเวชศาสตร์หรือจิตวิทยาที่เน้นสุขภาพจิต นำมาซึ่งสุขภาพกายที่สมบูรณ์แข็งแรง และการดำรงชีวิตอย่างสมดุล การมีสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดีจะหนุนเสริมกันอย่างลงตัว นำพาชีวิตไปสู่ความสมบูรณ์และภาวะผาสุขทั้งกายและใจ
บทที่ 5 : สุขภาพกับระบบสาธารณสุขไทยปัจจุบัน
ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทาย เรื่องของปัญหาสุขภาพที่มีผู้ป่วยจำนวนมากล้นโรงพยาบาล คนป่วยมาก บุคคลกรทางการแพทย์ก็ต้องทำงานหนักไปด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัยมากขึ้น นอกจากนี้ ระบบสาธารณสุขของประเทศยังมีข้อจำกัด และประสบปัญหาหลายด้านด้วยเช่นกัน
ปัญหาสุขภาพที่สำคัญของคนไทยแบ่งออกเป็นสองส่วนหญ่ ๆ คือ 1. โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ หลอดเลือด โรคมะเร็ง ฯลฯ เนื่องมาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารและวิถีชีวิตที่ไม่เหมาะสม และ 2.โรคติดต่อ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบ วัณโรค สาเหตุมาจากการขาดสุขอนามัยและการป้องกันที่ดี
นอกจากนี้ยังมีปัญหาจากมลพิษจากสิ่งแวดล้อมทั้งทางน้ำและอากาศ ทำให้เป็นโรคหอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ในขณะที่ยังมีเรื่องของปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน อาทิ ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล จากความเครียดในสังคมเมืองและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ตามมาด้วยปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุ เช่น ภาวะกระดูกพรุน สมองเสื่อม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย
ปัญหาของระบบสาธารณสุขไทย ต้องบอกก่อนว่าสาธารณสุขไทยเรียกว่ามีข้อดีกว่าหลายประเทศ เช่น สามารถทำให้คนจนเข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึง แต่อย่างไรก็ตามก็ยังก็ยังมีปัญหาที่ควรจะแก้ไขตั้งแต่ บุคลากรทางการแพทย์ยังน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วย โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ทำให้ประชาชนขาดการเข้าถึงบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน บางโรครอนานไม่ได้จึงตัดสินใจใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูง ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่ายา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่รัฐไม่สามารถรองรับได้ทั้งหมด
การบริหารจัดการและนโยบายด้านสาธารณสุขยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ประกอบกับงบประมาณค่อนข้างจำกัด การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขยังไม่เพียงพอ เนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากร การให้ความรู้และการส่งเสริมสุขภาพแก่ประชาชนยังไม่ทั่วถึง ทำให้ขาดความตระหนักในการดูแลสุขภาพตนเอง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีผู้ป่วยบางส่วนที่เกิดจากการความรู้
ปัญหาเหล่านี้จึงควรแก้กันทั้งระบบตั้งแต่บนสุด คือรัฐบาลควรให้ความสำคัญและจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขให้เพียงพอ (ตรวจสอบคอรัปชั่นให้รัดกุม) รวมถึงการกระจายบุคลากรอย่างทั่วถึง ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการแพทย์ โดยสนับสนุนงบประมาณและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ปรับปรุงระบบบริหารจัดการสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพและคล่องตัวมากขึ้น เพื่อการบริการที่รวดเร็วและทั่วถึง ส่งเสริมการให้ความรู้และปลูกจิตสำนึกด้านสุขภาพแก่ประชาชนทุกระดับอย่างต่อเนื่อง เน้นการป้องกันโรคและการดูแลสุขภาพตนเอง ผลักดันให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดบริการสาธารณสุขมากขึ้น เพื่อแบ่งเบาภาระของรัฐบาลการแก้ไขปัญหาสุขภาพของคนไทยและปรับปรุงระบบสาธารณสุขนั้น จำเป็น
ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งจากรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และระบบสาธารณสุขของประเทศ สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึงต่อไป