วิมลมาลย์ วัฒนสมบัติ
แต่ผู้หญิงคนนี้เธออยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง คุณเก๋ วิมลมาลย์ วัฒนสมบัติ เจ้าของธุรกิจนำเข้าหูฟังบลูทูธ Jabra นั่นเอง
“จริงๆ ตอนเด็กๆ ก็ฝันว่าอยากเป็นครูนะ เพราะว่ามีอาชีพที่เรารู้จักอยู่ไม่กี่อาชีพ พอโตมาก็อยากทำงานเกี่ยวกับทางด้านโฆษณาก็เลยเลือกเรียนนิเทศศาสตร์ แต่ด้วยสายเลือด คือที่บ้านทำธุรกิจส่วนตัวอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าอยากทำอะไรที่เป็นธุรกิจส่วนตัวบ้างตอนนั้นก็คิดว่าจะเปิดบริษัทเอเจนซี่โฆษณา ไม่คิดเหมือนกันว่าสุดท้ายจะทำสินค้านำเข้า แต่ก็ถือว่ายังเป็นส่วนหนึ่งของความฝันเพราะว่าเราอยากเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ได้อยากเป็นลูกจ้างไปตลอดชีวิต
“มันเหมือนความบังเอิญหรืออาจจะเป็นชะตากรรมที่ทำให้เราต้องมาเจอกับ Jabra ก็คือคุณโจ (ดร.บรรพต) พี่ชายเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับพวกซ่อมมือถือ พีดีเอ อยู่ก่อนแล้ว เขาก็มาชวนให้มาทำธุรกิจร่วมกัน พอเราได้ยินว่าเป็น Jabra ก็โอเคทันทีเลย เพราะว่าตอนที่ไปเรียนที่อเมริกาเคยใช้บลูทูธยี่ห้อไหนๆ ก็ไม่เวิร์ค พอได้ใช้ Jabra FS258 ที่เป็นรุ่นอ้อมหลังหู ก็รู้สึกประทับใจ แล้วที่เขาติดต่อมาไม่ใช่แค่ขายอย่างเดียว แต่ให้เราทำการตลาดในประเทศไทยให้ด้วย ก็เลยตัดสินใจว่าทำ อีกส่วนหนึ่งก็เพราะว่าตรงกับสาขาที่เรียนมาด้วย คือเก๋จบปริญญาโททางด้านสื่อสารการตลาดจาก Northwestern University ที่ชิคาโก แล้วเราก็เชื่อมั่นว่าต้องขายได้แน่นอน เพราะ Jabra ทำให้เราสบายกาย สบายใจ และเชื่อถือได้ คือให้ความสะดวกกับชีวิตได้ และยังมีดีไซน์ที่สวยงาม แถมยังเชื่อมต่อไม่หลุดง่าย ทำให้ผู้ใช้วางใจได้”
การเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ แน่นอน เพราะช่วงนั้นที่เธอเริ่มธุรกิจ คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักบลูทูธเลยด้วยซ้ำ
“เริ่มต้นประมาณปี 2004 ตอนนั้นตลาดมีบลูทูธอยู่ไม่มาก เรียกได้ว่าคนรู้จักไม่ถึง 1% ไม่มีคู่แข่งในตลาดสักเจ้า ไม่มีการแข่งขัน ส่วนใหญ่คนรู้จักแต่สมอลทอล์ค แต่ปัญหามันไม่ใช่แค่ว่าให้คนรู้จัก Jabra แต่ต้องทำให้คนรู้จักบลูทูธ มันต้องเริ่มตั้งแต่พื้นฐานเลยว่าบลูทูธคืออะไร ใช้อย่างไร ทำอย่างไร
“เรียกได้ว่าตอนนี้ไม่มีช่วงไหนที่เก๋จะสบายใจนั่งเฉยๆ ได้เลย ในช่วงแรกๆ ก็ยังไม่เท่าไรเพราะว่ายังไม่มีคู่แข่ง สินค้าก็ไม่ได้เยอะเท่าปัจจุบัน แล้วการตลาดก็ไม่ได้โตเร็ว แต่ตอนนี้เราต้องทำทุกอย่างแข่งกับเวลา เราไม่ทำคู่แข่งก็ทำ เราไม่ทำ ตลาดโตแต่เราไม่โต แล้วถ้าเราไม่ทำ เราก็จะรักษาความเป็นผู้นำไว้ไม่ได้ มันก็เลยเยอะกว่าสมัยก่อน แต่มันไม่ได้หนักถึงขนาดไม่ได้กิน
ไม่ได้นอน ไม่มีเวลาส่วนตัวเลย มันก็ไม่ใช่ ถึงแม้ว่าเก๋จะทำธุรกิจโรงเรียนอนุบาลของคุณแม่ไปด้วย (โรงเรียนอนุบาลมณีรัตน์อยู่ที่ถนนนราธิวาสราชนครินทร์) ก็เปิดมา 20 ปีแล้ว ถามว่าทำสองอย่างหนักไหม ตอบอีกครั้งเลยว่าไม่ แต่เราต้องแบ่งเวลาให้ได้ ดังนั้นเก๋จึงต้องแบ่งเวลาของงานทั้งสองอย่างให้ดี อย่างตอนนี้ก็แบ่งเป็น จันทร์-พุธ-ศุกร์ ที่หนึ่ง อังคาร-พฤหัสฯ-เสาร์ ก็อีกที่หนึ่ง”
และถึงแม้เธอจะมีตำแหน่งเป็นถึงผู้บริหาร แต่การใกล้ชิดและให้ความสำคัญกับลูกค้านั้น เป็นสิ่งที่เธอทำอยู่ประจำ ทุกครั้งที่Jabra ไปออกโรดโชว์ตามสถานที่ต่างๆ เราจะเห็นเธอแต่งกายทะมัดทะแมงพูดคุยกับลูกค้าอยู่บ่อยๆ
“การทำแบบนี้ทำให้เราไม่หลุดจากลูกค้า เพราะว่ามาร์เก็ตติ้งลอยๆ บางครั้งก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่การที่เราเข้าไปคุยกับลูกค้าโดยตรง เราจะทราบความต้องการของเขาอย่างชัดเจน และทราบได้ว่าลูกค้าต้องการอะไร อะไรที่เขาชอบ ไม่ชอบ คุยแบบไหนเขาซื้อ แบบไหนไม่ซื้อ และการออกไปลุยเอง ทำให้ทราบได้ว่า ลูกค้ากว่าจะซื้อเพราะอะไร อย่างเมื่อก่อน หูฟังบลูทูธ Jabra 1 ตัว จะต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการพรีเซนต์ เพราะต้องอธิบายเขาหมดว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่ในปัจจุบันไม่ใช่อย่างนั้น ลูกค้าจะเข้ามาถามหาว่ามีฟีเจอร์อะไรบ้าง แบบไหนบ้าง คือเราไม่ต้องไปเสียเวลาให้ความรู้ลูกค้า พอถึงเวลาที่เราจะฝึกเซลล์ เราก็สามารถที่จะบอกเขาได้เลยว่าให้ทำแบบไหน เพราะว่าเราเคยเจอสถานการณ์จริงมาแล้ว
“เก๋จะทำเองเกือบทุกอย่าง อย่างเซ็ตอัพก็จะไปทำด้วยตัวเอง มันทำให้เราได้ใจลูกน้องด้วย เพราะเขาไม่ได้เหนื่อยอยู่คนเดียวเวลาที่เราขายได้เยอะ เก๋ก็แบ่งค่าคอมมิชชั่นให้เต็มๆ ทำให้มันได้ทั้งภายในองค์กรและภายนอกองค์กร คือคิดว่ามันเป็นงานของเรา ไม่ได้คิดว่าเป็นงานของใคร และทำให้ทุกคนรู้สึกว่าได้เป็นส่วนร่วม ทุกคนก็พยายามไปสืบเสาะว่าคู่แข่งเรายอดขายเป็นอย่างไร ถ้าเราได้มากกว่า เขาก็จะดีใจไปตามๆ กัน บรรยากาศในการทำงานของที่นี่เหมือนกับพี่น้องมากกว่า มีอะไรก็คุยกัน มันไม่ใช่เราดูแลเขา สอนเขาแค่เรื่องงาน แต่เรื่องส่วนตัวหากมีปัญหาก็ปรึกษาได้เหมือนกัน”
ดูเธอจะมีความสุขกับงานอยู่ตลอดเวลาทั้งๆ ที่เธอเป็นคนที่ทำงานเยอะมากๆ
“เก๋ว่าเราต้องทำงานให้มีความสุข เพราะว่าเราต้องตื่นขึ้นมาอยู่กับมันทุกๆ วัน ถ้าเราไม่มีความสุข เราก็คงอยู่กับมันไม่ได้แน่ๆความสุขจริงๆ ก็คือการทำบรรยากาศในการทำงานให้มันดี เน้นความเป็นจริงเป็นหลัก แล้วก็จริงใจ ดีไม่ดีคุยกันตรงๆ แค่นี้บรรยากาศในออฟฟิศมันก็ดี และทำให้ทุกคนอยากทำงาน กับลูกค้าก็เช่นกัน เพราะคอนเส็ปต์ของ Jabra ก็คือ จะไม่ทำอะไรหลอกลวงลูกค้าหรือทำให้ลูกค้าเข้าใจผิด เราทำด้วยความจริงใจ ถึงแม้ว่าลูกค้าจะเกิดปัญหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเราก็ตาม เราก็จะช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าอย่างเต็มที่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันนำเราไปสู่ความภูมิใจต่างๆ ที่ทำให้ Jabra เป็นบลูทูธอันดับหนึ่งของประเทศ ธุรกิจโรงเรียนอนุบาลก็เป็นที่ยอมรับ มีคนมาดูงาน มีอาจารย์มาฝึกงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั้งหมดที่เราทำมา เราตอบตัวเองได้ว่ามันคุ้ม และตอกย้ำเสมอๆ ว่าการทำงานของเราต้องมีความสุข
“ปัญหาที่เก๋มีหลักๆ เลยก็คือเรื่องของการแบ่งเวลา เพราะเมื่อไรที่ทั้งสองที่มันเกิดยุ่งพร้อมกัน มันจะทำให้เราแบ่งร่างไปไม่ได้ ก็ต้องติดต่อโดยการใช้โทรศัพท์ อีกปัญหาหนึ่งที่ไม่แพ้กันเลยก็คือ ปัญหาเรื่องคน ถึงแม้ว่าจะมีการบริหารที่ดี แต่บริษัทที่เติบโตเร็ว
การบริหารคนมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จากพนักงาน 5 คน กลายเป็น 30 คน มันต้องรับคนเพิ่มเยอะ ปัญหาก็เยอะขึ้น ก็ทำให้เหนื่อยเหมือนกัน แต่ก็เป็นเหนื่อยแบบที่เราผ่านมาได้ มันไม่ใช่เหนื่อยแบบความล้มเหลว มันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะว่าเราเติบโตขึ้น”
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอมีทุกวันนี้ได้ ก็คงเป็นเพราะว่าเธอเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ไม่ว่าจะเจอะเจอปัญหาใดๆ ก็ตาม เธอจะคิดว่าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเธออยู่เสมอ เธอมักจะมองปัญหาว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้ทำให้เราทุกข์ขนาดนั้น
“การมองโลกในแง่ดีทำให้เรามีความหวังอยู่ตลอดเวลา แต่อย่างหนึ่งที่ทำให้เก๋คิดว่าเราประสบความสำเร็จก็คือ เราเป็นคนที่มีจิตสำนึก คือไม่ได้เป็นคนที่ขยันสุดยอดนะ มีความเป็นเด็กเหมือนกัน แต่ทุกๆ ครั้งด้วยความที่เรามีจิตสำนึก เราจะไม่ทำอะไรให้ตัวเองล้มเหลว ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่คนที่ชอบเรียนหนังสือ แต่เราก็จะเรียนอยู่ในเกณฑ์ที่โอเคเสมอ อย่างตอนเรียนที่จุฬาฯ
ก็บอกตัวเองเลยว่าต้องเรียนจบให้ไม่ต่ำกว่า 3.00 ถ้าอยากจะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ สำหรับการเรียนปริญญาโทในอเมริกา คือเราก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนตลอดนะ แต่เมื่อไรที่มันดูต่ำกว่าที่เราคาดหวังไว้ ก็ต้องอัพตัวเองขึ้นมาให้ได้ อะไรที่มันเสี่ยงกับชีวิตมากๆ ก็จะไม่ทำ
“เก๋คิดว่าโชคดีมากที่ถูกเลี้ยงมาอย่างที่พ่อแม่เขาเลี้ยง เพราะมันทำให้เราคิดไม่เหมือนกับที่คนอื่นเขาคิด เขาสอนให้เรารู้จักทำอะไรเองตั้งแต่เด็กๆ คิดเองตั้งแต่เด็กๆ ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเวลาไปต่างจังหวัดทำไมเราต้องจัดกระเป๋าเอง ทั้งๆ ที่เราอายุแค่ 3 ขวบ ทำไมทุกสิ่งอย่างเขาให้เราคิดเอง เลือกเอง มันไม่ใช่การถูกบังคับ แต่คือทุกอย่างต้องอยู่ในระเบียบวินัย และจากจุดนั้นก็ทำให้เราสามารถวิเคราะห์อะไรได้เอง และที่สำคัญมันทำให้เรารู้สึกว่าพื้นฐานครอบครัวของเราอบอุ่น จิตใจเรามั่นคงทำให้เรามีทัศนคติที่ดีต่อชีวิตตลอดเวลา ทุกวันนี้แม้คุณพ่อท่านจะเสียไปแล้ว แต่คุณแม่ และพี่ๆ ก็ยังดูแลเราอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม และนั่นก็ทำให้เราสามารถก้าวมาถึงทุกวันนี้ได้
“อยากให้ทุกๆ คนคิดเหมือนกันว่า เราสามารถมองเห็นสิ่งดีๆ ในชีวิตได้ เก๋เคยอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง เขาบอกว่า สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ คือบางครั้งเราเจอเรื่องที่ร้ายที่สุด อย่างของเก๋ก็คือคุณพ่อเสีย คือรู้สึกเลยว่ามันเลวร้ายมาก ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่ามันต้องเกิดขึ้นกับชีวิตเรา ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่การที่เราสูญเสียอะไรบางอย่างที่เรารักมากๆ หรือเสียใจกับอะไรมากๆ แล้วเมื่อเวลาผ่านไปเราอยู่กับมันได้ เราจะรู้สึกได้เลยว่าเราเก่งขึ้น เข้มแข็งขึ้น แก้ปัญหาเหล่านั้นได้ บางคนไม่เคยเจอความล้มเหลวในชีวิต พอมาเจอก็คิดว่าที่สุดแล้ว ทนไม่ได้ คือบางอย่างมันอาจจะไม่ดีในปัจจุบัน แต่ว่ามันอาจจะดีกับอนาคตก็ได้เพราะฉะนั้นเราควรมองทุกเรื่องให้เป็นกำลังใจที่อยากที่จะมีชีวิตอยู่ และทำอะไรที่สร้างสรรค์โลกนี้ต่อไป โลกมักจะมีอีกด้านหนึ่งเสมอๆ เหมือนกับคนที่เขาสามารถพลิกวิกฤตได้ สุดท้ายชีวิตเขาก็มีความสุข”