สุภี พงษ์พานิช

สุภี พงษ์พานิช

เราเดินตามเธอเข้าในลิฟท์เพื่อไปยังห้องรับรองชั้นล่างของธนาคาร ที่นี่เงียบสงบเหมาะแก่การสนทนาเป็นอย่างยิ่ง 

 

ครอบครัวคุณภาพ

เธอเริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองย้อนไปสมัยที่ยังเป็นเด็ก ครอบครัวของเธอเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างจะเข้มงวดเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะทำอะไรคุณพ่อก็จะวางกรอบไว้ให้หมดทุกอย่าง

 

“คุณพ่อคุณแม่สอนดีนะคะ มีลูก 6 คน ทั้งหมดนี้ห้ามใครออกนอกลู่นอกทาง เวลาไปโรงเรียนเช้าก็ส่ง เย็นก็รับ คือเป๊ะๆ หมดเลย เป็นแบบแผน เป็นระเบียบวินัย

 

“คุณพ่อคุณแม่จะไม่ให้ทำอะไรเลย ให้เรียนหนังสืออย่างเดียว พอตี 5 ทุกคนต้องตื่น ต้องกินข้าว เลี้ยงเหมือนทหาร เช้าก็ต้องมานั่งกินข้าวเป็นกิจวัตรประจำวัน เสาร์อาทิตย์มีเวลาพักผ่อนก็ต้องตื่นเช้าเพื่อมานั่งกินข้าวพร้อมกัน ไปไหนก็ไปกันทั้งครอบครัว

 

“คุณพ่อท่านจะค่อนข้างเน้นว่าเราต้องมีกิริยามารยาทงดงาม ต้องเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ คุณพ่อจะเป็นคนที่ดุมาก สมัยที่เป็นสาวเนี่ยพอหนุ่มๆ มา โอ้โฮ หนุ่มๆ พวกนั้นเขามาบอกเราว่า ‘พ่อเธอเล็งชั้นด้วยสายตาเอ็ม16’ เราก็เลยบอกเขาว่า ‘เออ ฉันก็รู้เหมือนกันแหละ’ (หัวเราะ)

 

“มีอยู่วันหนึ่ง ฝนตก น้ำท่วมใหญ่ที่โรงเรียนเตรียมอุดม วันนั้นคนขับรถเราก็มาไม่ได้ ใครก็มาไม่ได้ เพราะว่ามันออกจากบ้านไม่ได้ น้ำท่วมเยอะมาก พ่อก็เอาล่ะสิ ทำไมลูกฉันไม่กลับบ้าน ช้าไปนิดเดียว ประมาณ 4-5 โมงเองนะ ก็มีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งอาสาขับรถไปส่งเรา พ่อก็ยืนเล็งอยู่หน้าบ้านเลย พ่อถามว่าใครมาส่ง ขนาดเราไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เราก็กลัวพ่อมากนะ

 

“วิธีการเลี้ยงแบบนี้ดีนะ คือทำให้เรากลัวจนไม่กล้าออกนอกลู่นอกทาง ไม่เสียคน การพนันที่บ้านนี้อย่าให้เห็น คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ชอบ พวกเราก็ไม่ชอบด้วย แอลกอฮอล์อย่าให้เห็น พวกเราก็ไม่เคยดื่มกันเลยสักคน บุหรี่ โอ๊ย อย่าหวังเพราะทุกคนเกลียดกลิ่นบุหรี่หมด คือสอนแบบเป็นคุณหนู มีระเบียบวินัย แต่ถามว่า ณ วันนี้ดีมั้ย บอกได้เลยว่าดีมาก

 

“ครอบครัวเราก็ไม่ได้รวย แต่เอาเป็นว่าเราไม่ได้เป็นหนี้เป็นสินใคร อยู่กันอย่างสบาย อยู่กันอย่างอบอุ่น แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็เลี้ยงลูกด้วยจิตวิทยา คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกได้ดีมาก มีหมอดูคนหนึ่งเขาบอกว่า ผมดูดวงมาเป็นสิบๆ ปี ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่ช่างเพอร์เฟ็ค อะไรเช่นนั้น เขาบอกว่าดวงทุกคนคือมันหายากมากไง เพราะบางครอบครัวบางทีลูกเสียมั่ง ลูกเกเรมั่ง ลูกไม่ดีพ่อไม่ดี แม่ไม่ดี แต่ลูกทั้ง 6 กับพ่อแม่เนี่ยมันเหมือนเกิดมาเพื่อกันและกัน แล้วดีหมดทั้งครอบครัวอย่างนั้น เราก็รู้สึก เอออย่างน้อยเราก็ไม่โดดเด่นอะไรมาก แต่เราก็ถือว่าเราเป็นครอบครัวที่โอเคนะ ใช้ได้

 

จากรั้วมหาวิทยาลัย สู่วัยทำงาน

“คุณแม่ท่านเป็นแม่บ้าน คือเรียนเก่งก็จริง แต่คุณพ่อไม่ให้ทำงาน คือให้เลี้ยงลูกอยู่บ้าน คุณแม่บอกว่า ‘ฉันเลี้ยงพวกเธอเลยไม่ได้ไปเจอมนุษย์เลยนะ’ ท้องแล้วคลอด คลอดแล้วท้อง 6 คนเลย ส่วนคุณพ่อท่านเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณพ่อจะเก่งมาก เป็นคนที่ครีเอทีฟ และจะเก่งในเรื่องของ Innovation ฉะนั้นความเก่งมันก็มาลงกับลูกทุกคนหมด พี่สาวคนโตเขาก็เรียนบัญชีธรรมศาสตร์ เก่งมาก พี่สาวคนที่ 2 ก็อยู่มหิดล พี่ชายคนที่ 3 วิทยาศาตร์ จุฬาฯ น้องสาวคนที่ 5 ก็บัญชี จุฬาฯ น้องสาวคนที่ 6ก็วิศวะเคมี จุฬาฯ ส่วนใหญ่คุณพ่อบอกให้เรียนดอกเตอร์ให้หมด สำหรับเราปริญญาโทก็พอแล้ว แต่ถามว่าอยากเป็นดอกเตอร์มั้ย ก็อยากนะ

 

“ตอนนั้นเราเลือกธรรมศาสตร์อันดับ 1 คิดว่าถ้าเรียนสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์มันก็คงน่าเบื่อ คือดูแต่ละวิชาไม่น่าเรียนเลยกฎหมายก็ต้องท่อง เป็นคนไม่ชอบท่องหนังสือด้วย เพราะฉะนั้นจึงมองว่าวิชาที่มันน่าจะเหมาะกับเราก็เลยเลือกเรียนวารสารฯ แต่ยังไม่ได้คิดว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอะไร”

 

ระหว่างที่คุณสุภี กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 1 ก็เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 มีการชุมนุมประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยเกิดขึ้น

 

“เนื่องจากว่าวันนั้นเข้าไปจะเข้าไปฟังผลสอบ เหตุการณ์วันนั้นเกิดเป็นวันแรก ที่สนามหลวงห้ามเข้า ในชีวิตเกิดมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้ นั่นคือครั้งแรกในประเทศไทยที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น เขาเกณฑ์ปีหนึ่งไปเลย กินข้าวฟรี แจกข้าวห่อ เขาไปไหนเราก็ไปไปนั่งฟังเขาประท้วง เราปีหนึ่งสปิริตแรง ก็ไปนั่งฟังอยู่พักหนึ่ง หลังๆ มันเริ่มมั่วเหมือนมีการเมืองเข้ามาแทรกแซง ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้น แต่โชคดีที่เราไม่ได้เข้าไปร่วมชุมนุมด้วย เรากลับบ้าน ช่วงนั้นก็ลาหยุดเรียนไปหลายวัน แต่ครั้งนั้นก็มีเพื่อนก็มีบาดเจ็บแล้วก็เสียสติไปคนหนึ่ง เพราะตกใจมาก”

 

หลังจากผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลา คุณสุภีก็เรียนจนกระทั่งสอบเสร็จครั้งสุดท้ายในระดับปริญญาตรี แต่ระหว่างที่กำลังเดินเที่ยวกับคุณแม่ ก็เหมือนมีโชคเล็กๆ ที่นำพาให้เธอได้ทำงาน

 

“ตอนนั้นสอบเสร็จยังไม่ได้ประกาศผลเลย ก็ไปเดินช็อปปิ้งกับคุณแม่ แล้วก็มีคนขึ้นมาบอกว่า หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์เขาประกาศรับสมัครพีอาร์  เมเนเจอร์ที่โรงแรมแมนดาริน เราก็รีบกลับบ้านเลย เปลี่ยนเสื้อผ้าไปสมัคร ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะเรียนจบหรือเปล่า วันนั้นมีคนมาสมัครตั้ง 600 คน เราก็คิดในใจ จะได้เหรอ เขาก็เรียกสัมภาษณ์มาเรื่อยๆ เหลือ 100 คน เหลือ 6 คนเหลือ 2 คน ใน 2 คน 1 ในนั้นก็เป็นเรา อีกคนเป็นสาวจบจากอังกฤษ

 

“พอถึงเวลาสัมภาษณ์ เราไม่กลัวใครนะ เพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่เคยสอนให้กลัวใคร สอนให้มีอะไรก็คุยกันได้ แต่พอถึงเวลาประกาศผล ก็คิดว่าฉันไม่ได้แน่เลยเพราะสาวที่จบจากอังกฤษคนนั้นดูดี แถมจบจากต่างประเทศด้วย พอประกาศมาปรากฎว่าเราได้ทำงาน ตอนไปรับปริญญาโก้ที่สุดในรุ่นเพราะได้งานคนแรก แล้วเงินเดือนก็ไม่เลว แต่ก็ตื่นเต้นว่าฉันจะทำงานได้มั้ย ก็ทำอยู่ประมาณ 3 ปีค่ะ”

 

ความเปลี่ยนแปลงที่มาถึง

หลังจากที่คุณสุภีทำงานโรงแรมมาสักระยะ ก็มาถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชีวิต ที่จะต้องย้ายมาทำงานธนาคาร ซึ่งเป็นงานที่แตกต่างจากงานโรงแรมอยู่พอสมควร

 

“คุณพ่อไม่ชอบ คุณพ่ออยากให้มาทำงานธนาคาร ก็เลยมาอยู่ที่ไทยพาณิชย์ เพราะที่นี่เขายังไม่มีพีอาร์ แล้วเมื่อก่อนก็ยังไม่รู้จักพีอาร์เท่าไหร่ เพราะเหมือนว่าธนาคารเป็นที่รู้จักของใครต่อใครอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีพีอาร์ แต่จริงๆ แล้วการทำประชาสัมพันธ์เป็นการสร้างและเพิ่มมูลค่า สรุปก็เลยมาเป็นพีอาร์อยู่ที่นี่ วันแรกที่มาทำงานธนาคารท่าทางมันไม่น่าสนุกเลยนะเขามองเราเหมือนคนแปลกหน้า

 

“เราก็เลยกลายเป็นคนที่โดนมอง เราก็รู้สึกไม่ค่อยชอบเลย อยากอยู่โรงแรมมากกว่า อยู่โรงแรมเราอบอุ่น เป็นอะไรที่ใกล้ชิดนาย ธนาคารมันเป็นองค์กรที่ใหญ่มาก แล้วเข้ามาก็แบบงงๆ แล้วเราก็สไตล์โรงแรม เราก็คิดอีกว่าเขาจะยอมรับเรามั้ย เพราะทุกคนจะเรียบร้อยหมดเลย ถึงเราจะถูกเลี้ยงมาให้มีระเบียบวินัย แต่ขณะเดียวกันก็มีความไม่เหมือนชาวบ้าน เช่น ใส่สร้อยข้อเท้าตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ธรรมศาสตร์ แต่พอทำงานไปเรื่อยๆ มันก็โอเค เราก็ปรับตัวเอง”

 

นักสร้างแบรนด์

นับตั้งแต่ก้าวแรกที่คุณสุภีเข้ามาทำงานจนถึงปัจจุบัน เธออยู่ในสังกัดธนาคารไทยพาณิชย์มาเกือบ 30 ปี ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว เธอมีส่วนร่วมในการบริหารงานสร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ จนธนาคารไทยพาณิชย์กลายเป็นธนาคารติดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย

 

“สำหรับไทยพาณิชย์ ทิศทางดีอยู่แล้วเพราะเรามี Vision เรามองว่าเราต้องเป็นธนาคารอันดับ 1 แล้วก็เป็นธนาคารที่คุณเลือกต้องเป็น Premier Universal Bank คือไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นระดับโลกเลย ระดับจักรวาลเลย ฉะนั้นเราไม่อยู่นิ่งแล้วเราก็ได้รางวัลมากมาย เป็น Best Retail Bank in Thailand เป็นแบงก์ที่บริการดีที่สุด คือเรามีรางวัล 30-40 รางวัลเยอะมาก บอกได้เลยว่าในแบงก์ทั้งหมด แบงก์ไทยพาณิชย์ทำงานหนักที่สุด เหนื่อยด้วยหนักด้วย

 

“เดี๋ยวนี้แบรนด์นิ่งของไทยพาณิชย์ชัดเจน ใครเห็นสีม่วงก็จะนึกถึงไทยพาณิชย์ ไปไหนก็จะเห็นสีม่วง ไม่ว่าจะเป็นร่มแม่ค้า ร่มชายหาด หรือแม้กระทั่ง Branch Billboard ซึ่งเราเป็นผู้ริเริ่มแบงก์แรก ตอนนี้ก็มีหลายสถาบันการเงิน ก็ถือว่าแบงก์ได้เป็นผู้นำทางการตลาดหลายเรื่อง ถ้าเขาทำตามก็แสดงว่าเราไปถูกทางแล้ว เราก็ต้องก้าวต่อไปเรื่อยๆ การเป็นผู้นำการเป็นผู้ริเริ่มมันไม่ง่ายอย่างที่คิด ไทยพาณิชย์ก็จะเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี การตลาด คิดค้นอะไรใหม่ๆ ตอนนี้ถามว่าเหนื่อยมั้ย เหนื่อยมาก

 

“เวลาทำงานชิ้นหนึ่งก็จะเตือนกันตลอดว่า อย่าคิดว่าตัวเองอยากได้อะไร ต้องคิดว่าลูกค้าที่เป็นทาร์เก็ตพวกเราอยากได้อะไร คิดแทนเขาตลอดเวลา แล้วมันจะตอบโจทย์ตัวเองได้ อย่างอยู่ในที่ประชุม สิ่งที่คุณอยากทำหรือสิ่งที่คุณภูมิใจ ลูกค้าเขาชอบรึเปล่าเขาไม่สนหรอกนะ สมมติคุณได้รางวัล ลูกค้าเขาไม่สนหรอก เขาสนว่าเขาได้อะไรจากแบงก์มากกว่า เขาได้ความพึงพอใจอะไรหรือเขาอยากได้อะไร ไม่ใช่เราอยากทำแต่เขาไม่อยากได้ มันไม่มีประโยชน์”

 

แปลก ใหม่ ใหญ่ ดัง 

“คำพูดที่แปลกใหม่ใหญ่ดังมันอยู่ในตัวดิฉัน”

 

เธอพูดออกมาโดยที่เราไม่มีข้อสงสัยในคำนี้เลย เพราะหลายครั้งเราได้เห็นสิ่งที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทำงานออกมาก็มักจะประทับใจลูกค้าเสมอ

 

“แปลก นี่คือไม่เหมือนชาวบ้าน ใหม่ คือ ชอบอะไรใหม่ๆ อะไรที่แบบเก๋ๆ ใหญ่ดังทำอะไรเล็กๆ ไม่เป็น เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ทำ เราต้องโดดเด่น เราต้องเจ๋งกว่าใคร ลูกค้าเห็นเราต้อง ว้าว เห็นไทยพาณิชย์ เยี่ยมเลย คือทำยังให้ลูกค้ายอมรับ ซี่งถามว่ายากมั้ยยากมาก

 

“อย่างโฆษณาที่หลายคนคิดว่าเราสร้างมันขึ้นมาเอง คือชุดโฆษณาที่ลูกค้าชมธนาคารไทยพาณิชย์ เราไม่ได้ไปบังคับลูกค้าลูกค้าพูดเองนะ โฆษณาที่เราเห็นทางทีวีคือเขาพูดจริงๆ คือเราไปสัมภาษณ์เขา เขาอยากพูดอะไร พูดแล้วเราก็จะเอามาออก คืออันนี้ใช่เลย พูดจริง เพราะเราไปบังคับเขาไม่ได้

 

“ตอนนี้มีคนตามเราอีกแล้ว แป๊บเดียวมีคนโฆษณาเหมือนเราอีกแล้ว คือชอบทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน ชอบอะไรที่ ว้าว ไม่ว้ายอย่างโฆษณาชิ้นหนึ่งที่อยู่ตรงท่าเรือคลองเตย มีคนโทรมาเลยโดยที่เราไม่ต้องทำข่าว มีคนทำข่าวให้เราเสร็จ คิดได้ไงเราใช้รถเครน 3 คันยกตู้คอนเทนเนอร์ขึ้นมาช่วงเช้าจนถึงเย็น พอตกเย็นยกลง ทุกคนบอกเท่มาก ตู้คอนเทนเนอร์เราก็ใส่โฆษณา 3 ชิ้นเป็นบริการ Import Export ซึ่งเป็นโฆษณาที่ไม่มีใครคิดแต่เรามานั่งคิด ยากนะคิดอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้าน ต้องคิดงานใหม่ๆตลอดเวลา

 

“บริการอีกด้านที่เน้นคือ Business Banking คือ ให้ลูกค้ากลุ่มธุรกิจขนาดกลางหรือ SME เราเรียกว่า Business Bankingกลุ่มนี้เราอยากให้เขาเข้ามาใช้ไทยพาณิชย์ดู ใช้แล้วจะติดใจ ใช้แล้วจะรู้ว่าเป็นยังไง

 

“ไทยพาณิชย์เป็นเจ้าแรกของ ATS (Automatic Transfer System) พอเงินเดือนเข้าปุ๊บนี้มันก็จะทรานสเฟอร์ไปที่นี่ทุกบัญชี ณ วันนี้เราการันตีว่า 6 โมงทุกบัญชีไม่มีพลาด เรากำลังออกโฆษณาตัวนี้ถ้าพลาดเราจะชดใช้ให้ คนจะรู้สึกว่าไทยพาณิชย์ระบบดี เป็นอะไรที่การันตีแล้วทุกคนก็เริ่มเข้ามา ใช้แล้วก็บอกต่อ”

 

ลูกค้าคือคนสำคัญ

“ถ้าลูกค้าเขามาที่นี่ ก็จะรู้สึกว่ารู้อย่างนี้มาใช้ที่นี่ตั้งแต่แรกดีกว่า ถ้าลูกค้ามีทางเลือกเมื่อไหร่ก็อยากให้มาเลือกใช้ไทยพาณิชย์ก็เห็นผลนะที่เราได้พัฒนาแล้วเอาลูกค้าเป็นหลัก ไปเที่ยวไหนก็อยากใช้ไทยพาณิชย์จังเลย อยากได้บัตร Platinum คนเหล่านั้นในอดีตที่เคยเจอ เขาไม่สนใจไทยพาณิชย์เลยนะ แต่ตอนนี้เขาเดินเข้ามาหาเรา เขาทักเรา เขาอยากเข้ามาใช้บริการ เราก็รู้สึกดีจัง

 

“เราเป็นคนที่ไม่บังคับขู่เข็ญ ไม่เคยบังคับให้คนที่คบด้วยมาใช้ ไปบังคับเขาทำไม มันเหมือนเซลล์ยังไงก็ไม่รู้ แต่ทำให้เขารู้สึกว่าใช้แล้วแฮบปี้ดี ใช้แล้วติดใจ

 

“ไทยพาณิชย์มองลูกค้าเป็นสำคัญ ลูกค้าต้องการอะไร ลูกค้าอยากได้อะไร เราต้องเอาลูกค้าเป็นหลัก สำหรับตัวเองคิดถึงลูกค้าเป็นหลัก ลูกค้าไม่ชอบอะไรเราต้องปรับปรุงบริการ อันนี้ดีต้องทำ ฉะนั้นใครเป็นลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์มีสิทธิที่จะคอมเมนต์ได้ว่าต้องการอะไร ฉะนั้นเราพยายามทำให้เป็นธนาคารที่คุณเลือกให้มากที่สุด เราจะปรับปรุง เราจะฟัง ไม่ใช่เราแน่เราเจ๋ง ลูกค้าเป็นผู้ที่มีพระคุณกับเรานะ เพราะเขาใช้เรา เราก็ได้ผลตอบแทนกลับมา ทุกคนก็ได้เงินปันผล ไทยพาณิชย์ไม่ใช่เป็นของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ไทยพาณิชย์เป็นของทุกคน เป็นของมหาชน เราบริหารด้วยมืออาชีพ ทุกคนสร้างมาก็เพื่อลูกค้า ทุกคนก็แฮบปี้ลูกค้าก็แฮบปี้ เพราะลูกค้าใช้เรา เราก็ได้งานจากลูกค้า ได้เงินจากลูกค้า เพราะฉะนั้นก็ win-win

 

“ทางแบงก์ไทยพาณิชย์จะคิดถึง Cost Efficiency ว่าทำอย่างไรให้ลูกค้าได้ผลประโยชน์สูงสุด เราพยายามที่จะอะไรที่ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ อะไรที่ทำแล้วได้ผลตอบแทนสูงสุดให้กับลูกค้าและกับแบงก์ เราก็จะทำ ตัวเราเองบางทีมันสามารถประหยัดเงินได้ก็จะทำ แล้วก็ค่อนข้างที่จะง่าย คือแบบว่าสมมติว่าแบงก์อื่นใช้เงินก้อนนี้แต่เราจะใช้เงิน 1 ใน 4 หรือ 1 ใน 3ของเขา เพราะเรามีพันธมิตร เรามีเครือข่าย

 

6 ทีมหลักนักโฆษณาและส่งเสริมการขาย

ผลงานที่แสดงถึงความสำเร็จของธนาคารไทยพาณิชย์นั้นนอกเหนือจากตัวบุคคลแล้ว ก็ต้องมาจากทีมงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งคุณสุภีได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบดูแลทีมงานทั้งหมด 6 ทีมครอบคลุมการทำงานของธนาคารไทยพาณิชย์เกือบทั้งหมด

 

“งานโฆษณาและส่งเสริมการขายที่ดูแลอยู่มีทั้งหมด 6 ทีม ทีมที่ 1 คือ ทีมครีเอทีฟ คือทีมที่สร้างสรรค์งานโฆษณาและลูกค้าสัมพันธ์ คือต้องคิดไปเรื่อย ลูกค้าสัมพันธ์เนี่ยต้องดูแลทุกฝ่ายในธนาคาร เราต้องคิดงาน ซึ่งเรามี In House มีหน่วยงานพวกอาร์ติส อยู่ในนี้ด้วย ทีมที่ 2 คือ สื่อส่งเสริมการขาย พรีเมียมแอนด์โปรโมชั่น จะดูแลของแจกของแถมทั้งหมดของแบงก์ เพื่อซัพพอร์ททางแบงก์และบริษัทในเครือ ทีมที่ 3 คือ อีเวนต์ โปรโมชั่น ดูกิจกรรรมทางการตลาดทั้งหมด กิจกรรมแถลงข่าวเปิดตัวทั้งหมด ทีมที่ 4 ส่งเสริมการรณรงค์ คือดูแลแคมเปญของแบงก์ ทีมนี้ก็จะต้องคิดสื่อรณรงค์ต่างๆ แล้วก็ดูเรื่องทำปฏิทิน ทำการ์ดวันเกิด ปีใหม่ สงกรานต์ทีมนี้ทำหมด ทีมที่ 5 ดูแลสาขาทั่วประเทศเพื่อให้เกิดมาตรฐานเดียวกัน สมมติว่ามีโปสเตอร์ 10ชิ้น โปสเตอร์ใหญ่ต้องติดตรงนี้ โปสเตอร์นี้ต้องติดระหว่างตรงนี้ ทุกอย่างต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน ให้สวยงามเหมือนกัน ไม่มีเลอะเทอะ รวมไปถึงทุกช่องทางของธนาคารที่สื่อเข้าถึง ทีมสุดท้ายก็เป็นสื่อโฆษณาและสปอนเซอร์ชิพต้องดูโฆษณาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์อะไรพวกนี้ต้องดูหมด ว่าอันนี้ควรให้ อันนี้ไม่ควรให้ โฆษณาอันนี้ดีไม่ดีเขาต้องวิเคราะห์ นี่คือ6 ทีมที่ต้องดูแลก็เหนื่อย แต่ตอนนี้ทีมงานเข้าที่เข้าทางแล้ว น้องๆก็ ทำงานกันค่อนข้างคล่องและไว้วางใจได้

 

“บางคนเรามีสิทธิที่จะเลือกเพราะเป็นเด็กใหม่ บางคนไม่มีสิทธิที่จะเลือกเพราะอยู่กันมานานก็ต้องมาปรับให้อยู่ในทีม ก็ต้องเรียกมาพูด อย่างบางคนเป็นอาร์ติสพอมีแรงกดก็ไปเลย เพราะศิลปินเนี่ย อารมณ์ต้องเหนือกว่าเหตุผลเพราะฉะนั้นไม่พอใจก็ไปแล้วจึงต้องเรียกน้องมาบอกว่าการจะก้าวไปสู่ผู้บริหารจะทำงานแค่นี้หรือ แต่ว่างานตรงนี้สามารถก้าวไปเป็นหัวหน้าคนได้ ปรับอีกนิดนึง อย่าใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ซึ่ง ณ วันนี้ คนเหล่านั้นบางคนก็ได้เป็นหัวหน้าแล้ว

 

“ใครที่โดนดิฉันโกรธคงต้องไปรดน้ำมนต์ เพราะปกติจะบอกว่าให้ช่วยกันทำงานหน่อยนะ เวลาโดนดุเราก็ไม่เคยไปดุเขาต่อ เราก็รับไว้แต่เพียงผู้เดียว ต้องแก้ปัญหา ต้องมา บอกทุกคนว่าสร้างสรรค์อย่าสร้างปัญหา ถ้าสร้างปัญหาแล้วพี่จะเป็นคนแก้ให้ แต่ให้สร้างสรรค์ดีกว่า อย่าสร้างปัญหาเลยมันไม่สนุก

 

“นั่นคือจิตวิทยาที่ใช้ดูแลน้องๆ ทีมงานก็เหมือนน้องๆ เราบอกว่าพี่ไม่ได้อยู่ตรงนี้นานนะ อีกหน่อยพวกคุณก็ขึ้นมาแทนพี่ พี่เคยเป็นพนักงานก็ทำมาหมดแล้ว ทำอย่างไรให้คนรักกันช่วยกันดีกว่า อย่ามาถือสิทธิถืออะไร เราทำงานแบบพี่น้องดีกว่ามันสร้างสรรค์แล้วมันไม่เครียด ถ้าเล่นแง่เล่นมุมมันจะเครียด เราไม่ได้สั่งนะ เราจะบอกว่าช่วยทำให้พี่หน่อยสิ งานชิ้นนี้พี่อยากได้พรุ่งนี้ แต่ถ้ามีอะไรพลาดมา เราก็รับแต่เพียงผู้เดียว เราก็มานั่งสงบสติอารมณ์ แล้วก็บอกน้องว่าพี่โดนมาว่ามาแล้วนะ บางทีแรงมาก พี่โดนดุมาแล้วนะ ช่วยพี่หน่อยเถอะ นี่คือวิธีการ

 

“วันหนึ่งเลขาบอกกว่ามีนิตยสารฉบับหนึ่งประกาศว่าให้ไปรับรางวัล เราบอกไม่ใช่เราหรอกที่เก่ง คนที่เก่งจริงคือประธานแบงก์กรรมการผู้จัดการใหญ่แบงก์ พี่เป็นคนทำให้มันเกิดแค่นั้นเอง ไม่มีความรู้ความสามารถเท่าผู้บริหารระดับสูง พี่มองว่าการทำงานต้องเป็นทีม แล้วอีกอย่างหนึ่งพี่เป็นคนเคารพความคิดของทีมงาน เพราะว่าเราต้องดูแลอาร์ตทั้งหลาย มันเหมือนเป็นงานศิลปะงานโฆษณา เป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน มันไม่ใช่งานบัญชีที่ต้องเดินตามระบบบัญชี แต่งานศิลปะต้องสร้างสรรค์ตลอดเวลา ต้องแตกต่างและต้องขายได้ด้วย”

 

เงินทอง ต้องใช้ให้เป็น

จากประสบการณ์ทำงานที่ยาวนานในวงการการเงินการธนาคาร ทำให้คุณสุภีมีมุมมองในการใช้เงินที่น่าสนใจมาแนะนำกัน

 

“พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนี่จริงเลย คนไทยควรจะใช้ส่วนหนึ่งแล้วก็ออมส่วนหนึ่งแต่บางทีคนที่ใช้สินเชื่อไม่ประพฤติปฏิบัติไม่เคารพกติกามีเยอะ คนเราถ้าเคารพกติกาและมีวินัยมันก็ไม่มีปัญหาหรอก

 

“ณ วันนี้ เห็นเลยเด็กสมัยใหม่ใช้เงินเก่ง แล้วพฤติกรรมของคนไทยคือหน้าใหญ่ใจโตมือเติบ บางทีก็ไม่จำเป็น อย่างต่างชาติก็แต่งตัวสบายๆ แต่คนไทยต้องแต่งตัวหรูหราฟุ่มเฟือย อย่างเราเองเก็บเงินให้ลูกดีกว่า เขาเรียกว่าได้เท่าไหร่ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าเราเก็บเท่าไหร่ เราก็ควรจะเก็บเงินส่วนนั้นไว้ เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน วันนี้เราอาจจะทำงาน เราอาจจะแข็งแรงแต่คนเราจะรู้ได้ไงว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีอะไรที่เป็นความมั่นคงในชีวิต

 

“ฉะนั้นเราก็ยอมให้ตัดเงินไปเลย สมมติได้มาก้อนหนึ่งเราก็ยอมให้ตัดไปเลย ตัดใจ แป๊บเดียวเก็บเงินได้เยอะแยะ ถ้าคนเก็บเงินยากก็ต้องใช้วิธีนี้ ยอมให้ตัดเงินจากบัญชีไปเลย คนบางคนไม่เก็บไม่ออม ทีนี้เสร็จเลย เป็นหนี้เป็นสินรุงรัง ถ้ามองทั้งระบบบัตรเครดิตมันสร้างหนี้สินทุกตัวเลยนะ ทุกคนก็ใช้ๆ พอถึงเวลาดอกเบี้ยมันก็ทบทวีคูณ คนมันก็เกิดปัญหาซึ่งอันตรายมาก แล้วเด็กสมัยนี้ใช้บัตรเครดิตคือคุณพ่อทำบัตรเครดิตให้ เลี้ยงลูกด้วยเงิน ซึ่งเราไม่ทำให้เลยนะเพราะว่าเราเองยังเสียนิสัยกับบัตรเครดิตเลย”

 

คนรักแบงก์

 “ดิฉันทำงานล่วงหน้า 3 ปี ปีหน้านี้เตรียมไว้แล้ว ถ้างานสั่งวันนี้คือเอาเมื่อวานซืน เพราะเป็นคนใจร้อนเหมือนกันไม่ใช่ใจเย็น ผู้บริหารแบงก์ก็เป็นคนเร็วมาก ไวมาก คิดเร็ว ทำเร็ว คิดดี ทำดีด้วยนะ ทุกวันนี้ทำอะไรจะคิดถึงลูกค้าเป็นหลัก ไม่ใช่ตัวเองเป็นหลัก วิธีการคิดการคือเอาลูกค้าเป็นหลัก

 

“เราเป็นคนรักแบงก์ จะตื่นตี 5 มาถึงแบงก์ 6 โมงครึ่งทุกเช้า บ้าทำงานอยู่นั่นแหละ คือเรารักมันไม่อยากไปไหน แม้จะมีแบงก์อื่นมาขอให้ไปอยู่และให้เงินเดือนดับเบิ้ลเราก็ไม่ไป เรารู้สึกว่าโลโก้มันติดอยู่ที่หน้าผากแล้ว ถ้าไปก็ออกไปเป็นคุณนายหรือทำอะไรที่ไม่ใช่อาชีพแบงก์ดีกว่า เพราะฉะนั้นคิดว่าภาพของธนาคารไทยพาณิชย์น่าจะเป็นธนาคารอันดับ 1 ในใจคน และเป็นธนาคารที่คุณเลือก และเราก็ต้องทำงานหนักอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เราหยุดไม่ได้หรอกเพราะคู่แข่งมีมาเรื่อย ๆ

 

“ทุกวันนี้ก็เหนื่อยมากเพราะว่าบางทีต้องออกงานเพื่อสร้างสัมพันธภาพ สร้างพันธมิตร มีคนถามว่าไม่เหนื่อยเหรอออกงานทุกวันก็เหนื่อยนะ แต่ทำไงได้เพราะเมืองไทยต้องมีสัมพันธภาพ มีพันธมิตร ยิ่งมีมากก็ได้เปรียบ ฉะนั้นก็จะมีเพื่อนๆ เยอะ ช่วยได้ทุกคน น้องๆ เราก็ถือว่าช่วยใครได้ก็ช่วยเพราะคุณแม่สอน เราก็จะสนิทกับน้องๆ สนิทกับผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการ เราก็จะเข้าไปช่วยเขา คือเราช่วยด้วยความจริงใจ เวลาที่เขามีเรื่องเดือดร้อนเราก็ไม่ได้ไปหวังผล เราบอกมาเลยเดี๋ยวช่วยให้ พอเรายกหูขอความช่วยเหลือใครเขาก็จะช่วยเราด้วยความจริงใจ ฉะนั้นก็มีเพื่อนและก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่ามีมิตรดีกว่ามีศัตรู”

 

ด้วยการที่คุณสุภีออกงานสังคมบ่อย จึงทำให้ภาพลักษณ์ของเธองดูเป็นคนที่อยู่ในสังคมระดับสูง จนมีหลายคนมองว่าเธอเป็นไฮโซ

 

“สามีก็ชอบแซวว่าเราเป็นไฮโซ แต่เราไม่ชอบ เราเกลียด เราบอกเขาว่าไม่ใช่ไฮโซ เราเป็นคนติดดิน เราไปเจอใครข้างนอกอย่างไปกับลูกสาวเห็นคนขอทานก็ซื้อโค้กให้ ลูกจะเอาอะไรต่ออะไรให้คนที่เขาด้อยตลอด เราสงสารเขา พ่อก็ชมลูกสาวว่าลูกเรามันน่ารัก เรามองว่าเราติดดิน เราโลโซเราไม่ได้ไฮโซ ถ้าให้เลือกไปงานมันคือหน้าที่ที่เราต้องไปเจอคน หน้าที่ที่เราต้องสร้างสัมพันธภาพ หน้าที่เราต้องมีพันธมิตร แต่ถ้าจะให้เลือก ดิฉันชอบอยู่บ้านไม่ชอบเที่ยวเลย พ่อแม่ลูกชอบอยู่บ้าน แฮบปี้โฮม”

 

ครอบครัวที่อบอุ่น

ความเป็นตัวตนของคุณสุภีนั้นนอกจากจะให้ความสำคัญกับการทำงานแล้ว เธอยังให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นหลัก ฟังจากที่เธอเล่า ดูแล้วก็เป็นครอบครัวที่น่ารัก

 

“บริหารครอบครัวเป็นอะไรที่เหนื่อยเหมือนกัน เพราะมีลูกเป็นวัยรุ่นทั้งคู่ ลูกชายอายุ 20 ส่วนลูกสาวอายุ 19 อยู่ที่นิวซีแลนด์โอ๊คแลนด์ทั้งคู่ บังเอิญครอบครัวเราคบกันเหมือนเพื่อน พ่อแม่ลูกไปไหนไปกัน อันนี้เล่าขำๆ มีอยู่วันหนึ่งเดินกันมา ลูกชายก็เจอสาวหน้าตาดีก็มาสะกิด พ่อก็บอก 3 คนแม่ลูกซ่าจริงๆ คือเราก็จะเล่นๆ กันมากกว่า ลูกก็จะหวงพ่อหวงแม่มาก บางทีแม่แต่งตัวโป๊หน่อยลูกสาวก็บอก เห็นหมดแล้ว ส่วนลูกชายก็บอกแต่งไปเลย มีโชว์เลย

 

“ถ้ามีเวลา วันเสาร์อาทิตย์คือวันครอบครัว โดยเฉพาะวันเสาร์เราจะไปกินข้าว ดูหนังกัน แต่เด็ก 2 คนนี้เป็นวัยรุ่นก็อาจจะกินข้าวดูหนังเขาจะไปดูกับเพื่อนนะ เราก็โอเค ปกติเราก็จะไปไหนไปกัน แต่ตอนนี้ก็ส่งลูกทั้งคู่ไปอยู่ที่นิวซีแลนด์ โอ๊คแลนด์ แต่บ้านจริงๆ อยู่ที่อิลลินอยด์ คุณพ่อคุณแม่ดิฉันเป็น Senior Citizen อยู่ที่อเมริกานะ ฉะนั้นพี่น้องเราก็อยู่ที่นั่นซะส่วนใหญ่ ก็สะดวกดี แต่เราก็กลัวลูกเราหลงระเริงก็เลยให้อยู่ที่นิวซีแลนด์

 

ผู้ใหญ่ที่เข้าใจวัยรุ่น

นอกจากการทำงานประจำแล้วทุกวันนี้คุณสุภียังการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ตนเองชื่นชอบอย่างเช่นการเป็นพิธีกรทางช่องทรูวิชั่น 9

 

“ก็ทำรายการ Teen Time เดิมใช้ชื่อรายการว่า ‘วัยรุ่นวุ่นวาย’ ออกอากาศทางทรูวิชั่น 9 รายการทุกวันพุธ 5 นาที ตอนห้าทุ่มแล้วก็ replay ทุกวันเสาร์อาทิตย์ ก็จะมีแขกวัยรุ่นต่างๆ ช่วงแรกโปรดิวเซอร์จะเขียนสคริปต์มาให้เลย แต่เราไม่ใช่คนท่องหนังสือ ดูไม่ธรรมชาติ เพราะฉะนั้นจะคุยกันเลย

ใครๆก็รู้ว่าธนาคารไทยพาณิชย์เป็นธนาคารแห่งแรก