สุราษฎร์ธานี
ช่วงเวลาที่ผ่านมาเราพานพบผู้คนมากมายบางคนเข้ามาแล้วก็ผ่านเลยไป คล้ายสายลมที่ไล้ผิวกายไม่มีความหมายอะไร แต่บางคนไม่ได้เป็นเช่นนั้นยังคงอยู่สร้างความปลื้มใจที่อาจกลายเป็นมิตรภาพกับความทรงจำที่แสนดีเหมือนดังเส้นทางที่เราเคยพาดผ่านแม้จะนานแค่ไหนก็ยังคงอยู่ในใจตลอดเวลา
ใครสักคนอาจได้มาพบสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงาม แต่เขาก็ยังแสวงหาดินแดนแห่งใหม่เสมอ นักท่องเที่ยวทั้งหลายมักไม่เคยพอใจกับสถานที่เดิม ๆ ที่เคยเจอ อยากท้าทายว่าสิ่งที่คาดหวังจะมีสิ่งใดรออยู่ข้างหน้า เราก็ล้วนแต่เดินทางสลับกันไปมาวนเวียนอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะค้นพบความหมายของมัน
เหมือนกับที่เราเดินทางมาอุทยานแห่งชาติเขาสก ล่องเรือไปบนพื้นน้ำของเขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) ท่ามกลางพื้นที่กว้างใหญ่ราว 5 แสนไร่ นี่คือดินแดนศูนย์กลางขุนเขาแห่งป่าฝนที่ชุ่มชื้นตลอดปี จนได้รับฉายาว่ากุ้ยหลินเมืองไทย ความสวยงามตระการตาแต่งแต้มไปด้วยสีเขียวของน้ำเวิ้งกว้างสั่นระริกเป็นคลื่นเล็กระยับเมื่อกระทบแสง ตัดสลับกับภูเขาหินปูนกลางน้ำที่เหมือนลอยอยู่ตลอดเวลา
เมฆหมอกยามเช้าไม่เคยจางหายไปไหนคอยปกคลุมยอดเขาสูงชันที่สลับกันเป็นทิวแถวยาวสุดลูกหูลูกตา เมื่อแหงนมองท้องฟ้าก็เหมือนว่าถูกสะกดกลืนไปกับธรรมชาติที่รายล้อมอยู่รอบตัว ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์บางทีสถานที่ท่องเที่ยวดี ๆ ก็ทำให้เราลืมอะไรไปบ้างในชั่วขณะได้เหมือนกัน
ชื่นชมธรรมชาติอยู่พักใหญ่ตะวันเริ่มสาดแสงแรงขึ้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเริ่มสายแล้ว แต่นักท่องเที่ยวยังมาไม่ขาด เช่าเหมาเรือล่องแสวงหาธรรมชาติอย่างไม่รู้จักเหนื่อย บ้างก็ไปแล้วกลับแต่หลายคนก็ค้างอ้างแรมบนแพที่พักอย่างสบายใจไม่ว่าผู้ใดก็อยากอยู่ให้นานตราบเท่าจะทำได้เสมอ
เมื่อเก็บภาพบรรยากาศจากแผ่นน้ำจนเต็มอิ่ม เราเปลี่ยนการเดินทางมาขึ้นบก เพียงแต่อยู่บริเวณเดียวกับเขื่อนรัชชประภา ก็มาเจอกับสะพานแขวนเขาพังหรือสะพานแขวนบ้านเขาเทพพิทักษ์ ที่ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2546 เป็นสะพานลวดสลิงขนาดใหญ่ขึงตัวอยู่บนคลองพะแสง ราวกับลอยล่องท้าทายทิวทัศน์ของแมกไม้ตลอดเวลา อาจด้วยความบังเอิญที่ทำให้มันเป็นจุดสนใจสำหรับผู้คนที่ไม่เคยพบ แต่คงชินตาสำหรับชาวบ้านเพราะมันคือสะพานที่สร้างเพื่ออำนวยความสะดวกกับชุมชนทั้งสองฝั่งคลองเพื่อสัญจรและขนพืชผลทางการเกษตร ซึ่งได้ประโยชน์ทั้งคนที่ใช้และคนชื่นชมมัน แม้ช่วงนี้น้ำ
ในคลองใหญ่จะเหือดแห้งไปบ้าง แต่ก็ยังพอมีให้ชาวสวนใช้รดน้ำผลไม้ที่ปลูกไว้หลากชนิดอย่างเงาะ ทุเรียน มังคุด ลองกอง มะพร้าว เมื่อเราได้ไปเยี่ยมเยียน ชาวบ้านได้เชิญชวนสิ่งที่มีให้กับนักท่องเที่ยวอย่างเราได้เลือกสรรอยู่ตลอดวัน ในอีกมุมหนึ่งของเขาพัง ไม่ว่านักเดินทางจะมีความรักหรือเป็นคนที่ไร้ความรักก็ตาม เราทุกคนจะมองเห็นภูเขารูปหัวใจดวงใหญ่ยืนตระหง่านอย่างชัดเจนเป็นสิ่งที่ช่างฝีมือธรรมชาติแกะสลักไว้อย่างลงตัว โดยไม่ต้องเพิ่งพาเครื่องมือใด ๆ เสมือนการส่งสัญลักษณ์ออกมาให้รู้ว่าความรักเป็นสิ่งสวยงามสำหรับเราทุกคนเพียงอย่าเพิ่งไปสิ้นหวังกับมันเสียก่อน
เมืองสุราษฎร์ธานีไม่ได้มีเพียงผืนน้ำจืดและภูเขาที่งดงามเท่านั้น จากเขื่อนรัชชประภาราว 150 กิโลเมตร เราเดินทางมาถึงอำเภอดอนสัก ชุมชนหาดนางกำ ก็มาโผล่ยังอ่าวไทยในหมู่บ้านที่เลืองชื่อด้วย การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ชุมชนร่วมใจกันปกป้องสมบัติของบรรพบุรุษ จากทรัพยากรธรรมชาติอันหลากหลายของท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์จนเป็นแหล่งอาหารของสัตว์น้ำ อย่างปลา เต่า พยูน โดยเฉพาะโลมาสีชมพูที่เรามีนัดล่องเรือไปทักทายมันสักครั้ง
เกาะแรกที่เราได้สำรวจคือเกาะผี เป็นเกาะเล็ก ๆ แต่แฝงไปด้วยประวัติอันน่าใจหาย เนื่องด้วยสมัยก่อนชาวบ้านมักพบเจอศพคนตายลอยน้ำมาติดบริเวณนี้เป็นประจำจึงได้ชื่อเป็นเกาะผี เมื่อยามน้ำลดต่ำลงเราจะเห็นถ้ำขนาดเล็กที่สามารถเดินเข้าไปเยี่ยมชมได้ด้วยความระทึกใจพอควร
เราล่องเรือออกมาเพียงไม่กี่เมตรกับเสียงเรือยนต์ดังอื้ออึงบนผืนน้ำเค็ม เบื้องหน้ามองเห็นเพียงเกาะแก่งน้อยใหญ่ทั้งใกล้ไกล เรากำลังคืบคลานเข้าไปยังอำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราชอย่างช้า ๆ ความจริงธรรมชาติไม่ได้แบ่งเขตของตัวเองหรอก แต่มนุษย์นี่แหละที่ตีเส้นสมมติ แล้วเรียกสถานที่นั้นเป็นชื่อนี้ สถานที่นี้เป็นชื่อนั้น จนมาถึงเขาหินพับผ้า ที่มีลักษณะหินซ้อนทับกันหลายชั้น ช่วงกลางเกาะมีเพิงหินกว้างตามภาษาชาวบ้านเรียกว่าเวทีพุ่มพวง มีที่มาจากชาวประมงใช้เป็นที่พักระหว่างหาปลา เวลาว่างจึงขึ้นไปบนชั้นหินขับขานเพลงของพุ่มพวง ดวงจันทร์ ตั้งแต่นั้นมาจึงเรียกกันติดปากว่าเป็นเวทีพุ่มพวง
ก่อนกลับเราแวะไปชมเกาะนุ้ยกราบหลวงพ่อทวด สถานที่มหัศจรรย์จากแอ่งน้ำจืดธรรมชาติกลางทะเลซึ่งสามารถตักมาดื่มกินได้ โดยมีความเชื่อกันว่าหลวงปู่ทวดเคยมาแวะพักและเหยียบน้ำทะเลให้จืด ในเวลาต่อมาจึงการสร้างรูปหล่อหลวงปู่ทวดประดิษฐานไว้บนเกาะเป็นที่ยึดเหนี่ยวชาวบ้านและสักการะของนักท่องเที่ยวขึ้นมา
แม้ว่าเราจะอยู่บนเรือท้าแดดและคลื่นลมที่เผยิบผยาบกับเกาะแก่งแวะเวียนตามที่ต่าง ๆ มานานหลายชั่วโมงเพียงเพื่อรอให้โลมาปรากฏตัวขึ้น อาจเป็นเพราะน้ำทะเลลงหรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม โลมาก็ไม่ได้มาทักทายแม้แต่น้อย จึงถึงเวลาที่ต้องกลับขึ้นฝั่งจริง ๆ
เหมือนกันสัจธรรมของชีวิตไม่มีใครสมหวังไปได้ทุกเรื่องขอเพียงเก็บเอาความทรงจำกับเรื่องราวดี ๆ ที่ผ่านมาเท่านี้ก็คงเพียงพอแล้ว