ณิกษ์ อนุมานราชธน

ณิกษ์ อนุมานราชธน

 
“ผมชอบอะไรที่เกี่ยวกับเครื่องดื่มมาตั้งแต่เด็กๆ ผมโตมากับแอลกอฮอล์ ซึ่งที่บ้านก็ค่อนข้างเปิดในเรื่องพวกนี้ จะเรียกว่าถูกเลี้ยงดูมาในแบบตะวันตกก็ไม่เชิง จึงรู้สึกว่า
มันไม่ใช่เรื่องที่แย่ กลับเป็นอะไรที่ดีด้วยซ้ำถ้ารู้จักความพอดีของมัน พอโตมาก็มีโอกาส
ได้ทำบริษัท Catering กับเพื่อนๆ ที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้ทำ แต่ไม่ออกเงินให้นะ ผมกับเพื่อนๆ จึงต้องเอาเงินเก็บมาลงขันกันเอง
“ผมเรียนจบคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ส่วนตัว
แล้วคิดว่าไม่ต้องไปสนใจว่าจะเรียนมาทางด้านไหน ไม่เกี่ยวว่าจะต้องเรียนมาถึงทำได้ แค่ทำเพราะเราชอบ คนที่อยู่ในบริษัท Vice Versa 
ก็อยู่ในหลายสาขาอาชีพ หลายศาสตร์ ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดว่า
มันจะมาถึงระดับนี้นะ แค่คิดว่าสนุกในสิ่งที่ทำ และมีความสุขที่ได้ทำงานกับคนที่เข้าใจเรา ไม่ต้องทนกับอะไรที่เราไม่ชอบ อย่าให้กรอบจารีต
หรือจริตของสังคมมากำหนดเรา ผมเชื่อว่าชีวิตเป็นของเรา ดังนั้นเราต้องตีกรอบให้ตัวเอง ชอบอะไรก็ทำให้สุดไปเลย
“ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัท Vice Versa มันจะพาเราไปอยู่ถึงจุดไหน เราไม่แคร์เรื่องชื่อเสียง ไม่ได้มองว่าจะได้ตัวเลขกลับมาเท่าไหร่ ไม่ได้
มองว่ามันให้อะไรเราคืนมาบ้าง รู้แต่ว่าอยากจะเสิร์ฟเครื่องดื่มที่ดีที่สุด ในเวลาที่ดีที่สุด 
และดึงอารมณ์คนให้ได้มากที่สุด อยากทำให้มันออกมาดีแล้วมีความสุขกับมัน
 “การผสมค็อกเทลผมว่ามันเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง ซึ่งคุณต้องเข้าใจว่าแอลกอฮอล์แต่ละตัว เหล้าแต่ละชนิด มันให้อะไรกับคุณบ้าง ถ้าเข้าใจมันก็จะรู้ว่าจะต้องใช้อะไร 
ตรงไหน เท่าไหร่ ส่วนการครีเอทอะไรใหม่ๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะมองโลกด้วย
มุมมองแบบไหนมากกว่า ผมจะบอกให้ว่าค็อกเทลที่ดีที่สุดคือค็อกเทลที่ลูกค้าชอบ ไม่ใช่ค็อกเทลที่ผมชอบ ผมไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรดีสำหรับคุณ มีแต่คุณเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง ทุกอย่างเป็นเรื่องของรสนิยม เคยได้ยินไหมครับว่าไข่เจียว
ที่ตัวเองทำอร่อยที่สุด”
ถึงแม้ปัจจุบัน บาร์เทนเดอร์หนุ่มคนนี้จะไม่ได้ดูแล Vice Versa เต็มตัวแล้ว เพราะต้องทำงานให้ Absolut ในฐานะ Brand Ambassador และเปิดโรงเรียนชื่อ Drinks Academy แต่เขาก็ยังคงเป็นหุ้นส่วน และคอยแนะนำงานบางอย่าง
อยู่ห่างๆ นอกจากนี้ยังเปิดร้านอาหาร S’mores (สมอร์) กับหุ้นส่วน ซึ่งมีการตกแต่งร้านสไตล์ Hunting Lodge ลักษณะเหมือนนั่งอยู่
ในป่า ล่าสัตว์ โดยที่เขาก็ยังคงรับผิดชอบดูแลบาร์เครื่องดื่มให้อีกเช่นเคย
“สาเหตุที่ผมได้เป็น Brand Ambassador ให้ Absolut 
คงเพราะอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้เราได้เจอกัน ได้ทำงานด้วยกันแล้วมันคลิก เหมือนเป็นคนที่เราแอบปิ๊งมานาน เขาจึงชวนให้มาเป็น Brand Ambassador อยากให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมด้วย ผมก็เลยต้อง
ห่างจาก Vice Versa ออกมา ซึ่งหน้าที่หลักๆ ก็คือทำ Training ให้ 
Absolut สอนทีมบริษัทของ Absolut เอง เทรนนิ่งให้กับร้านที่ทำสัญญากับ Absolut เข้าไปช่วยดูแลเรื่องสูตรให้ รวมถึงทำอีเว้นท์
ให้ Absolut ด้วย
“อีกบทบาทหนึ่งผมก็เป็นครูสอนและเป็นหุ้นส่วนที่ Drinks Academy โดยจะถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มให้กับคนที่ต้องการ แต่ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความรู้อะไรเยอะแยะ แค่อยากจะแบ่งปันความรู้เท่าที่มีเพราะถือว่าเป็นการให้ ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้
ไม่จำเป็นต้องเก็บ ต้องกั๊ก ถามมาก็ตอบ อยากรู้อะไรก็บอก ซึ่งผมจะดุและเข้มงวดกับนักเรียนมาก เพราะอาชีพนี้ไม่ใช่อาชีพที่เป็นศิลปินอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยความ
มีระเบียบวินัยในเรื่องของการทำงานด้วย เช่น ล้างมือก่อนเข้าบาร์ ไม่แคะ แกะ เกา 
แล้วมาจับของกิน หรือเอาช้อนไปคนเครื่องดื่มแล้วตักขึ้นมาชิมผมรับไม่ได้เลย อีกอย่างผมไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบสไตล์ลูกจ๊ะ ลูกจ๋า เราถูกสอนมาว่าบางครั้งต้องเจออะไรที่มันลำบากบ้าง
ต้องเจอครูโหดๆ บ้างจะได้จำ ซึ่งคนที่เรียนกับผมได้ส่วนใหญ่ก็ดูมีอนาคตทั้งนั้น
“ในความคิดผม ผมมองว่าวงการบาร์เทนเดอร์เมืองไทยอยู่ในขั้นที่ดีครับ เติบโต
ขึ้นมากเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา เพราะมีคนรุ่นใหม่มากขึ้น มีร้านที่ต้องการบาร์เทนเดอร์
มากขึ้น ถ้าถามผมว่าทำไมไม่โกอินเตอร์ อย่างนั้นผมขอถามกลับว่า แล้วทำไมจะต้อง
โกอินเตอร์ ประเทศไทยไม่ดีพอหรืออย่างไร ความจริงผมก็เคยคิดว่าอยากอยู่เมืองนอก เพราะมันสนุกกว่า เปิดกว่า ชื่อเสียงอาจจะดีกว่า เงินทองอาจจะดีกว่า แต่อีกแง่หนึ่งก็คิดว่า ตรงนี้ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ ถ้าเราไม่คอยช่วยเทรนบาร์เทนเดอร์รุ่นหลังแล้วใครจะเทรนให้ อยากให้ลองถามตัวเองว่าวันนี้คุณทำอะไรกลับคืนสู่สังคมแล้วหรือยัง ผมไม่ได้รู้สึกว่าชื่อเสียงเป็นเรื่องใหญ่ การโกอินเตอร์จึงไม่ใช่คำตอบของผม แต่คนอื่นอาจจะชอบก็ได้นะ
“สำหรับผมความสุขมีอยู่ 2 อย่าง คือ เวลาทำงานเสร็จแล้วมันออกมาดี และได้กลับมาบ้าน เล่นกับหมาที่เรารัก อยู่กับบ้านเงียบๆ จะเป็นอะไรที่เพอร์เฟคมากถ้าได้นั่งอ่านหนังสือที่อยากอ่าน เกี่ยวกับศิลปะ ปรัชญา ความสุขของผมจึงไม่เกี่ยวกับวัตถุนิยม เป้าหมาย
ของตัวเองจริงๆ อยากกลับไปอยู่เชียงใหม่ อยากกลับไปเลี้ยงม้า เลี้ยงหมา เลี้ยงนก 
ทำสวนที่นั่น แต่ถ้าจะไปถึงตรงนั้นได้ก็คงต้องเต็มที่กับตรงนี้ก่อน” 

“ผมชอบอะไรที่เกี่ยวกับเครื่องดื่มมาตั้งแต่เด็กๆ ผมโตมากับแอลกอฮอล์ ซึ่งที่บ้านก็ค่อนข้างเปิดในเรื่องพวกนี้ จะเรียกว่าถูกเลี้ยงดูมาในแบบตะวันตกก็ไม่เชิง จึงรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่แย่ กลับเป็นอะไรที่ดีด้วยซ้ำถ้ารู้จักความพอดีของมัน พอโตมาก็มีโอกาสได้ทำบริษัท Catering กับเพื่อนๆ ที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้ทำ แต่ไม่ออกเงินให้นะ ผมกับเพื่อนๆ จึงต้องเอาเงินเก็บมาลงขันกันเอง

“ผมเรียนจบคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่ต้องไปสนใจว่าจะเรียนมาทางด้านไหน ไม่เกี่ยวว่าจะต้องเรียนมาถึงทำได้ แค่ทำเพราะเราชอบ คนที่อยู่ในบริษัท Vice Versa ก็อยู่ในหลายสาขาอาชีพ หลายศาสตร์ ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมาถึงระดับนี้นะ แค่คิดว่าสนุกในสิ่งที่ทำ และมีความสุขที่ได้ทำงานกับคนที่เข้าใจเรา ไม่ต้องทนกับอะไรที่เราไม่ชอบ อย่าให้กรอบจารีตหรือจริตของสังคมมากำหนดเรา ผมเชื่อว่าชีวิตเป็นของเรา ดังนั้นเราต้องตีกรอบให้ตัวเอง ชอบอะไรก็ทำให้สุดไปเลย

“ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัท Vice Versa มันจะพาเราไปอยู่ถึงจุดไหน เราไม่แคร์เรื่องชื่อเสียง ไม่ได้มองว่าจะได้ตัวเลขกลับมาเท่าไหร่ ไม่ได้มองว่ามันให้อะไรเราคืนมาบ้าง รู้แต่ว่าอยากจะเสิร์ฟเครื่องดื่มที่ดีที่สุด ในเวลาที่ดีที่สุด และดึงอารมณ์คนให้ได้มากที่สุด อยากทำให้มันออกมาดีแล้วมีความสุขกับมัน 

“การผสมค็อกเทลผมว่ามันเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง ซึ่งคุณต้องเข้าใจว่าแอลกอฮอล์แต่ละตัว เหล้าแต่ละชนิด มันให้อะไรกับคุณบ้าง ถ้าเข้าใจมันก็จะรู้ว่าจะต้องใช้อะไร ตรงไหน เท่าไหร่ ส่วนการครีเอทอะไรใหม่ๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะมองโลกด้วยมุมมองแบบไหนมากกว่า ผมจะบอกให้ว่าค็อกเทลที่ดีที่สุดคือค็อกเทลที่ลูกค้าชอบ ไม่ใช่ค็อกเทลที่ผมชอบ ผมไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรดีสำหรับคุณ มีแต่คุณเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง ทุกอย่างเป็นเรื่องของรสนิยม เคยได้ยินไหมครับว่าไข่เจียวที่ตัวเองทำอร่อยที่สุด”

ถึงแม้ปัจจุบัน บาร์เทนเดอร์หนุ่มคนนี้จะไม่ได้ดูแล Vice Versa เต็มตัวแล้ว เพราะต้องทำงานให้ Absolut ในฐานะ Brand Ambassador และเปิดโรงเรียนชื่อ Drinks Academy แต่เขาก็ยังคงเป็นหุ้นส่วน และคอยแนะนำงานบางอย่างอยู่ห่างๆ นอกจากนี้ยังเปิดร้านอาหาร S’mores (สมอร์) กับหุ้นส่วน ซึ่งมีการตกแต่งร้านสไตล์ Hunting Lodge ลักษณะเหมือนนั่งอยู่ในป่า ล่าสัตว์ โดยที่เขาก็ยังคงรับผิดชอบดูแลบาร์เครื่องดื่มให้อีกเช่นเคย

ณิกษ์ อนุมานราชธน
ณิกษ์ อนุมานราชธน
 

“สาเหตุที่ผมได้เป็น Brand Ambassador ให้ Absolut คงเพราะอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้เราได้เจอกัน ได้ทำงานด้วยกันแล้วมันคลิก เหมือนเป็นคนที่เราแอบปิ๊งมานาน เขาจึงชวนให้มาเป็น Brand Ambassador อยากให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมด้วย ผมก็เลยต้องห่างจาก Vice Versa ออกมา ซึ่งหน้าที่หลักๆ ก็คือทำ Training ให้ Absolut สอนทีมบริษัทของ Absolut เอง เทรนนิ่งให้กับร้านที่ทำสัญญากับ Absolut เข้าไปช่วยดูแลเรื่องสูตรให้ รวมถึงทำอีเว้นท์ให้ Absolut ด้วย

“อีกบทบาทหนึ่งผมก็เป็นครูสอนและเป็นหุ้นส่วนที่ Drinks Academy โดยจะถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มให้กับคนที่ต้องการ แต่ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความรู้อะไรเยอะแยะ แค่อยากจะแบ่งปันความรู้เท่าที่มีเพราะถือว่าเป็นการให้ ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเก็บ ต้องกั๊ก ถามมาก็ตอบ อยากรู้อะไรก็บอก ซึ่งผมจะดุและเข้มงวดกับนักเรียนมาก เพราะอาชีพนี้ไม่ใช่อาชีพที่เป็นศิลปินอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยความมีระเบียบวินัยในเรื่องของการทำงานด้วย เช่น ล้างมือก่อนเข้าบาร์ ไม่แคะ แกะ เกา แล้วมาจับของกิน หรือเอาช้อนไปคนเครื่องดื่มแล้วตักขึ้นมาชิมผมรับไม่ได้เลย อีกอย่างผมไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบสไตล์ลูกจ๊ะ ลูกจ๋า เราถูกสอนมาว่าบางครั้งต้องเจออะไรที่มันลำบากบ้างต้องเจอครูโหดๆ บ้างจะได้จำ ซึ่งคนที่เรียนกับผมได้ส่วนใหญ่ก็ดูมีอนาคตทั้งนั้น

“ในความคิดผม ผมมองว่าวงการบาร์เทนเดอร์เมืองไทยอยู่ในขั้นที่ดีครับ เติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา เพราะมีคนรุ่นใหม่มากขึ้น มีร้านที่ต้องการบาร์เทนเดอร์มากขึ้น ถ้าถามผมว่าทำไมไม่โกอินเตอร์ อย่างนั้นผมขอถามกลับว่า แล้วทำไมจะต้องโกอินเตอร์ ประเทศไทยไม่ดีพอหรืออย่างไร ความจริงผมก็เคยคิดว่าอยากอยู่เมืองนอก เพราะมันสนุกกว่า เปิดกว่า ชื่อเสียงอาจจะดีกว่า เงินทองอาจจะดีกว่า แต่อีกแง่หนึ่งก็คิดว่า ตรงนี้ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ ถ้าเราไม่คอยช่วยเทรนบาร์เทนเดอร์รุ่นหลังแล้วใครจะเทรนให้ อยากให้ลองถามตัวเองว่าวันนี้คุณทำอะไรกลับคืนสู่สังคมแล้วหรือยัง ผมไม่ได้รู้สึกว่าชื่อเสียงเป็นเรื่องใหญ่ การโกอินเตอร์จึงไม่ใช่คำตอบของผม แต่คนอื่นอาจจะชอบก็ได้นะ

“สำหรับผมความสุขมีอยู่ 2 อย่าง คือ เวลาทำงานเสร็จแล้วมันออกมาดี และได้กลับมาบ้าน เล่นกับหมาที่เรารัก อยู่กับบ้านเงียบๆ จะเป็นอะไรที่เพอร์เฟคมากถ้าได้นั่งอ่านหนังสือที่อยากอ่าน เกี่ยวกับศิลปะ ปรัชญา ความสุขของผมจึงไม่เกี่ยวกับวัตถุนิยม เป้าหมายของตัวเองจริงๆ อยากกลับไปอยู่เชียงใหม่ อยากกลับไปเลี้ยงม้า เลี้ยงหมา เลี้ยงนก ทำสวนที่นั่น แต่ถ้าจะไปถึงตรงนั้นได้ก็คงต้องเต็มที่กับตรงนี้ก่อน” 

Know Him 

Vice Versa เป็นบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นในวัยเพียง 22 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังศึกษาอยู่ปี 4 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 เครื่องดื่มแก้วโปรดของเขาจะเปลี่ยนไปตามโอกาส แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าวันที่หนาวๆ ก็ต้องดื่มอะไรที่มันอุ่นๆ หรือถ้าอากาศร้อนๆ ก็ต้องดื่มอะไรที่มันสดชื่น แต่จะชอบดื่มอะไรที่ไม่ซับซ้อน ‘เพราะอะไรที่ซื่อๆ บ้านๆ ก็มักมีเสน่ห์ในแบบของมัน’

 
หนุ่มรุ่นใหม่โปรไฟล์หรู กับเส้นทางการเป็นบาร์เทนเดอร์