การให้...ความหวัง...ความสุข

การให้...ความหวัง...ความสุข

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งและกำลังใจให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ง 
MiX MAGAZINE ร่วมกับผลิตภัณฑ์ MERIGIN Hair Tonic นวัตกรรมบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ จัดแคมเปญ “MERIGIN Hair Share Now” ปันผม ปันสุข เพื่อมอบรอยยิ้ม ความสุข และสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยมอบรายได้ทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่าย จากการจำหน่าย MERIGIN Hair Tonic ภายในวันที่ 3-14 กุมภาพันธ์ 2562 มอบให้กับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เพื่อนำไปทำวิกผมมอบให้ผู้ป่วย ส่งต่อความหวังและกำลังใจให้กับผู้ป่วยมะเร็งด้วยวิกผม

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ
และเราได้นำเรื่องราวของอดีตผู้ป่วยมะเร็งที่หายได้ด้วยกำลังใจที่ดี และลุกขึ้นมาส่งมอบความสุข ความหวังให้กับผู้อื่นต่อไปมาให้ทุกท่านได้อ่านกัน ได้แก่ คุณแซม ณัฐพล เสมสุวรรณ อดีตผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่ได้แรงบันดาลใจในการมีชีวิตต่อจากการวิ่งของ ตูน บอดี้สแลม จนทำให้กลับมาออกกำลังกายและใช้ชีวิตปัจจุบันอย่างมีความสุข และเป็นตัวอย่างให้ผู้ป่วยได้ลุกขึ้นมาออกกำลังผ่านเพจ Sam’s Story คุณจี๋ จิตรลดา ทรัพย์สุข หญิงแกร่งอดีตผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง กับแนวคิด โรคร้าย เอาชนะได้ ส่งต่อประสบการณ์ผ่านทางเพจ จี๋ จิตรลดา Lady cancer คุณจาคี ฉายปิติศิริ อดีตผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะสุดท้าย ที่หายได้ด้วยกำลังใจ และลุกขึ้นมาสร้างเพจดี ๆ อย่าง จาคี มะเร็งไดอารี่ คุณไอรีล ไตรสารศรี อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านม และมะเร็งปอดระยะที่ 4 เธอเป็นผู้ก่อตั้งโครงการดี ๆ อย่าง Art.for.Cancer
คุณเองก็ร่วมเป็นส่วนหนึ่งและกำลังใจให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้เช่นกัน...

แซม ณัฐพล เสมสุวรรณ : Sam’s Story 
จากชายหนุ่มนักกีฬา สุขภาพร่างกายแข็งแรง เคยเป็นถึงนักมวยอาชีพ แต่แล้วเหมือนโชคชะตาเล่นตลกกับเขา หลังจากป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลัน ชีวิตของคุณแซม ณัฐพล เสมสุวรรณ ก็เปลี่ยนไป แม้เขาจะต้องอดทนอยู่กับเมฆหมอกกับความทุกข์ทนอยู่นาน แต่ว่าทัศนคติและกำลังใจในการต่อสู้กับโรคร้ายทำให้เขาก้าวข้ามความทุกข์ กลายเป็นบุคคลตัวอย่างสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคน
“ตั้งแต่เด็กผมเป็นนักกีฬามาตลอด เป็นนักกีฬาฟุตบอล นักกีฬาบาสเกตบอล นักกีฬาว่ายน้ำ ช่วงเรียนอยู่มัธยมปลายได้เป็นนักมวยอาชีพ ตื่นตั้งแต่ตี 4 เริ่มออกวิ่ง ซ้อมล่อเป้าจนถึงประมาณ 8 โมงถึงมาเรียน เลิกเรียนกลับไปซ้อมปกตินอนที่ค่ายมวยไม่ได้นอนบ้าน โดยพื้นฐานแล้วผมเป็นคนแข็งแรงคนหนึ่งเลยครับ
“จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นช่วงที่ผมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ผมเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป ติดเที่ยว ชอบปาร์ตี้ จนวันหนึ่งเริ่มรู้สึกว่าทานอาหารได้น้อยลง คลื่นไส้อาเจียน มีไข้ทุกวัน เป็นแบบนี้ประมาณ 3 เดือน หลังจากสอบเสร็จผมกลับไปอยู่ที่บ้านก็ยังมีอาการผิดปกติอยู่ ประมาณ 3 วัน คุณแม่เห็นท่าไม่ดีเลยพาไปตรวจที่โรงพยาบาล พอผลตรวจจากการเจาะเลือดของผมออกมาก็พบว่ามีแนวโน้มเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผมถูกส่งตัวไปเจาะไขกระดูกต่อที่โรงพยาบาลศิริราช จึงได้ข้อสรุปที่แน่ชัดแล้วว่าผมเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน
“ตอนแรกผมไม่เชื่อเลย เพราะเราเป็นคนแข็งแรงมาตลอด ผลวินิจฉัยของหมอต้องผิดแน่นอน ทางครอบครัวก็ตกใจ ด้วยความที่เป็นโรคร้ายแรง ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ครอบครัวได้รับผลกระทบตรงนี้ค่อนข้างเยอะ 
“ผมเริ่มรักษาด้วยการฉายแสงกับทำเคมีบำบัดโดยทันที เพราะว่าโรงมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันมันลามไปเร็วมาก ต้องพักการเรียนทันที ช่วงแรกของการรักษาผมยังสามารถไปไหนมาไหนได้ปกติ เพราะร่างกายแข็งแรง จนถึงการทำเคมีบำบัดรอบที่ 5-6 มันเริ่มมีอาการ เริ่มเกิดผลข้างเคียงจากการรักษา ซึ่งผมต้องทำเคมีบำบัดถึง 36 ครั้งครับ
“ช่วงแรกผมยังดื้อ ยังไม่ค่อยยอมรับว่าเราป่วยเท่าไหร่ จนมีอยู่วันหนึ่งตื่นเช้ามาแล้วหันไปดูที่หมอน เห็นผมร่วงเป็นกระจุก นั่งทานข้าวก็มีผมร่วงลงมา วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมตัดสินใจโกนหัว ยอมรับกับตัวเองว่าเราป่วยเป็นมะเร็งจริง ๆ 
“ช่วงแรกของการรักษามันไม่มีความสุขเลย เพราะเรามองไปถึงจุดที่เราหายแล้ว เราเริ่มไม่มีความสุข พยายามกำจัดความทุกข์ พยายามก้าวไปถึงจุดนั้นมากเกินไปจนลืมว่าเราต้องอยู่กับปัจจุบัน กำลังใจจากครอบครัว จากคนรอบข้างเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้เรามีแรงสู้ต่อ แต่ปัญหาจริง ๆ มันเริ่มจากตัวเรา เริ่มจากตัวผู้ป่วยเอง มันไม่สามารถรับฟังใครสักคนบอกว่าสู้ ๆ ไปต่อนะ แล้วก้าวต่อไปได้เลยในทันที มันต้องมีการตกผลึกกับตัวเองก่อน ต้องรู้ว่าเป้าหมายในการสู้ต่อไปของเราว่ามีอะไรบ้าง
“จุดเปลี่ยนของผมคือคุณหมอที่รักษาผม เราค่อนข้างสนิทกัน เขาเริ่มเห็นปฏิกิริยาของผมที่เริ่มไม่อยากรักษา เริ่มไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ที่ผมถอดใจเพราะว่าโรคมะเร็งมันไม่ใช่โรคที่หายได้ในทันที การทำเคมีบำบัดในแต่ละครั้งก็มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ต้องกู้หนี้ยืมสินเขามารักษา ยาที่ใช้ก็มีอัตราความเสี่ยงอีก ไม่ใช่ว่ายาจะได้ผลกับทุกคน เราสู้โดยไม่มีเป้าหมาย เริ่มรู้สึกเป็นภาระครอบครัว เมื่อคุณหมอเห็นอย่างนั้นจึงนำหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ผมอ่าน ชื่อ ‘ความสุข ณ จุดที่ยืนอยู่’ มันมีบทหนึ่งที่พูดถึงอิฐ 2 ก้อนบนกำแพงวัด เมื่อผมอ่านแล้วนำมาคิด มันก็คล้ายกับชีวิตของเรานะ คือ 19-20 ปีที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย มีสุขภาพที่แข็งแรง อยากไปไหน อยากกินอะไร ก็ได้ทั้งหมด แล้วทำไมผมถึงเอาความทุกข์แค่ช่วง 3-4 เดือนที่มันแย่มาตัดสินว่าชีวิตต่อไปจากนี้ของเราจะไม่มีความสุขอีกแล้ว เราไม่ควรฝังตัวเองไปแล้วทิ้งให้ครอบครัว ให้คนรอบข้างต้องเสียใจ ตั้งแต่นั้นผมก็คิดที่จะสู้ต่อไป
“หลังจากวันนั้นร่างกายยังไม่ดีขึ้นมา แต่ด้วยความที่จิตใจของเราดีขึ้น เราเหยียบความทุกข์ได้มั่นคงยิ่งขึ้น เรายอมรับความเจ็บปวดได้ ยอมรับผลข้างเคียงของการรักษาได้ เมื่อจิตใจเราดี การต่อสู้ทางร่างกายก็มีผลดีตามไปด้วย
“ผมใช้เวลาทำเคมีบำบัดประมาณ 1 ปีจนโรคมันสงบ แต่ผลข้างเคียงมันอยู่กับเรายาวนานมาก ผมได้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน เรายังรู้สึกทุกข์อยู่ แต่การได้กลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ทำให้ผมมีความสุขมากกว่า ถึงขยับตัวไม่ได้ ได้รับผลข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัดเยอะมากกว่าคนอื่นแทบจะทุกด้าน แต่ด้วยความหวัง ความรัก ความเชื่อ มันทำให้เราทนอยู่ในความทุกข์นั้นได้ เราไม่ควรจะอยู่เพื่อตัวเราเพียงคนเดียว เราควรจะอยู่เพื่อครอบครัวด้วย การพักฟื้นร่างกายมันต้องใช้เวลา มันมีทั้งความทุกข์และความสุข เพียงแค่วันนั้นเราเลือกมองความสุขมากกว่าความทุกข์ แม้เราจะนอนทุกข์แต่หัวใจของเรามีความสุข
“ผมเริ่มกลับมาเดินได้ ทำอะไรเองแค่ แม้เพียงเล็กน้อยแต่นั่นคือความสำเร็จของผมแล้ว เหมือนคนหลงทางอยู่กลางทะเลทรายแล้วได้มาเจอบ่อน้ำ ได้ดื่มน้ำ ได้อาบน้ำ ได้เปลี่ยนตัวเอง 
“ตอนนั้นพี่ตูนวิ่งโครงการก้าวคนละก้าว กรุงเทพฯ – บางสะพาน วันที่วิ่งจบทุกคนมองยอดเงินที่ได้ว่ามันสูงมาก พี่ตูนไม่พูดถึงยอดเงินเท่าไหร่ แต่กลับพูดถึงเรื่องสุขภาพ เขาอยากให้คนไทยสุขภาพแข็งแรง อยากให้ทุกคนหันมาดูแลตัวเอง เพื่อลดภาระของโรงพยาบาล นับตั้งแต่วันที่ผมป่วยจนได้มาเห็นพี่ตูนวิ่งมันเป็นระยะเวลาประมาณ 10 ปี ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเราลืมคิดไปว่ากีฬาเป็นยาวิเศษ ผมจึงเริ่มคิดที่จะออกวิ่งครับ แม้ครั้งแรก ๆ มันอาจไม่สำเร็จ เพราะเราเป็นผู้ป่วยติดเตียงมานาน แต่เราก็พยายามสู้ต่อไปจนเราสามารถออกวิ่งได้
“รายการวิ่งครั้งแรกของผม ผมวิ่งได้ 10 กิโลเมตร พอเข้าถึงเส้นชัย เพื่อนเข้ามาช่วยพยุงผม เอาเหรียญมาให้ผม ผมชูเหรียญขึ้นน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว มันเป็น 10 กิโลเมตรที่ห่างไกลจากโรงพยาบาล ห่างไกลจากบ้าน จากที่นอน จาก 2-3 ก้าวที่ผมทำได้ในวันแรกหลังการรักษา มันไกลจากสายน้ำเกลือที่ผูกมัดผมไว้กับเตียง แต่มันคือชีวิตใหม่ของผม ผมก้าวข้ามความทุกข์ ก้าวข้ามความเจ็บปวดที่ผ่านมาได้ การวิ่งเข้าเส้นชัยในวันนั้นจึงไม่ใช่แค่วิ่งเพื่อเข้าเส้นชัย แต่มันคือการวิ่งเปลี่ยนชีวิต มันมีค่ากับผมมาก
“เฟซบุ๊คแฟนเพจ Sam’s Story เกิดมาจากการเห็นว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาของเราอาจะเป็นประโยชน์ให้กับใครอีกหลายคน ผมจึงเริ่มเขียนบอกเล่าเรื่องราว มุมมองและวิธีคิด เล่าผ่านประสบการณ์ของเราพร้อมปรับให้เข้ากับปัจจุบัน เล่าถึงทุกปัญหา ทุกอุปสรรคที่เกิดขึ้นในชีวิตผม เพื่อให้ทุกคนเห็นและพร้อมก้าวข้ามปัญหาเหล่านั้นเหมือนกับผมได้
“ความสุขในวันนี้ของผมมันเบาลงกว่าตอนก่อนที่ผมป่วยมาก มันเหมือนกับว่าตอนที่เราป่วยมันลดเกณฑ์ความสุขของเราให้ต่ำลง ผมไม่ได้อยากมีเงินทองมากมายเหมือนเมื่อก่อน ไม่ได้อยากมีคนรักเหมือนเมื่อก่อน ผมกลับมารักตัวเอง รักครอบครัว ผมรู้สึกว่าเวลาแต่ละนาทีมันมีค่ามากขึ้นเมื่อเราได้ใช้ไปในทางที่เราอยากจะทำมันจริง ๆ ผมอยากให้ทุกคนลุกขึ้นมารักตัวเอง รักครอบครัวให้มากขึ้น ลุกขึ้นมามีความสุขกับตัวเองให้มากขึ้นครับ” 

จิตรลดา ทรัพย์สุข : Lady cancer  
หลังจากได้ชีวิตใหม่จากการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง จี๋-จิตรลดา ทรัพย์สุข ปัจจุบันถือว่าโรคได้สงบแล้ว เธอจึงได้ลุกขึ้นมาส่งต่อประสบการณ์อันเป็นประโยชน์จากการรักษามะเร็งให้อีกหลาย ๆ คนได้รับรู้ ผ่านทางเพจ จี๋ จิตรลดา Lady cancer  ให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ความเจ็บป่วยที่ไม่คาดคิด
“ก่อนที่จะเป็นมะเร็ง ตอนนั้นอายุประมาณ 33 ปี ทำงาน ใช้ชีวิตอิสระ ยังเที่ยวไปวัน ๆ แล้วก็ทำงานใช้ชีวิตแบบทั่วไปเลย ไม่ได้แตกต่างไม่ได้หวือหวาอะไรจากจากคนปกติทั่วไปนะ จนวันนึงรู้สึกว่าทำไมเราคันไปทั้งตัวเลย ก็กินยาแก้แพ้ พอกินยาแก้แพ้อาการมันก็ดีขึ้น แต่พอไม่ได้กินมันก็กลับมาคันอีกจนรู้สึกว่าทนไม่ไหว
“ช่วงนั้นไปเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครัวพอดี ระหว่างพักที่ญี่ปุ่นก็รู้สึกว่าอากาศหนาวมาก แล้วเราคันตัวก็คิดว่าผิวแห้งหรือเปล่า มันคันแล้วก็เริ่มไอด้วย ไอจนแบบนอนไม่หลับ กลับมาก็รีบไปตรวจ ตอนไปตรวจรอบแรกหมอก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรนะ ผิวหนังก็ปกติดีเอายามาให้ทา สรุปปรากฏว่าผ่านไปประมาณเดือนนึงก็ไม่ดีขึ้น อาการไอก็ไม่ดีขึ้นเลย จนไปตรวจสุขภาพประจำปี ผลเอ็กซเรย์ปอดหมอบอกว่ามันผิดปกติ ก็คือมันมีก้อนอะไรก็ไม่รู้อยู่ระหว่างปอด ก็เลยตัดสินใจไปทำ CT Scan ผลก็คือเป็นก้อนเนื้อขนาด 10 เซนติเมตร จากนั้นจึงไปพบคุณหมอเฉพาะทาง จึงพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นระยะที่ 2 ค่ะ ที่ไม่มีอาการบ่งบอกอะไรเลย
“เราคิดว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เป็นมะเร็งที่รุนแรงมาก เพราะว่าน้ำเหลืองมันมีอยู่อยู่ทั่วร่างกาย ตอนรู้ก็ตกใจมากตายแล้วมะเร็งกระจายทั่วตัวเราแล้วสิเนี่ย ด้วยความกังวลเราก็ถามหมอ หนูจะตายไหม หมอก็ปลอบว่าไม่เป็นไรไม่ตายหรอก แค่นี้เองมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งที่น่ารักมากมันสามารถรักษาให้หายขาดได้แล้วมันเป็นมะเร็งที่ถูกกับยาคีโมไม่ต้องกังวลเลย 
“หลังจากที่รู้ว่าเป็นมะเร็ง คุยเสร็จคุณหมอก็ส่งไปเจาะไขกระดูกต่อเลย ซึ่งเราไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย เป็นวันแรกที่รู้ว่าเป็นมะเร็งแน่นอน แถมโดนเจาะไขกระดูกไปเลยทันที คุณหมอบอกเลยว่าเราจะต้องโดนยาอะไรบ้าง  คือวันนั้นเป็นวันที่หลายคนอาจจะบอกว่าพอรู้ว่าเป็นมะเร็งแล้วร้องไห้หรือเศร้า 
“สำหรับจี๋เองนะมันไม่มีเวลาเศร้าเลย เพราะว่าเวลามันต่อเนื่องกันมาก จากคุณหมอท่านหนึ่งนัดคิวด่วนส่งต่อหมออีกท่านหนึ่ง ซึ่งจริง ๆ แล้วโรงพยาบาลศิริราชเราก็รู้อยู่แล้วว่าการที่จะนัดหมอนั้นยาก คิวยาวมาก แต่นี่เป็นโอกาสดีมากที่เราได้คิวลัดคิววันนั้นเลย โดยคุณหมอต่อสายตรงไปหาหมออีกคนให้ช่วยรับเคสนี้เพิ่งมาวันนี้เขายังอายุไม่เยอะอะไรประมาณนี้ แล้วหมอโลหิตเข้าพอดีก็โดนส่งมาศิริราชฝั่งเก่าเจาะไขกระดูกตรวจผลไขกระดูกเสร็จภายใน 1 วัน คุณหมอบอกว่าโชคดีนะที่มันยังไม่เข้าไขกระดูกเพราะว่าถ้าเกิดมะเร็งเข้าไขกระดูกเมื่อไหร่ระยะที่คุณเป็นมันจะกลายเป็นระยะที่ 4 ระยะสุดท้ายทันที!
“ช่วงเวลาที่อยู่ที่โรงพยาบาลให้คีโม เข็มแรก 5 วันติด จนกระทั่ง 2 อาทิตย์หลังจากนั้น ก็มีอาการผมร่วง มันร่วงลงมาทีละกระจุกนึงเลยล่ะค่ะ สุดท้ายตัดสินใจโกนผมเลย หน้าเราก็จะโทรมลง เพราะว่ายามันเริ่มจะออกฤทธิ์กับร่างกายเรามากขึ้น หน้าดำ ผิวดำ เล็บดำ มือเหี่ยวเป็นคนแก่เลยค่ะ ช่วงนั้นแหละเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าทำใจลำบาก
“ถือว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดเลยนะผ่าน เขาเรียกว่าการจะเอาชนะใจตัวเองให้ผ่านความกลัวตรงนี้ไปได้มัน พอเริ่มรักษามาเรื่อย ๆ จนครบ 6 ครั้ง ปรากฏว่ามันยังเหลืออยู่ จิตใจก็ห่อเหี่ยวขึ้นมาเลย ในตอนนั้นเราคาดหวังว่าจะรักษาแค่ 6 ครั้ง แต่ว่ามันจะต้องไปต่อจะหยุดตอนนี้ไม่ได้ คุณหมอเขาก็บอกเราว่าตอนคุณออกไปจากห้องตอนนี้ คุณเห็นคนไข้กี่คนที่นั่งรออยู่ เขาอายุมากเท่าไหร่ บางคนเดินไม่ได้ต้องนอนเตียงเข็นมา บางคนมาแบบรถเข็น แต่เขาสู้ เขายังอยู่ เขายังมีชีวิตอยู่ได้ แล้วคุณอายุเท่านี้เอง จะไม่สู้หรอ ก็เลยมีกำลังใจฮึดสู้ เอ้า อีก 2 ครั้ง! ก็รักษามาเรื่อย ๆ หลังจากนั้นก็รักษาด้วยการฉายแสง เกือบ 23 ครั้ง
“เราเปลี่ยนความคิดที่จากเมื่อก่อนเป็นคนที่ค่อนข้างเครียดกับชีวิต แต่พอวันนึงเราเป็นมะเร็งขึ้นมา มันสอนให้เรารู้สึกปล่อยวาง มันสอนให้เรารู้สึกว่าชีวิตมันไม่มีอะไรมากกว่าลมหายใจ ตัวเราเองสำคัญที่สุด ไม่ใช่ทรัพย์สินไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น มะเร็งให้ชีวิตใหม่เราจริง ๆ ก็คือเหมือนเราตายแล้วเกิดใหม่ เราก็เลยรู้สึกว่าในเมื่อเขาให้ชีวิตเรากลับมาแล้ว เราควรที่จะให้คนอื่นต่อไปไหม
“วันที่ฉายแสงครบ 23 ครั้ง แล้วไปฟังผล คุณหมอบอกว่าดีใจด้วยนะ ไม่มีเชื้อมะเร็งแล้ว แต่ว่าก้อนเนื้อไม่ได้หายไปเลยนะ มันยังเหลืออยู่เพียงแต่ว่ามันไม่มีชีวิตอยู่แล้ว คือช่วงนั้นมันเหมือนกับเราได้ชีวิตที่เราจะต้องเริ่มใหม่ ฉะนั้นเรามีโอกาสนี้เราควรจะทำวันต่อไปให้มันคุ้มค่าที่สุดสำหรับตัวเองและคนอื่น
“มีหลายคนที่เขายังต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการรักษา ก็เลยตัดสินใจเปิดเป็นเพจ จี๋ จิตรลดา Lady Cancer เราก็พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็ง มาเขียน รวมถึงถามตอบ เป็นชุมชนของคนที่เป็นมะเร็งเลย ถามตอบกันได้ แล้วก็มีโอกาสได้ไปพูดให้แรงบันดาลใจกับทั้งคนที่ยังสุขภาพดีอยู่ ยังแข็งแรงอยู่ หรือมีญาติป่วยเป็นมะเร็งด้วย ให้กำลังใจผู้ที่เป็น และให้ความรู้เบื้องต้นในการระวังตัวไม่รับสารก่อมะเร็งเป็นต้นค่ะ” 


จาคี ฉายปิติศิริ : จาคี มะเร็งไดอารี่
คุณจักร จาคี ฉายปิติศิริ ชายผู้อยู่เบื้องหลังเฟซบุ๊คแฟนเพจ “จาคี มะเร็งไดอารี่” ชายผู้เคยป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อ 12 ปีก่อน ปัจจุบันเขาคืออดีตผู้ป่วยโรคมะเร็งที่คอยให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ป่วยและบุคคลทั่วไปเกี่ยวกับโรคมะเร็ง ทั้งวิธีการรักษา ผลข้างเคียงจากการรักษา รวมไปถึงให้กำลังใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ พร้อมเป็นความหวังให้กับทุกคนพร้อมสู่กับโรคร้ายนี้ต่อไป
“ย้อนกลับไปประมาณ 12 ปีก่อน ตอนผมอายุ 27 ผมใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ เข้างานในตอนเช้า เลิกงานในตอนเย็น มีนัดทานข้าว ดูหนังฟังเพลง ไม่มีอะไรที่แปลกจากคนอื่น ช่วงเวลานั้นโรคมะเร็งถือเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความคิดของผมมาก วันหนึ่งผมเริ่มรู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ เริ่มปวดท้องมากกว่าที่เคยเป็น จนถึงจุดที่รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ต้องไปพบหมอเพื่อตรวจร่างกาย หลังตรวจร่างกายโดยละเอียด คุณหมอแจ้งกับผมว่ามีบางสิ่งอุดตันในลำไส้ ต้องผ่าตัดนำมันออกมา ช่วงเวลานั้นในความคิดของผมมีเพียงแค่รีบผ่าตัดมันออกมาดีกว่า ทุกอย่างจะได้เรียบร้อยและจบโดยเร็ว
“หลังผ่าตัดช่วงพักฟื้นร่างกาย ผมสังเกตเห็นแฟ้มประวัติการรักษาของตัวเอง ด้วยความช่างสงสัยผมจึงหยิบแฟ้มนั้นขึ้นมาดู เห็นผลการตรวจร่างกาย เห็นผลการผ่าตัด เห็นศัพท์ที่เราไม่คุ้นเคย จึงค้นหาความหมายคำเหล่านั้นจากพจนานุกรม จนเริ่มแน่ใจแล้วว่าตัวเราไม่น่าจะป่วยแค่ลำไส้อุดตัน มันน่าจะเป็นอะไรที่ร้ายแรงมากกว่านั้น ผมจึงลองถามคุณหมอดูว่าหลังจากนี้ผมต้องรับการรักษาเพิ่มเติมมั้ย ต้องให้เคมีบำบัดหรือเปล่า คุณหมอตอบกลับมาในทันทีว่า หลังจากนี้เราคงต้องวางแผนให้ยาและรักษากันต่อ ณ ตอนนั้นคำตอบที่ได้มันเหมือนเป็นการยืนยันขั้นแรกแล้วว่าผมคงเป็นมะเร็งแน่นอน
“ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน เรายังไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งอยู่ในหัวเลย ด้วยความสงสัย ผมจึงถามคุณหมอว่าโรคนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร มีอะไรที่ผมควรระวังบ้าง ก็ได้ทราบว่าโรคนี้ส่วนใหญ่ตรวจพบได้ในคนที่มีอายุ 50-60 ขึ้นไป แต่กรณีผมน่าจะเกิดจากกรรมพันธุ์ แล้วการใช้ชีวิตของเราไปกระตุ้นให้โรคมันแสดงตัวออกมา อาการตอนนั้นคือมะเร็งได้แพร่กระจายจากจุดที่ตรวจพบไปยังต่อมน้ำเหลืองเยอะมาก และถือว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว
“ต่อมาผมได้ติดต่อเพื่อนสนิทคนหนึ่งผ่านโทรศัพท์ เพื่อนรู้อยู่แล้วว่าผมเป็นมะเร็งแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นระยะไหน พอผมตอบกลับไปว่าเป็นระยะสุดท้าย เขาช็อกมาก แล้วบอกกับผมว่าจำได้มั้ยตอนที่เราเรียนมหาวิทยาลัยกัน มันมีวิชาที่สอบตกและได้ F ทำให้พวกเราต้องกลับไปลงเรียนซ้ำ แต่การเรียนซ้ำมันทำให้เราเก่งขึ้น เข้าใจมากขึ้น การเป็นมะเร็งก็เหมือนกับการสอบ เพียงแค่ข้อสอบที่ผมได้รับมันยากกว่าคนอื่น ถ้าทำข้อสอบนี้ได้ ผมก็จะเข้มแข็งมากกว่าคนอื่น สถานการณ์ตอนนี้คงไม่ต่างกัน เพียงแต่ผมไม่มีสิทธิ์เลือกว่าอยากเป็นหรือไม่อยากเป็นโรคนี้ มันข้ามขั้นตอนนี้ไปแล้ว ผมตัดสินใจเลยว่าเราจะร้องไห้แค่วันนี้วันเดียว หลังจากนี้ผมจะสู้หลังชนฝากับโรค
“จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่จุดคือการได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ย้อนกลับไปช่วงที่ผมพักฟื้นร่างกายหลังผ่าตัด คุณแม่ของน้องเขยท่านให้หนังสือเล่มหนึ่งกับผม ชื่อ “ฉันไม่ได้ป่วยแค่เป็นมะเร็ง”  ผู้เขียนเขาเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านม เรื่องราวในหนังสือทำให้ผมเข้าใจเกี่ยวกับโรคมากขึ้น ทำให้ผมรู้ว่าระหว่างการรักษาผมต้องเจอกับอะไรบ้าง
“หลังจากนั้นมีการพบกับคุณหมอเพื่อวางแผนรักษา ผมถามคุณหมอว่าตัวผมจะมีชีวิตอยู่ต่อได้นานเท่าไหร่ คำตอบที่ได้รับกลับมามันดีมาก คุณหมอบอกว่าโรคของผมยังบอกอะไรได้ไม่มากนัก เราน่าจะลองรักษากันดูก่อนถึงมันจะเป็นระยะที่ 4 แล้วก็ตาม ลองรักษากันดูก่อนหนึ่งปี ถ้ายังไม่ดีขึ้นค่อยมาประเมินโรคกันใหม่ คนที่เป็นมะเร็งอาจไม่จำเป็นต้องเสียชีวิตก่อนเสมอไป คนที่ไม่ได้ป่วยบางคนประสบอุบัติเหตุก็อาจเสียชีวิตไปก่อนคนที่ป่วยก็ได้
“พอเข้าสู่การรักษาด้วยเคมีบำบัด ตอนแรกผมกลัวมาก มันเหมือนกับความกลัวขั้นสูงสุดของมนุษย์ ถึงเราจะรู้ว่าต้องเจอกับอะไร แต่มันยังไม่เคยเจอของจริง มันเป็นความกังวลมาก เพราะการรักษาหนึ่งครั้งต้องใช้เวลา 50 ชั่วโมง เราไม่รู้ว่าจะได้รับผลข้างเคียงมากน้อยแค่ไหนกับการรักษา ช่วงแรกดีใจมากที่ยังไม่เกิดผลข้างเคียงอะไร แต่ผ่านไปสักระยะผมเริ่มเหม็นกลิ่นต่าง ๆ เริ่มอาเจียน ทานอาหารไม่ได้ เริ่มหนาว ๆ ร้อน ๆ เป็น 50 ชั่วโมงที่ไม่สบายกายเอามาก ๆ หลังจากนั้นก็เข้าใจแล้วว่าการรักษาในครั้งถัดไปเราต้องเจออะไรบ้าง
“นับตั้งแตกวันแรกที่ตรวจพบโรค จนผ่านระยะเวลามา 5 ปี วันนั้นเป็นวันที่ผมดีใจจนร้องไห้ออกมา เพราะคุณหมอบอกกับผมว่า ขอแสดงความยินดีด้วยตอนนี้โรคของคุณสงบแล้ว คุณเป็นอดีตผู้ป่วยโรคมะเร็งแล้ว หลังจากนี้ถ้าเกิดเป็นโรคนี้อีกก็ไม่จำเป็นต้องเป็นที่จุดเดิม ผมหายป่วยแล้ว
“ระหว่างที่ผมกำลังรักษาตัวประมาณหนึ่ง มีหลายคนมาปรึกษาเกี่ยวกับโรคมะเร็ง ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมามักมีคำถามที่เหมือนกันถามเข้ามา ผมเริ่มคิดว่าถ้าเราให้คำปรึกษาผ่านโทรศัพท์ เราจะช่วยได้แค่ครั้งละคน ถ้าเราได้รับเชิญให้ไปเป็นวิทยากรบรรยาย เราจะช่วยได้แค่ครั้งละสามร้อยคน แต่ถ้าเราเปิดเฟซบุ๊คแฟนเพจ เราสามารถแชร์เรื่องราวและประสบการณ์เกี่ยวกับโรคมะเร็งที่เราเจอมาจริง ๆ เราสามารถให้ความรู้ ให้คำปรึกษากับคนได้เยอะกว่า ทุกคนสามารถค้นหาและเข้ามาอ่านได้ตลอดเวลาจากทั่วโลก นี่จึงเป็นที่มาของ ‘จาคี มะเร็งไดอารี่’ ครับ
“ปัจจุบันนี้วิทยาการในการรักษาโรคมะเร็งเจริญก้าวหน้าขึ้นมาก สำหรับคนที่ไม่ได้ป่วยและยังไม่ตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ สุขภาพที่ดีถือเป็นต้นทุนที่สำคัญ ดูแลสุขภาพให้ดี ส่วนผู้ที่ป่วย ผมอยากให้มองที่โรคนี้อย่างที่มันเป็น ณ ปัจจุบัน ประคับประคองสุขภาพให้ดี ไม่ว่าจะหายหรือไม่ เราสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ครับ” 

ไอรีล ไตรสารศรี ART.for.CANCER
 ไอรีล ไตรสารศรี หรือคุณออย ผู้ก่อตั้ง ART.for.CANCER เธอเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่ตอนนี้ถือว่าโรคสงบแล้ว แต่กว่าจะก้าวผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตมาได้นั้น เธอต้องอาศัยกำลังใจทั้งจากจากตัวเธอเองรวมถึงคนรอบข้าง เธอบอกกับเราว่าเธอเลือกไม่ได้ที่ต้องเป็นมะเร็ง แต่เธอสามารถเลือกที่จะเป็นผู้ป่วยมะเร็งแบบมีความสุข ส่งต่อความรู้สึกดี ๆ ให้เพื่อนร่วมโรคในนาม ART.for.CANCER
“ย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง สมัยเรียนมัธยมช่วงวัยรุ่นถือว่าเป็นเด็กกิจกรรมแล้วก็เป็นเด็กที่ชอบเรื่องของศิลปะกีฬาดนตรี เป็นนักกีฬาเทควันโดด้วย ก็ถือว่าเป็นเด็กแข็งแรง คนในครอบครัวที่บ้านก็ไม่ได้มีประวัติการเป็นโรคมะเร็ง ไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของมะเร็งเลย เพราะมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่จะเหมือนถ่ายทอดทางพันธุกรรม 
“รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านมครั้งแรก ก็เป็นระยะที่ 2 แล้ว เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเรารู้สึกว่ามันเหมือนโลกมันพังลงมาตรงหน้าเลย ทั้งความฝันและอนาคตเรา คือตอนนั้นกำลังจะไปเรียนที่อังกฤษ คืออีก 1 สัปดาห์เราจะบินแล้ว จองเครื่องบิน ได้ที่เรียนมีที่พัก วางแผนไว้ทุกอย่าง ไม่คาดคิดไม่คาดฝันแล้วมันเหมือนเราต้องแบบรับมันให้ได้ คุณหมอบอกว่าเราไม่ได้ไปเรียนแล้ว ทุกอย่างต้องหยุดเอาไว้แล้วก็ต้องรีบทำการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะว่ามันเป็นเรื่องซีเรียส 
“ตอนที่เราเจอว่ามีก้อนแปลก ๆ ที่หน้าอกข้างขวา ตอนนั้นยังไม่รู้สึกเจ็บ ไม่ได้มีอาการอะไร ไม่ได้เหมือนเรารู้มาว่าคนเป็นมะเร็ง มีอาการเช่น น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ตรงที่เราจับว่าเป็นก้อนก็ไม่ได้มีบวมเลือดออกหรือมีน้ำหนอง คือมันปกติมากค่ะ แค่รู้สึกว่ามีก้อนแข็ง ๆ ที่หน้าอก ซึ่งตอนนั้นเราก็คิดว่ามันอาจจะเป็นพวกแบบก้อนซีดก้อนเนื้อที่ไม่อันตราย
“เมื่อพบแล้วก็ทำการตรวจ Ultrasound แล้วก็มี Mammogram นะคะ ถึงรู้ว่ามันไม่ใช่แค่ซีด หรือไม่ใช่แค่เนื้องอก หมอขอผ่าเอาก้อนเนื้อไปตรวจเลยได้ผลออกมาว่าเป็นมะเร็ง แล้วคำว่ามะเร็งของเราในตอนนั้น คือเราอาจจะมีเวลาในชีวิตอยู่ได้ไม่นาน รู้สึกว่าเราจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้จึงตัดสินใจรับการรักษา โดยให้เคมีบำบัด 6 ครั้ง แล้วก็มีการฉายแสงทั้งหมด 19 ครั้ง มีการทานยาต้านฮอร์โมนเพื่อควบคุมโรคไม่ให้กลับมาอีก 5 ปี 
“เคมีบำบัดของออยมันไม่ได้แบบหนักหนาเท่าที่เห็นในละคร ออยมีอาการอาเจียนรู้สึกคลื่นไส้พะอืดพะอม และนอนเยอะ ส่วนผมร่วงก็ต้องมีอยู่แล้วเพราะเคมีบำบัดส่วนใหญ่จะผมร่วง ซึ่งมันก็งอกขึ้นมาใหม่ได้ แล้วก็อาการข้างเคียงอย่าง อาเจียนหรืออ่อนเพลียต่าง ๆ มันก็จะดีขึ้นภายใน 3-4 วัน ซึ่งคือถ้าเราดูแลร่างกายดีนะ แล้วก็ปฏิบัติตามคำที่หมอแนะนำ รวมถึงอาหารเราก็ไม่จำเป็นต้องงด 
“บางคนเข้าใจว่าเป็นมะเร็งต้องงดเนื้อสัตว์ ช่วงให้เคมีบำบัดที่ต้องกินเนื้อสัตว์เพื่อให้เซลล์มันฟื้นฟู คือถ้างดหรือไปทำอะไรที่ไม่ถูกระเบียบ หรือไปกินแอบไปกินยาอะไรมาแล้วไม่บอกหมอ แล้วมันขัดต่อยาที่หมอให้มันอาจจะทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่ทำให้แย่เข้าไปใหญ่ จริง ๆ ไม่ได้เป็นเรื่องของการให้เคมีบำบัดด้วยซ้ำ แต่ของออยก็คือปฏิบัติตัวตามที่หมอสั่ง เราก็ถือว่าผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
“จากนั้นเราก็ได้ลุกขึ้นมาทำโครงการ ART.for.CANCER เพื่อแบบช่วยเหลือเพื่อนร่วมโรค ในการให้กำลังใจผู้ป่วยมะเร็ง แล้วก็ระดมเงินทุนเข้ากองทุนที่โรงพยาบาลรัฐ 3 แห่ง ก็เป็นจุดเริ่มต้นของ ART.for.CANCER ด้วย โดยใช้ศักยภาพของออยเองคือเรื่องของศิลปะ จนตอนนี้ก็เติบโตขึ้นจากโครงการเล็ก ๆ มาสู่กิจการเพื่อสังคมเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน 
“กระทั่งเมื่อปี 2560 มะเร็งได้กลับมา ลุกลามไปยังปอดจนต้องรีบทำการรักษาผ่าตัดปอด หมอบอกว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 4 ซึ่งตอนนี้ถือว่าโรคสงบอยู่ ตอนนั้นที่ออยให้เคมีบำบัดกับฉายแสงอีก มันมี Effect เรื่องของผมร่วง มีเรื่องของการอาเจียน มีเรื่องของผิวไหม้ ปากแห้ง ออยโชคดีมากเพราะเป็นคนต้นทุนสุขภาพดี แล้วก็ปฏิบัติตามคำที่หมอแนะนำ ออยโชคดีที่เป็นมะเร็ง มันอาจจะเจ็บตอนผ่าตัด มันลำบากตอนให้คีโม แต่ว่าเราก็ผ่านมันมาได้ เราก็รู้สึกว่ามันคือเป็นสัจธรรมของชีวิตที่แบบคนเรามันต้องเจออยู่แล้ว 
“สำหรับคนในสังคมทั่วไปหรือองค์กรที่อยากสนับสนุนกิจกรรมของ ART for Cancer ก็สามารถเข้ามาติดตามความเคลื่อนไหวของกิจกรรมได้ที่ Facebook Fanpage ART for Cancer by Ireal นะคะ ช่วยสนับสนุนสินค้าจากองค์กรของเรานะค่ะ รวมถึงสินค้าที่เราได้ทำร่วมกับผู้ป่วยเพื่อสร้างราได้ให้กับเขานะค่ะ หรือว่าจะมาสร้าง Project ใหม่ ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตกับผู้มะเร็งในประเทศไทยร่วมกับเราก็ได้ 
“รวมถึงร่วมสนับสนุนโครงการ Merigin Hair Share Now ปันผมปันสุข ให้กับผู้ป่วยมะเร็งค่ะ แต่ว่าจริง ๆแล้วเนี่ยในส่วนของผมเรามีการรับบริจาคเข้ามาเยอะมากอยู่แล้ว ในโครงการนี้ต้องการรับบริจาคเป็นเงินโดยการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงหนังศีรษะ Merigin เพื่อจะนำเงินทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายในช่วงวันที่ 3-14 กุมภาพันธ์นี้ ไปทำวิกผม เพื่อมอบให้กับผู้ป่วยที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติค่ะ ก็อยากให้ช่วยสนับสนุนโครงการนี้กันเยอะ ๆ นะคะ” 

การดูแลบำรุงหนังศีรษะและเส้นผมให้อยู่กับเรานาน ๆ

สาเหตุของผมร่วง
เรื่องราวของเส้นผมและหนังศีรษะเป็นปัญหาของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคโบราณ บางคนโชคดีใช้ชีวิตปกติเส้นผมก็ยังดกดำอยู่อย่างเหนียวแน่นแต่บางคนพยายามหลายวิธีผมก็ยังร่วงอย่างดี มีการทำการค้นคว้าหาวิธีรักษามากมายเพื่อคืนสภาพให้ผมกลับมาแบบเดิมอีกครั้งซึ่งในยุคปัจจุบันมีนวัตกรรมการรักษาแบบใหม่หลายวิธีเป็นที่น่าพอใจ แต่ก่อนอื่นเรามาทำความทำความเข้าใจกับสาเหตุของอาการผมร่วงว่าเกิดจากอะไรบ้าง

กรรมพันธุ์ 
การหัวล้านจากกรรมพันธุ์พบได้มากกว่า 95 % ส่วนใหญ่ทำให้เกิดศีรษะล้านแบบถาวร แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้เกี่ยวข้องกับโชคชะตาที่เกิดมามียีนส์ชนิดเดียวกับบรรพบุรุษจึงเป็นเรื่องที่ฝืนลำบากแม้จะดูแลเส้นผมอย่างดีแล้วก็ตาม จะเป็นมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ของแต่ละคน

ฮอร์โมนเพศชาย 
ลองสักเกตดูว่าผู้ชายมักผมร่วงมากกว่าผู้หญิง เพราะเกิดจากฮอร์โมนเพศชายที่ชื่อเอนโดรเจน (Androgen) ไปกระตุ้นการสร้าง DHT (Dihydrotestosterone) ที่มีผลทำให้เกิดภาวะผมร่วงผมบาง เป็นอีกผลหนึ่งที่ทำให้เส้นผมผู้ชายร่วงและบางจึงเป็นปัจจัยที่ควบคุมยากพอสมควร

ใช้ผลิตภัณฑ์ทำร้ายผมหรือหนังศีรษะ 
การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับหนังศีรษะหรือเส้นผม บ่อยครั้งเกินไปอาจทำให้มีสารเคมีตกค้างค่อนข้างสูง ส่วนการทำสีผมการยืดการดัดมีผลต่อเส้นผมน้อย แต่ไม่ควรทำติดต่อกันซึ่งการใช้ชีวิตประจำเผชิญกับฝุ่นควันก็มีส่วนทำให้ผมและหนังศีรษะถูกทำร้ายเป็นเหตุผลที่เส้นผมร่วงอีกด้วย

ขาดสารอาหาร 
การกินอาหารของคนไทยยุคใหม่มักกินแต่ของสำเร็จรูปที่ถูกปรุงแต่งมาในห่อ ทำให้ไม่ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ หรือแม้แต่คนที่อดอาหารเพื่อลดความอ้วนก็เช่นกันเพราะร่างกายไม่สามารถสามารถผลิตเคราตินได้ทันความต้องการจึงเป็นสาเหตุของผมร่วงได้

ป่วยหรือเป็นโรคบางชนิด
อาการป่วยทำให้ร่างกายอ่อนแออวัยวะภายในร่างกายจึงลดประสิทธิภาพลง อย่างเช่นโรค เครียด ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคไตวาย โรคเบาหวาน โรคผิวหนัง โรคสะเก็ดเงิน ฯลฯ โรคเหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งให้เกิดผมร่วงได้เช่นกัน

การป้องกันผมร่วง
สำหรับคนที่ผมยังไม่ร่วงถือว่าเป็นโชคดีที่สามารถป้องกันได้ก่อนที่จะเกิดปัญหา หลักการดูแลตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาผมร่วงมีดังนี้

ทำความสะอาดเส้นผมและหนังศีรษะ
ยาสระผมมีหลายยี่ห้อในท้องตลาด แนะนำให้ใช้ยาสระผมสูตรอ่อนที่ไม่ทำร้ายเส้นผมและหนังศีรษะมากเกินไปเช่นยาสระผมสำหรับเด็กและไม่ควรสระผมบ่อยเพราะจะทำให้หนังศีรษะแห้งกรอบลอกออกมาเป็นขุย ถ้าคนที่สระผมตอนกลางคืนหลังจากสระผมเสร็จไม่ควรรีบเข้านอนเลยเพราะจะทำให้เกิดเชื้อราที่หนังศีรษะได้ และหลังจากสระผมไม่ควรใช้ไดร์ความร้อนเป่าผมโดยตรง เพราะทำให้หนังศีรษะแห้งแล้วยังทำให้เส้นผมกรอบขาดง่าย ควรใช้พัดลมธรรมดาเป่าค่อย ๆ ใช้ผ้าขนหนูเช็ด ไม่ควรมัดผมแน่นเกินไป หรือมัดผมขณะเข้านอน เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนบริเวณหนังศีรษะไม่สะดวก ซึ่งเป็นสาเหตุให้รากผมอ่อนแอหลุดร่วงง่ายเช่นกัน

เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์
ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่โดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งมีส่วนช่วยในการเติบโตของเส้นผม สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก็คืออาหารที่ไขมันสูง เช่นอาหารทอด หรือหมู 3 ชั้น เนื่องจากเวลาเรากินเข้าไปแล้วน้ำมันที่ร่างกายไม่ใช้จะขับออกมาผ่านต่อมไขมันหรือซีบัม (Sebum) จะทำให้หนังศีรษะมันเมื่อผสมกับฝุ่นเขมาควันและแบคทีเรียระหว่างวันก็ทำให้เส้นผมอ่อนแอหลุดออกมาได้ง่าย
อาหารที่มีโซเดียมหรือเกลือสูงซึ่งอยู่ในเครื่องปรุงรสหรือขนมขบเคี้ยวความเค็มทำให้หลอดเลือดหดตัว เลือดจึงไหลเวียนไม่สะดวกทำให้การส่งผ่านออกซิเจนและสารอาหารได้ไม่เต็มที่ หรือแม้แต่ในผงชูรสเองก็ตามแม้จะยังไม่มีการพิสูจน์อย่างเป็นทางการว่าผงชูรสทำให้เกิดผมร่วง แต่สาร Monosodium Glutamate เป็นตัวขัดขวางการดูดซึมวิตามินบี 6 ของร่างกายนั่นเอง

ออกกำลังกายเป็นประจำ
เป็นการกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงยังส่วนต่างๆ ของ ร่างกายโดยเฉพาะหนังศีรษะได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้รูขุมขนไม่อุดตันเส้นผมก็แข็งแรงขึ้นได้

การรักษาผมร่วง
หลายอย่างที่กล่าวมาข้างต้นแม้ว่าเราจะป้องกันและดูแลสุขภาพร่างกายมาอย่างดีแล้วแต่เรื่องของเส้นผมไม่ได้การันตีว่าจะอยู่รอดตลอดไปเสมอ เมื่อผมร่วงแล้วยังมีหลายวิธีที่จะฟื้นคืนชีพวัยหนุ่มกลับคืนมาอีกครั้ง โดยหลักการแล้วมีการรักษาดังนี้

แชมพูสระผม
สำหรับคนที่ผมร่วงไม่มากสามารถทดลองใช้ได้เลยในแชมพูบางยี่ห้อมีส่วนผสมของสมุนไพรบางชนิด เช่น ว่านหางจระเข้ ชาเขียว ขิง ฯลฯ เราแนะนำให้เลือกแชมพูที่ฤทธิ์ต้านแอนโดรเจน (Androgen) ลดการเปลี่ยนฮอร์โมนเทสโตสเตอโรน (Testosterone) เป็น DHT (Dihydrotestosterone) ซึ่งฮอร์โมนนี้ทำให้รูขุมขนบริเวณหนังศีรษะเล็กลง หรือให้ใช้แชมพูเด็กที่มีความอ่อนลดการทำลายเส้นผมและหนังศีรษะก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งเช่นกัน 

ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ อาหารเสริมและยา
เมื่อสิ่งที่ใช้ภายนอกไม่ได้ผลการกินยาและอาหารเสริมจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เริ่มจากอาหารเสริมในกลุ่มวิตามินบี โดยเฉพาะวิตามินบี 6 ไบโอติน (Biotin) วิตามินบี 7 นอกจากนี้ยังมีวิตามินบรรจุขวดชนิดรวม เหล็ก สังกะสี สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
ในส่วนของการใช้ยารักษานั้นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ซึงมีอยู่หลายตัวอย่างยา Finasteride ยา Dutasteride หรือในกลุ่มของ Minoxidil ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องของยาย่อมมีผลข้างเคียงที่เห็นได้ชัดคือการหย่อนสมรรถภาพทางเพศคนที่ใช้ยาเหล่านี้ควรชั่งใจดูให้ดี

การปลูกผม
การปลูกผมเป็นวิธีที่เห็นผลชัดเจนที่สุดแต่มีค่าใช้จ่ายสูงมากเช่นกัน ถือเป็นการศัลยกรรมต้องทำโดยแพทย์ศัลยกรรมปลูกผม ใช้วิธีย้ายรากผมจากด้านหลังศีรษะท้ายทอยมาปลูกที่บริเวณศีรษะล้าน เป็นการผ่าตัดย่อมๆ มีการพักฟื้นอยู่หลายวัน โดยส่วนใหญ่คนที่ทำมักไม่กลับมาหัวล้านอีกซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก 

#mixmagazinethailand