ปัญญา นิรันดร์กุล
ปัญญา นิรันดร์กุล คือคนที่พลิกโฉมใหม่ให้วงการทีวี มีสีสัน สร้างสาระ ความรู้ ความบันเทิง เขาคือต้นตระกูลผู้ก่อกำเนิดบมจ.เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ ในฐานะประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เขาคือลูกชายคนที่ 2 ของคุณแม่อำพัน นิรันดร์กุล แม่ดีเด่นแห่งชาติปี พ.ศ.2546
ครอบครัวของเขาค่อนข้างลำบาก ไม่ค่อยมีสตางค์เหมือนครอบครัวอื่น เพราะมีอาชีพทำสวนผักอย่างเดียว บ้านก็เหมือนบ้านนอกหลังคามุงจาก เขาอยู่ในครอบครัวใหญ่ มีพี่น้องอยู่รวมกันหลายคน ภายหลังเมื่อถูกไล่ที่ จึงย้ายมาขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ห้องแถวซอยอารีย์สัมพันธ์ ถนนพหลโยธิน ซึ่งตอนนั้นยังเป็นถนนลูกรัง กว้าง 6 เมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นก้ามปูดูร่มรื่น ถนนยังไม่ตัดผ่าน ความเจริญยังเข้าไปไม่ถึง
ด้วยความยากจน หลังเลิกเรียน เด็กชายปัญญามักจะรับเรียงเบอร์มาขาย บางทีก็ขายหนังสือพิมพ์ ขายตังเม ขายจับฉลากในวันหยุด นำเงินมาจุนเจือครอบครัว หลังจากผิดหวังจากการสอบเข้าโรงเรียนอุดมศึกษา พญาไท เขาไปสอบติดที่โรงเรียนนนทรีวิทยา ชายขอบกรุงเทพฯ ก่อนที่จะมาสอบติดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ซึ่งนอกจากจะสอนให้เขาเป็นปัญญาชนแล้ว ยังสอนให้เขาเป็น “ปัญญา นิรันดร์กุล” แบบที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ด้วย
ระฆังลั่น ณ รั้วจามจุรี
“ผมเชื่อว่าทุกคนมีความดี ความสำเร็จอยู่ในชีวิตอยู่แล้ว แต่หามันยังไม่เจอ จูนยังไม่ตรงกัน บังเอิญผมจูนช้าไปหน่อย ไปจูนได้ตอน ม.ศ.3 นั่นคือจุดเริ่มต้นของความกล้าของการตั้งใจเรียนให้ดี แต่สุดท้ายไปจูนติดตอนเรียนอยู่คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ รู้จักตัวตนขึ้นมา ปี 1 จึงเป็นรากหยั่งลึกไปสู่ลำต้นใหญ่ พอขึ้นปี 2 ผมเริ่มจับไมโครโฟนครั้งแรก ในปี 2516 ชีวิตเปลี่ยนเลย ไม่คิดว่าการจับไมค์ในครั้งนั้น มันจะทำให้เรามีอาชีพ มีฐานะ มีความสำเร็จ เป็นตัวตนของเรา เป็นแบบอย่างการทำงานเต็มไปหมด
“ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นร่วมกับประสบการณ์ต่างๆ ของเพื่อนฝูงทั้งดีและไม่ดี บวกกับการพัฒนาที่เราค้นหานำมาเป็นประสบการณ์ชีวิต ถ้ามีคุณธรรมเสริมเข้าอีก ทำอะไรเพื่อสังคมด้วย คุณก็จะเป็นบุคคลที่สามารถทำอะไรให้กับประเทศชาติได้
“นั่นคือภาพรวม ส่วนภาพปัจจุบัน เรื่องครอบครัว ผมสมรสกับคุณ วาสนา นิรันดร์กุล ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก มีทายาทรวม 4 คนเป็นบุตรสาว 3 คน ได้แก่ ปานวาด จบนิเทศศาสตร์จุฬาฯ มา 5-6 ปีแล้ว ปานตา จบธรรมศาสตร์ ได้คะแนนดีเยี่ยม ปานฝันกำลังจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร คณะอักษรศาสตร์จุฬาฯ และคนเล็ก ด.ช.ปรวัธน์ เรียนอินเตอร์อยู่ที่เซนต์จอห์น
“พอเราทำได้ในเรื่องการศึกษาก็สามารถส่งไม้ต่อไปยังลูกๆ ได้ ซึ่งพ่อแม่ของเราทำไม่ได้ เพราะประสบการณ์ของเขาไม่มี เขาโล้สำเภามาจากเมืองจีน พ่อเราไม่มีแม้เสื่อผืนหมอนใบ หนักเข้าไปอีก อยู่ในเรือ อ้วกแตกอ้วกแตน แล้วก็มีเรา ทำให้เราเติบโตขึ้นมาได้ โอ้โห สุดยอดความเก่งแล้ว ฉะนั้นพ่อจึงเป็นวีรบุรุษของเรา ถ้าเขาให้เราได้ เขาจะให้เราหมด แต่ตอนนั้นเขาไม่มีเงินให้เราเท่านั้นเอง
“ต่อมาเมื่อผมสอบเข้าเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ ปัญหาอุปสรรคก็ยังตามมาอีกเยอะมาก แต่เราไม่ท้อ ถ้าท้อ เราก็แพ้ เพราะฉะนั้นกลุ่มเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันมา 80 คน ก็มีเพื่อนฐานะดี ขี่รถมาเรียน บางคนเป็นลูกผู้รับเหมาก่อสร้าง บางคนก็จนพอๆ กับเรา บางคนมาจากต่างจังหวัด เราเรียนในระบบมหาวิทยาลัย ไม่มีใครมาบังคับ ไม่มาเรียนก็เรื่องของคุณ จะลงทะเบียนเรียนกี่หน่วยกิต แล้วแต่คุณจะเรียน ผมเรียนไปด้วย ทำกิจกรรมไปด้วย เล่นละคร ’ถาปัด สลับกันพอมีรายได้เข้ามา ผมเรียนได้เกรดเฉลี่ย 3.5 มาจบปี 5 ได้เกรดเฉลี่ย 2.7
“เพราะสถาปัตย์คือการออกแบบ การออกแบบพื้นฐาน เราจูนกับมันติด ก็รอดตัวไป ชีวิตคุณอาจจะเจอปัญหา แพ้ครั้งแรกหรือแพ้ครั้งที่ 2 แต่ถ้าคุณยังไม่ยอมแพ้ แปลว่าคุณไม่แพ้ แต่ถ้าคุณยอมแพ้ คุณแพ้ไปเลย สุดท้าย ถ้าคุณไม่แพ้ แล้วคุณยังเชื่อว่าคุณทำได้จริง คุณรอเวลา เราเองก็คิดอย่างนั้น แล้วเราก็ทำได้ ชีวิตคนเรามันไม่ใช่นักมวยที่ชกอยู่บนเวที มันไม่มีระฆังหมดยกใครเป็นคนกำหนดว่า 5 ยก 10 ยกจบ เดินลงจากเวที ชีวิตคุณเป็นคนกำหนดทั้งนั้น คุณจะเอาตัวเองไปอยู่อารมณ์ไหนกับสังคมโลก วันเดียวกัน เหตุการณ์เดียวกัน คุณจะเศร้าก็ได้ คุณจะสุขก็ได้ คุณจะสำเร็จหรือผิดหวังก็ได้ อยู่ที่คุณคนเดียว ไอ้คนที่อยู่ข้างๆ เรา ผมว่ามันสมมุติทั้งหมด
“ภาพในวัยเด็กของผม ยากจน ครอบครัวไม่มีเงิน มันเป็นภาพของความล้มเหลวหรือเปล่า มันก็ไม่ใช่ แต่มันเป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องเก็บเอาไว้เป็นประสบการณ์ เก็บเป็นทุน เก็บเป็นทาน เมื่อเราเติบโตมาแล้ว เราจะเดินทางไปทางไหนไปสู่เส้นทางที่เราเลือก มันอยู่ที่เราเลือก เพราะฉะนั้นระฆังของ ปัญญา นิรันดร์กุล ไม่มีวันหมดยก มีแต่ระฆังเริ่มต้น เพราะระฆังชีวิตในแต่ละยก มันยังอีกยาวไกลมาก และจะมาบอกว่าวันนี้คุณประสบผลสำเร็จหรือเปล่า วันนี้คุณสุดยอดไหม ผมบอกว่ามันไม่ใช่ จะบอกว่าปัญญาเก่งเหลือเกิน ผมก็อายเขา เขินตัวเอง”
สุภาพบุรุษตาชั้นเดียว
“เวลาผมทำให้คนอื่นได้รับชัยชนะ ได้รับความสำเร็จ เราจะทำได้ง่าย แต่บางคนมาสรรเสริญเยินยอ เราจะรู้สึกเขินขึ้นมา มันแปลก เวลาเราเด่น มันจะเขินมาก แต่ตัวเราไม่รู้ เมื่อเราทำงานไป มันก็จะเด่นของมันเอง
“ส่วนตัวตนที่แท้จริงของผม เป็นบุคคลที่อยากจะทำงานตามที่ตัวเราถนัด จากการที่ได้เรียนคณะสถาปัตย์ ได้เรียนรู้เรื่องราวของครีเอทีฟ รู้เรื่องราวของศิลปะ เรื่องของกราฟิก ดีไซน์ เมื่อมาอยู่ในสังคม เราได้เรียนรู้เรื่องราวของสังคม ไปรู้เรื่องศิลปวัฒนธรรมไทย เพราะเราอยู่ในแผ่นดินไทย มันก็เกิดความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย งานที่เราทำ มันจึงเป็นตัวตนของเราความเป็นเวิร์คพอยท์ฯ ของเรา เราคืองานครีเอทีฟที่ทำงานด้านศิลปวัฒนธรรมที่เราอยากทำ เพราะเราถนัดจริงๆ อยากทำจริงๆแล้วงานเหล่านั้น มีใครมาบังคับให้เราทำไหม มันก็ไม่มี เรามีความอยากทำ เมื่ออยากปั๊บ เราก็จะทำให้เด็ดขาด มีการพัฒนาการไปเรื่อยๆ นั่นเป็นงานของเรา
“ถามว่าทำไมเราถึงมีความอดทนสูง เพราะเรามีความสุขที่จะไปแก้ไขหรือไปสร้างสรรค์เพื่อไปต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเวลานี้คนอื่นเขาบอกว่าทำงานมากๆ ตกลงมันเป็นความสุขหรือมันทุกข์กันแน่ ก็ไม่รู้ แต่เมื่อการทำงานแต่ละชิ้นเข้าเป้า เราจะมีสารแห่งความปีติ หลั่งออกมา โอ้ย มีความสุขเหลือเกิน พอจะพักให้หายเหนื่อยหลังเวที ก็เริ่มเคร่งเครียด หงุดหงิด เมื่อมีโจทย์มาให้คิดงานใหม่อีกแล้ว ก็ทำงานนี้ไป
“นั่นคือการวางแผนชีวิตการทำงาน เหมือนกับการวางแผนในการเรียน เราก็นำมาประยุกต์กับการวางแผนชีวิต มันเป็นความโชคดีในชีวิตมาก อาจจะเพราะผมเกิดมาเป็นต้นตระกูล แล้วผมก็มาเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลตัวเองทีหลัง แต่ก่อนป๊ะป๋ามาจากเมืองจีน มาตั้งชื่อผมว่า เปียง แซ่จิ้ว เมื่อผมประสบผลสำเร็จขึ้นมา มันก็ไม่มีต้นตระกูลให้มายืนหรือมานั่งถ่ายรูปตระกูลแซ่ร่วมกันตอนมาเรียนสถาปัตย์ มันก็มีพลังขับเคลื่อนมหาศาล ที่ทำให้มีปัญญาในปัจจุบันนี้ เราก็ตกใจอยู่เหมือนกัน ตกใจด้วย ภูมิใจด้วยในความเป็นปัญญาซึ่งก่อนหน้านั้นเราเป็นอะไร เป็นโนบอดี้ แต่ระหว่างเรียนทำให้เรานึกถึงบรรยากาศที่ดีๆ บรรยากาศของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ มีมิตรภาพ
“ถ้าจะถามว่า ทำไมเด็กสถาปัตย์สร้างสรรค์หรือทำอะไรออกมาดีๆ ได้หลายอย่าง ผมว่ามันมีการอบรมสั่งสอนและทำให้ดูเป็นตัวอย่างในสิ่งที่ดีๆ อยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวก็จะมีกิจกรรมเกิดขึ้น แล้วผู้คนก็จะเข้าไปหามาดูวิธีการ ฉะนั้นการรับน้องใหม่แต่ละครั้งมันจึงเป็นการรับน้องที่สร้างสรรค์ มีสปิริตจริงๆ อย่างประเพณีแห่เชือก มันก็เป็นเรื่องราวของศิลปะ ความสามัคคี ความผูกพันระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง การร้องเพลงเชียร์ ร้องเพลงจุฬาฯ ร้องเพลงสถาปัตย์มันจึงรักกันมาก สิ่งที่พี่ให้น้องไป มันคือชีวิตของพี่เมื่อน้องรับแล้ว มันก็เกิดความปีติ ให้น้องสืบสานในรุ่นต่อๆ ไป เราจะรู้ว่าในแต่ละรุ่น แต่ละคณะ ใครถนัดอะไร ก็ไปทำสิ่งนั้นเมื่อเราค้นพบตัวเองว่า เราถนัดพูด ถนัดด้านแอตติ้ง เราก็ไปต่อยอดตรงนั้น
“ผิดกับตอนเด็กๆ ผมจะเขินอาย ขี้กลัว สุดท้ายพอขึ้นปี 2 ก็จับไมค์ครั้งแรก ตกลงมันจะไปทางนี้ให้ได้ แล้วหลังจากปี 2 เป็นต้นไป มันจึงกลายเป็นว่าเวลามีการแสดงหรือขาดพิธีกร เราจะกระโดดขึ้นไปบนเวทีก่อนเป็นคนแรก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อมาผ่าชีวิตผมดู ตั้งแต่ปี 2 ย้อนลงไป ยังเป็นมนุษย์ขี้อายไม่เอาไหน งงๆ ซึมๆ อยู่เลย
”ผมจบออกมากว่า 30 ปีแล้ว ผมยังประทับใจที่นั่นอยู่เลย ถ้าผมมีโอกาสได้ไปพูดในงานปัจฉิมนิเทศของสถาปัตย์ จุฬาฯ ในฐานะศิษย์เก่าให้น้องๆ ฟัง ผมอยากจะบอกพวกเขาว่า โอกาสของคุณมีมากเหลือเกินในขณะนี้ จงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่คุณเรียนให้มากที่สุด นี่คือบ่อเงินบ่อทอง บ่อประสบการณ์แห่งชีวิต คุณจะรู้ หลังจากที่คุณจบออกไปแล้ว ว่าคุณมีขุมทรัพย์มหาศาลอย่าเก็บเฉพาะวิชาการอย่างเดียว เก็บอารมณ์ เก็บสปิริต เก็บบรรยากาศและความรู้สึกที่ดีๆ ทั้งการเรียน การทำกิจกรรม นั่นคือทรัพย์สมบัติมหาศาล”
“ชื่อตา ภรรยาเป็นคนตั้งให้ ต.เต่า สระอา มันคล้องจองกับปัญญา เขาบอกว่าหน้าตาผมเหมือนตุ๊กตาด้วย (หัวเราะ) บางคนเรียกโกตา นึกว่าผมเป็นจีนไหหลำ ส่วนชื่อและนามสกุลนี้ก็ไม่ได้มีมาตั้งแต่กำเนิดเช่นกัน ผมสร้างสรรค์มันขึ้นมาเองทั้งหมด อยากเป็นอะไรก็กำหนดมันขึ้นมา คำว่า ปัญญา นั้น แม่ผมท่านมองการณ์ไกล ก็ไปหาพระมาตั้งชื่อให้ลูกใหม่ ไม่เอาแล้วชื่อ เปียง มันเชย อายเขา (หัวเราะ)
“หลังจากฝึกฝนวิทยายุทธ์ ได้รับประสบการณ์จากรั้วมหาวิทยาลัย ได้เล่นละคร ’ถาปัด เรื่อยๆ ถือว่าเป็นดาวดัง อันดับต้นๆ อย่างถ้ายุครุ่นหลังๆ ก็จะเป็น ตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง เป็นดาวดัง พอจบปี 5 ชีวิตมันจะไปแล้ว จะคร่อมๆ คาบลูกคาบดอกในแต่ละช่วงแล้วจะพาเราไป จนในที่สุดผมก็เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง ได้แสดงละครในบทพระเอกเรื่องแรกคือเรื่อง ศรีธนญชัย ทางไทยทีวีสีช่อง 3 จากการชักชวนของ คุณภัทราวดี ศรีไตรรัตน์ พร้อมกับแสดงบทพระเอกในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์อีกหลายเรื่องมีชื่อเสียงคู่กับ คุณอรพรรณ พานทอง คุณเพ็ญพิสุทธิ์ คงสมุทร มันจึงมีภาษาที่อำกันในคณะสำหรับคนที่เข้าสู่วงการบันเทิงที่ว่าถ้าคุณจบ ’ถาปัด จุฬาฯ ออกมา จะทำได้ทุกอย่างสารพัด ทำไม่ได้อยู่อย่างเดียว คือออกแบบบ้าน (หัวเราะ)
“การเป็นสถาปนิกที่ดี 90% เขาดังอยู่ในออฟฟิศเขา แต่ไม่ได้มาออกทีวี จึงไม่มีใครพูดถึง ส่วนอีก 10% ที่มาโลดแล่น
อยู่ในวงการบันเทิง มีคนเห็นบ่อยๆ เขาก็บอกว่า คนโน้น คนนั้น จบจาก ’ถาปัดฯ จุฬาฯ จึงทำให้มันดูเยอะ ที่จริงแล้วไม่ได้เยอะอะไร หากเทียบจากจำนวนแล้ว คนพวกนี้เมื่อเข้ามาอยู่ในวงการ มันชอบฉีกแนวสร้างสรรค์ มันเลยโดดเด่น ผมจบสถาปัตย์ ออกมาทำอยู่ 2 โปรเจ็คท์ มีออกแบบบ้านหลังหนึ่ง กับออกแบบศาลาธรรมโรจน์วินิจ วัดมักกะสัน เรารู้ว่าสิ่งที่ใช่คืออะไร ไม่จำเป็นต้องมาทำทุกอย่าง ถ้าเราต้องการ สิ่งที่มันสำเร็จ แล้วมันดีที่สุดในเวลานั้น มันต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง
“ฉะนั้นการออกแบบอาคารเวิร์คพอยท์ฯ เราอย่าดันทุรังออกแบบเอง เราอยากให้มันดี ก็ดึงคนที่เก่งที่มีความสามารถมาสร้างสรรค์ เราไม่สามารถที่จะเด่นดังได้คนเดียว เพราะฉะนั้น เวิร์คพอยท์ฯ จึงเป็นทีมเวิร์ค จุดเด่นของเวิร์คพอยท์ฯ คือไม่มีใครเด่นคนเดียวและเราให้ความสำคัญกับนโยบายในการทำงาน
“ก่อนหน้านั้น ผมเป็นนักแสดงอยู่กว่า 10 ปี รับบทพระเอกมาตลอด มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีความตั้งใจมาก่อน แต่เมื่อตัวเรามั่นใจตัวเอง แล้วคิดว่าใช่ เราก็จะทำได้อย่างเต็มที่ แต่พอเราไปเป็นพระเอก ความรู้สึกของเรามันไม่ใช่พระเอก เป็นแค่พระรองคือรองจากพระเอกในยุคนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น มิตร ชัยบัญชา สมบัติ เมทะนี กรุง ศรีวิไล ยอดชาย เมฆสุวรรณ สรพงศ์ ชาตรี หนังไทยสมัยนั้นต้องยิงกัน ต่อยกัน กล้ามใหญ่ๆ หน้าตาหล่อๆ จึงจะเป็นพระเอกได้ แล้วผมเหรอ เขาเอาเราไปยิง ไปต่อย เราก็อายเขาอีกแล้ว ก็เขินๆ ต่อยกัน ประมาณ 5-6 เรื่อง เขาก็ไม่เอาแล้ว แต่เขาก็มาจ้างเราอีก เมื่อเราปฏิเสธไม่รับ เขาก็หาว่าเราหยิ่งเพิ่มค่าตัวให้อีก (หัวเราะ)
“เขาจ้างเรามาเป็นพระเอกนักบู๊ เพราะความสามารถ เราก็คิดมากไปหน่อย ซึ่งจริงๆ มันไม่เกี่ยวกัน มันเป็นการเปลี่ยนยุคของภาพยนตร์ไทย อย่างภาพยนตร์เรื่อง กองพันทหารเกณฑ์ ออกมาหลายภาค ผมต้องโกนหัวแสดง จากนั้นก็เริ่มดัง หนังที่ผมเล่นทุกเรื่องทำเงินเป็นสิบๆ ล้านทุกเรื่องในยุคนั้น แล้วมาเล่นเรื่อง เกมมหาโชค ลูกหนี้ทีเด็ด ข่าวหน้า1เล่นหนังของคุณชรินทร์ นันทนาคร เล่นกับพี่เอก สรพงศ์ เล่นกับคุณนก สินจัย โอ้โห ชีวิตคนเรา ทำไมมันไปได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือนี่
“ผมเล่นเป็นพระเอกอยู่หลายเรื่อง แต่ดันคิดมากไป ถ้าไม่คิดอะไรมาก เราก็ยังเป็นตัวเอกอยู่ มีความรู้สึกว่า เล่นเป็นพระเอกแล้วเราไม่หล่อ รู้สึกเขินๆ ตัวเอง ก็เลยจบจากอาชีพนักแสดงภาพยนตร์ตรงนั้น แต่ไม่ได้เป็นทุกข์นะ กลับเป็นความสุขมากกว่า
จากลูกจ้างสู่นายจ้าง
“ช่วงนั้นไปเป็นพิธีกรรับจ้างรายการทีวี ให้กับบริษัท JSL อีกหลายปี แต่ละครโทรทัศน์ก็ยังแสดงอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว จึงเล่นได้นาน ไม่ว่าผมจะเล่นตัวไหน เรื่องอะไร ผมมักจะได้รับรางวัลทุกครั้ง เล่นละครก็ได้ เป็นพิธีกรก็ได้เยอะแยะถือว่าโชคดี แต่ปัจจัยสำคัญ เราต้องรู้จักตัวเอง ทั้งการเล่นละครหรือการเป็นพิธีกร ต้องมองให้ออกว่าอันนี้เป็นงานทั้งหมด มันเป็นเรื่องของเซ้นส์ในการก้าวไปสู่จุดสูงสุดให้ได้ เพราะมันทำทุกวัน เหมือนผมชอบเขียนรูปสีน้ำ ผมก็จะเขียนทุกวัน แล้วจะรู้ว่ารูปที่เราเขียน มันสวย มันลงตัว มันก็จะเกิดความมันอย่างหนึ่ง
“ทุกวันนี้เมื่อมาเปิดบริษัทเอง ผมทำรายการทีวี อย่างนี้ทุกวัน มันก็ซาดิสต์นะ (หัวเราะ) มันเหนื่อย การสร้างสรรค์รายการก็เช่นกัน อะไรก็แล้วแต่ เราห้ามทำซ้ำกัน คิดพล็อตเรื่องราวใหม่ๆ ในแต่ละวันโดยไม่ลอกเลียนแบบใคร แค่ถ้าคุณคิดจะลอก คุณก็แพ้ตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งมันยาก แต่พอเราคิดได้ปุ๊บ เฮ้ย มันดีเว้ย เราดูแล้ว มันมีความสุข
“ส่วนใหญ่ชีวิตผมจะไม่ยึดติดกับอะไรเลย ไม่เป็นไร อย่างไรก็ได้ ก็ทำไปเรื่อยๆ สงสัยเบื้องบนคงจะมองเห็น ก็ผลักดันผมมาเรื่อย ผลักมาเรื่อย จูงมือมาบ้าง บางทีไม่เชื่อ ก็ล็อกคอผมมาเลย ซึ่งไม่รู้ว่าถูกหรือผิด แต่เราก็ทำงานของเราให้เต็มที่ทุกครั้ง รับผิดชอบสิ่งที่เราทำให้ดีที่สุด แล้วเราสนุกกับงาน ที่เราทำอยู่ตลอดเวลา มาเป็นพิธีกรรับจ้าง เราก็ทำอย่างเต็มที่ ก็ได้รับความสำเร็จ วันหนึ่งก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก เบื้องบนบอกว่าไปเปิดบริษัทได้แล้ว (หัวเราะ) จึงมาเปิด บริษัทเวิร์คพอยท์ฯ ขึ้นมา สุดท้ายก็มีทีมงานทำรายการเวทีทอง แล้วก็มาทำรายการชิงร้อยชิงล้านเป็นรายการแรกๆ แล้วยาวมาเรื่อยๆ อายุพอๆ กับบริษัทฯ ที่ตั้งมา20 ปีพอดี
“การเป็นเจ้าของงานกับเจ้าของบริษัทและการเป็นผู้ถูกว่าจ้างรับงาน ไม่เหมือนกัน มันแตกต่างกันมาก เมื่อเราเป็นพิธีกรหรือไปเป็นนักแสดง พอเขาสั่ง คัท! เราก็นั่งคุยกัน สนุกสนาน ผลงานก็รับผิดชอบไปแล้ว แต่ผลงานรวมเราไม่ได้เป็นผู้ลงทุน เป็นพิธีกรก็สวมบทอีกแบบหนึ่ง แต่เมื่อปัญญาเป็นเจ้าของบริษัท โอ้โห อันนี้ฉากต้องใหญ่มาก อย่างนี้ยากอย่างนี้ง่าย มันจะเป็นกังวลไปหมด บังเอิญทุกรายการมันโดนไปหมด ผลตอบรับดี บวกกับโชคดี เป็นจุดๆ หนึ่ง ที่มีส่วนประกอบต่างๆ ประกอบด้วยทรัพยากรบุคคลของตนเอง โชว์เอง โอกาสเอื้ออำนวยของผู้หลัก ผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน ระบบเศรษฐกิจ ระบบการลงทุน อะไรก็แล้วแต่มันต้องรวบรวมกันให้เกิดความพอดี ก็เลยพากันไปได้
“แต่ทั้งหมดทั้งมวล เมื่ออยากจะประสบผลสำเร็จ มันต้องอยู่บนพื้นฐานหรือมูลฐานแห่งความเป็นตัวของคุณอย่างชัดเจน ว่าคุณได้รู้จริง รู้แจ้ง เต็มตัวของคุณเองหรือยัง คุณจะทำอันนี้ได้ดีขนาดไหน ไม่เคยมีใครบอกว่าใครดีกว่าใคร ของคุณได้ดีแค่ไหนคุณไม่ต้องมีคนนั้นหรือคนนี้ คุณก็มีคาแรกเตอร์ของคุณได้ คุณก็สู้เขาได้ สิ่งเหล่านี้มันอยู่บนพื้นฐานของตัวคุณ บางคนอาจจะไม่รู้จักตัวตนของเรา แล้วเราก็ชอบที่จะพรีเซนต์ออกมาแบบนี้ เพราะฉะนั้นการเป็นพิธีกรของแต่ละบุคคล เขาจะเป็นแบบใด เราไม่รู้ แต่เราพรีเซนต์มาเป็นแบบนี้ เราคิดว่ามันดีที่สุด เราคิดว่ามันใช่ และมันน่าจะได้ มันจึงเป็นตัวเรา ประกอบกับมีองค์กรต่างๆเข้ามาสนับสนุน ก็เลยโชคดีไป มันอาจจะมีผิดหวัง มีสมหวัง สำเร็จหรือไม่สำเร็จ ก็ยังเป็นประโยชน์ อันไหนดีเราก็เก็บเอาไว้เพื่อเป็นความทรงจำ อันไหนไม่ดีเราก็ทิ้งมันไป”
คู่หูคู่คิด
“พูดถึง