โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย ตอนที่ ๒๕ คำตอบ ที่ไม่มีคำถาม
โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย ตอนที่ ๒๕ คำตอบ ที่ไม่มีคำถาม
โอเรียลเต็ล…ที่นี่ทำให้ฉันพบความบกพร่องในชีวิต
ปัญหาก็คือภาษา
ฉันพูดภาษาอังกฤษได้อย่างไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ แต่นักท่องเที่ยวก็เข้าใจและยังให้กำลังใจ เขามักจะชมฉันว่า
“เธอพูดภาษาอังกฤษได้ ฉันเข้าใจที่เธอพูด แต่เธอควรจะปรับปรุงให้ถูกต้อง มันจะทำให้ภาษาอังกฤษของเธอได้มาตรฐานกว่านี้”
คำพูดของเขา ทำให้ฉันต้องทบทวนตัวเองว่า ควรจะปรับปรุงสิ่งที่เขาเรียกว่ามาตรฐานอย่างไร ไปเรียนภาษาอังกฤษหรือ? จะไปเรียนที่ไหน ครูคนที่จะสอนให้ ถึงจะมีแต่ฉันก็ไม่มีปัญญา ก็เงินจะกินแต่ละวันยังไม่พอ แล้วจะใครบ้างจะสอนให้ฉันไม่เอาเงิน ทุกวัน…ฉันก็ยังตื่นแต่เช้า เดินจากห้องเช่าซอยร่วมฤดี เดินไปโรงแรมโอเรียลเต็ล ท่าน้ำอีสต์เอเชียติค เพื่อไปพบนักท่องเที่ยวที่จะไปดูตลาดน้ำวัดไทร บางขุนเทียน ระหว่างทางจะต้องเดินตัดสวนลุมพินี และสิ่งที่ฉันเห็นเป็นประจำทุก ๆ วัน ก็คือตึกเล็ก ๆ ชั้นเดียวที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับภัตตาคารลอยน้ำที่มีชื่อว่า “ภัตตาคารกินนรี” ป้ายหน้าตึกเขียนว่า “ห้องสมุดประชาชน” ฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เมื่อเรียนอยู่ที่สวนกุหลาบ ทุกเช้าฉันจะแวะห้องสมุดของอังกฤษที่ชื่อว่า “บริตีสเคาซิล” ซึ่งตั้งอยู่ข้างกำแพงโรงเรียนด้านถนนมหาราช ที่นี่หนังสือมากมายที่ล้วนแล้วแต่เป็นภาษาอังกฤษ มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันจะต้องดูแต่ไม่สามารถอ่านได้เพราะภาษาที่ใช้เป็นภาษาวิชาการ หนังสือหรือนิตยสารเล่มนี้ชื่อ “NATIONAL GEOGRAPHIC” เป็นหนังสือที่ทำให้ฉันได้เห็นโลกกว้าง ที่มีความหลากหลายของผู้คนและธรรมชาติทำให้ฉันอยากจะเป็นนักเดินทางเพื่อได้เห็นโลก และบางทีมันจะทำให้ได้เข้าใจโลก แม้ทุกวันนี้ฉันก็ยังคงอ่านนิตยสารที่อายุนานเป็นร้อยปีเล่มนั้นอยู่ เหมือนสมัยที่ฉันอาศัยแม่อยู่ที่บ้านซอยรามบุตรี บางลำพู ที่ถนนราชดำเนิน ไม่ไกลจากบ้าน จะมีห้องสมุดของสหรัฐอเมริกาชื่อ “ห้องสมุดยูซีส”ตอนนั้นฉันอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก แต่ฉันก็จะไปดูหนังสือการ์ตูนฝรั่งที่มีมากมาย จนกระทั่งทำให้คิดทำมาหากิน จะเป็นเจ้าของแผงหนังสือเช่าห้องสมุดประชาชนในสวนลุมพินี จึงเป็นที่ฉันตั้งใจว่าจะต้องใช้สถานที่นี้หาความรู้ เมื่อเสร็จจากทำทัวร์ตลาดน้ำในตอนเช้า ฉันก็จะรีบเดินจากโอเรียลเต็ลมาสวนลุมฯ ในตอนสาย แล้วรีบเข้าห้องสมุด หนังสือทำให้ฉันลืมหิว มีหนังสือมากมายที่เป็นภาษาไทย มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันจะต้องหยิบอ่านก่อนเล่มไหน เป็นหนังสือแปลจากข้อเขียนของเศรษฐีสหรัฐชื่อ “เดล คาร์เนกี้” ผู้แปลเป็นคนไทยชื่อ “อาษาขอจิตต์เมตต์” ใช้ชื่อว่า “วิธีชนะมิตรและจูงใจคน”
ฉันจะอ่านหนังสือแทบทั้งวัน เวลาหิวก็ไปดื่มน้ำที่ห้องสมุดตั้งไว้ให้ได้ดื่มกินฟรี พยายามกลืนลงท้องเพื่อจะได้หายหิว บางวันโชคดี ได้ทิปจากนักท่องเที่ยว ซึ่งเพียงไม่กี่บาท แต่บางทีได้เป็นเงินดอลล่าห์ เพียงหนึ่งดอลก็เท่ากับยี่สิบบาทของค่าเงินสมัยนั้น ก็ได้เก็บกินใช้ถึงสองวันที่ปากประตูเข้าสวนลุมฯ ด้านพระบรมรูปรัชกาลที่ ๖ จะมีข้าวแกงหาบเร่มาตั้งขาย วันที่ฉันมีเงินก็จะได้พึ่งฝากท้อง แต่วันไหนไม่มีเงินก็ได้แต่มองแล้วรีบเดินเข้าห้องสมุดประชาชนอาศัยน้ำเย็นลูบท้อง พยายามจะลืมความหิวด้วยการอ่านหนังสือ อ่าน..อ่าน..อ่านจนลืมเสียงร้องของท้อง ที่บอกว่า หิว..หิว..หิว..
“เอาข้าวเยอะ..เยอะนะป้า” เมื่อฉันบอกป้าข้าวแกง แกก็จะบ่นพึมพำว่า
“ข้าวมันแพง แกงมันถูก มึงจะกินข้าวอย่างเดียวรึ”
ฉันไม่ต่อปากต่อคำ แต่เมื่อป้าแกตักข้าวพูนจาน ฉันก็จะตักพริกน้ำปลาราดลงไปในข้าว แกเห็นก็จะโวยวายว่า
“เฮ้ย..น้ำปลาพริกขี้หนูมันก็แพงเหมือนกันนะโว้ย ตักเบา..เบาหน่อยไอ้หนุ่ม” และก็พูดซ้ำ..ซ้ำจนฉันจำได้ ป้าแกจะพูดเสมอว่า
“มีลูกค้าอย่างเอง ข้าต้องเจ๊งแน่”
เธอมาหาฉัน พร้อมกับแจ้งข่าวดีว่า นายฝรั่งกำลังจะขยายงานใหม่ เปิดบริษัทหาบ้านเช่าให้ฝรั่ง ซึ่งในตอนนั้นเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก
“เธอควรจะทำงานกับนายฝรั่ง”
ฉันจึงมีอาชีพใหม่ คือตระเวนหาบ้านเช่าในย่านต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแถวถนนสุขุมวิท สาธร สีลม ที่บรรดาฝรั่งทั้งหลายชอบอยู่
“แต่เธอควรจะมีรถมอเตอร์ไซค์ เป็นพาหนะใช้ตระเวณทำงาน”
นั่นคือปัญหาสำหรับฉัน เพราะลำพังรายได้จากการเป็นไกด์ผี พาฝรั่งเที่ยวตลาดน้ำ มันไม่ได้มีประจำ บางวันก็ได้บางวันก็ไม่ได้ วันที่ไม่ได้ก็คือวันที่ฉันอดที่จะกินข้าวแกงป้าขี้บ่น วันทั้งวันฉันจะนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด อ่านเพื่อจะได้ลืมความหิว เมื่อห้องสมุดปิดก็ต้องรีบออกมาเพื่อจะหุงข้าวในห้องพักกิน เขียนแล้วทำให้ฉันนึกถึงปิ่นโตเพื่อนสนิทที่เราไม่เคยทอดทิ้งกัน นับตั้งแต่เช่าห้องอยู่ที่บางกระบือ ปิ่นโตชีวิต..ของฉันจะมีอยู่สามเถา อย่างที่โบราณเรียกว่า “สามใบเถา” ประกอบด้วย เถาข้างล่างมีขนาดใหญ่ ฉันจะใช้หุงข้าว เถาสองรองลงมาสำหรับต้ม ยำ ทำแกง ได้ทั้งนั้น ส่วนใบสุดท้ายข้างบนฉันจะไว้ต้มถั่วเขียวหรือถั่วแดงเป็นขนมหวานล้างปาก นอกจากปิ่นโตที่ว่า ก็มีเตาไฟฟ้าสำหรับเป็นทำอาหาร และแน่ล่ะเตาไฟฟ้ามันกินไฟมาก บ่อยครั้งที่เจ้าของหอพักจะโวยวายเมื่อเห็นฉันหุงหาอาหารกับปิ่นสามเถาเพื่อนรักนี้
“เธอต้องมีหนี้”
คำบอกของเธอทำให้ฉันแปลกใจ คนที่ไม่มีเงินเดือนหรือมีรายได้ประจำ จะเป็นหนี้ได้อย่างไร แต่เธอก็ทำได้ เงินเดือนส่วนหนึ่งของเธอ ถูกนำไปเป็นเงินดาวน์รถมอเตอร์ไซค์ให้ฉัน
“ต่อไปนี้ เธอก็จะมีเครื่องมือในการทำมาหากินได้แล้ว ไม่ต้องไปถูก
คนเขาขับไล่อย่างที่คนโรงแรมโอเรียลเต็ล เขาเห็นเธอเป็นคนกระเฬกระราด เป็นคนจรจัด คอยตามตื้อฝรั่งข้างถนน”
เงินไม่กี่ร้อยบาทที่เธอดาวน์รถให้ มันก็เหมือนครั้งที่ฉันตกรถอยู่อุดร
เงินธนาณัตเพียงไม่กี่สิบบาทที่เธอส่งให้มา ก็ทำให้ฉันเดินกลับกรุงเทพฯ ได้
และเงินดาวน์รถของเธอในคราวนี้ ฉันก็จะเดินทางไปสู่อนาคตได้เช่นกัน
มอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง ฉันมีเงินเดือนประจำแน่นอน ชีวิตเริ่มจะเห็นเส้นทางแล้วว่า ฉันจะเดินทางไปกับมันได้อย่างไร ฉันจะต้องตื่นนอนตั้งแต่เช้า เพื่อไปถึงที่ทำงานก่อนนายฝรั่ง แล้วเตรียมเอกสารรายงานให้ได้รู้ว่า วันนี้ฉันจะขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปตระเวนหาบ้านเช่าที่ไหนบ้าง การทำงานกับฝรั่งทำให้ฝึกฝนภาษาอังกฤษ และจะต้องเป็นคนที่ตรงกับเวลามันทำให้ฉันเป็นคนที่มีระเบียบและกล้าแสดงออก แต่ปัญหาอย่างเดียวที่ฉันยังมีอยู่คือภาษา ฉันพูดภาษาอังกฤษอย่างผิด..ผิด..ถูก..ถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพูดและเขียนไม่ถูกไวยากรณ์ แต่นายฝรั่งก็ให้กำลังใจฉัน เขามักจะพูดเสมอว่า
“สันติ เธอไม่ต้องไปวิตกกับเรื่องไวยากรณ์ เอาว่าเธอพูดกับฉันและ
ฉันเข้าใจก็เพียงพอแล้ว”
แต่ไม่หรอกไม่เพียงพอ ฉันจะต้องพูดภาษาอังกฤษ เขียนภาษาอังกฤษและอ่านภาษาอังกฤษให้ได้ดีที่สุด ฉันบอกกับตัวเองเสมอ ๆ บอกทุก ๆ วัน ตั้งแต่ฉันทำงานกับบริษัทหาบ้านเช่า ฉันไม่มีเวลาที่จะไปหารายได้จากการเป็นไกด์ผีหน้าโรงแรมโอเรียลเต็ลอีกแล้ว ฉันทำงานแต่เช้า แต่ตกบ่ายพอมีเวลาว่างก็จะแวะมาอ่านหนังสือที่ห้องสมุดประชาชนในสวนลุมพินี และก็เหมือนเดิมฉันก็ต้องแวะกินข้าวแกงป้าพูดมาก ที่ตั้งหาบขายอยู่หน้าประตูเข้าสวนลุม แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้ขอให้คดข้าวใส่จานให้มาก เอาน้ำแกงน้อย แล้วราดพริกน้ำปลาแทนอีกแล้ว
“ไปรวยจากที่ไหนมา รวยอย่างนี้ต่อไปคงจะไม่อุดหนุนข้าวแกงจานละบาท
ของป้าอีกแล้วซี”
ชาตากรรมเจ้าเอ๊ย คิดแล้วก็แปลกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาไว..ไว เงินจะซื้อข้าวแกงแค่จานละบาทยังไม่มี แต่ตอนนี้จะเหมาหาบกินก็คงจะไหว
“ทำไม…ยังไม่ไปทำงานอีกหรือนี่ มันสายแล้วนะ”
เสียงป้าอารีย์ตะโกนถามฉัน เมื่อเห็นฉันยังนอนอ้อยสร้อยอยู่ในห้องเช่า เหตุผลที่ฉันไม่ลุกจากที่นอนที่เป็นฟูกเก่า ๆ กับมุ้งขาดก็เพราะเสียงวิทยุจากคนข้างบ้านเปิดเสียงดังลั่นเป็นประจำ แต่คราวนี้ไม่ใช่เพลงลูกทุ่ง ไม่ใช่โฆษณาขายสินค้าพิลึกพิลั่น แต่เสียงของผู้ประกาศข่าวฉันฟังแล้วใจระทึก
“มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกาศรับสมัครสอบเข้าเรียนวิชาการหนังสือพิมพ์ภาคค่ำ คุณสมบัติผู้สมัครจะต้องสำเร็จการศึกษามัธยมปลายหรือเคยทำงานหนังสือพิมพ์มาแล้วไม่ต่ำกว่าสองปี”
เข้ามหาวิทยาลัย ช่างเป็นข่าวดีของเด็กที่เคยพลาดหวังในชีวิตการศึกษาอย่างฉันวันนั้น เธอมาหาฉันเหมือนเช่นเคย ระฆังจากโบสถ์มหาไถ่ต้อนรับสาธุชนที่หลั่งไหลเข้ามาทุกเช้าวันอาทิตย์ เธอทักทายฉันด้วยคำพูดเก่า ๆ ที่ได้ยินทุกครั้งที่พบกัน
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”
และทุกครั้งฉันก็จะเล่าเหตุการณ์ที่ฉันประสบพบมาตลอดสัปดาห์ที่เราไม่ได้พบกัน เธอก็จะพูดด้วยประโยคซ้ำ..ซ้ำที่ฉันจำได้
“เธอจะต้องอดทน เธอจะต้องเข้มแข็ง แล้วเธอก็จะประสบความสำเร็จ ฉันเชื่อมั่นเธอ”
เสียงระฆังจากโบสถ์ค่อยแผ่วเบาลงแล้ว คงได้ยินแต่เสียงสวดมนต์ดังลอยมาจากโบสถ์ สลับกับเสียงของรถยนต์ที่แล่นผ่านไปมากับเสียงชาวบ้านตะโกนโวกเวกตามประสาความเคยชิน ในตอนนั้นฉันจึงค่อย..ค่อยพูดกับเธอ
“พูดอะไรน่ะ ฟังไม่รู้เรื่องเลย” เมื่อเธอพูดด้วยเสียงดังถามฉัน ความรู้สึกที่เคยเข้มแข็งก็หายไป ฉันค่อย...ค่อยพูดซึ่งอาจจะดังราวกับกระซิบ เธอจึงถามฉันซ้ำอีกว่า
“พูดอะไรนะ พูดดัง..ดังหน่อยซิ”
ฉันรวบรวมความเด็ดเดี่ยวแล้วพูดก็เธอด้วยเสียงดังเพื่อให้กลบเสียงระฆังโบสถ์และรถราที่วิ่งขวักไขว่
“ฉันจะกลับบ้าน..ฉันจะกลับบ้าน”
“อะไร..เธอจะกลับบ้าน” เธอถามฉันเหมือนไม่แน่ใจที่ได้ยินคำบอกของฉัน
“ใช่..ฉันจะกลับบ้าน”
“กลับไปหาแม่ใจร้ายของเธอนะหรือ”
“หือ”
“ทำไม เธอมีเหตุผลอะไรที่จะกลับบ้าน ตอนนี้เธอก็มีบ้านของเธอแล้ว
ถึงจะเป็นห้องเช่าก็เปรียบเหมือนเป็นบ้านของเธอได้เช่นกัน”
เธอเว้นเสียง แล้วก็พูดต่อด้วยประโยคสั้นแต่สั่นเครือ
“และที่สำคัญเธอก็มีฉันไม่ใช่หรือ”
มันเจ็บปวดที่จะได้ยินคำพูดเช่นนั้น ฉันเหมือนกับเป็นคนทรยศแต่ฉันก็จะต้องทำ ฉันบอกกับเธอด้วยเสียงหนักแน่นว่า
“ฉันจะกลับบ้าน ไปเริ่มต้นเรียนหนังสือใหม่”
“อะไรกัน เธอเรียนจบมัธยมแล้วนี่”
“ใช่ก็จบแค่มัธยม ฉันอยากจะเรียนมหาวิทยาลัยต่อ ฉันยังจะต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมายในชีวิต”
เธอมองฉันอย่างไม่เข้าใจ สายตาที่มองมา มันมีแววแปลกอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน ริมฝีปากของเธอเม้มแน่น แล้วก็ไม่พูดอะไรต่ออีก ฉันนั้นล่ะที่ยังพูดซ้ำด้วยประโยคเก่าว่า
“ฉันจะกลับบ้าน กลับไปเรียนหนังสือใหม่ซึ่งไม่ใช่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย แต่เป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันการศึกษาที่ฉันมุ่งมั่นจะต้องเรียนให้ได้ในชีวิต”
….ตั้งแต่วันนั้นเธอก็หายหน้าไป นางดินหรือนางฟ้าไม่ได้กลับมาอีก ในห้องเช่าหน้าโบสถ์มหาไถ่ ฉันบอกลาป้าผู้อารีย์….
“ขอปิ่นโตสามเถาเอาไว้เป็นที่ระลึกให้ป้านะ เรียนสำเร็จเมื่อไหร่
ให้มาเอาคืนไป ป้าจะเก็บรักษาไว้ให้เธอ”…ยินเสียงป้าบอก ฉันแทบจะเดินออกจากห้องพักข้างห้องน้ำไม่ได้
Text : สันติ เศวตวิมล
Picture : ภู่ประดิษฐ์