โดดเดี่ยว แต่ไม่เดี่ยวดาย ตอนที่ 46 เกิดเหตุ เพราะเหตุเกิด
เหตุการณ์14ตุลา...ที่เรียกว่า “วันมหาวิปโยค” ผ่านไป บ้านเมืองก็กลับสงบเรียบร้อยกันอีกที ต่อมาก็มีการเรียกวันนี้มาใหม่ “วันมหาปิติ” เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงประทานคณะรัฐบาลใหม่ให้กับประชาชน มีอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศาสตร์มาเป็นนายกรัฐมนตรี บริหารบ้านเมืองแทนรัฐบาลเผด็จการทรราช
หัวหน้ากองบรรณิการถอนตัวฉันจากนักข่าวประจำ ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา กลับมาเป็นนักข่าวส่วนกลางอีกครั้ง เพื่อทำข่าวสกู๊ปพิเศษแล้วแต่หัวหน้าข่าวจะสั่ง
แล้ววันหนึ่ง รปภ.มาบอกกับฉันว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งมาขอพบฉันเป็นเรื่องส่วนตัวเธอบอกเช่นนั้น
เรื่องส่วนตัวอะไรกัน ฉันฟังเขาบอกอย่างแปลกใจ ฉันมีเรื่องส่วนตัวอย่างไรและที่นี่เป็นสำนักงาน มันไม่สมควรที่จะมีเรื่องส่วนตัวในสถานที่นี้
ผู้หญิงคนนั้นแต่งกายด้วยเครื่องแบบนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ฉันคิดว่าคงเป็นพวกศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาที่ฉันเคยทำงานร่วมกันกับพวกเขา
“ขอโทษนะคะ ที่ต้องมารบกวนคุณสันติถึงสถานที่ทำงานแห่งนี้”
เธอเริ่มต้นบอกอย่างมีมรรยาท
“รบกวนเรื่องอะไรล่ะครับ” เมื่อฉันถาม เธออธิบายว่า
“ฉันเป็นน้องสาวพี่เล็ก บ้ายอยู่เชิงสะพานสูง บางซื่อค่ะ”
เล็ก...ฉันจำได้แล้ว เล็กคนนี้คือนักเรียนวัยรุ่นที่เคยขอร่วมเชียร์ฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬา เราพบกันและสนุกด้วยกัน
วันหนึ่งกับคืนหนึ่งแล้วเราก็ไม่เคยได้พบกันอีก
“เล็กให้มาพบผมหรือครับ”
เมื่อถามเธอเช่นนั้น สาวน้อยก็เริ่มอธิบายขยายความ
เธอเล่าว่าได้พบกับผมบนถนนราชดำเนิน ในวันที่เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา
“ดิฉันเห็นคุณถูกเฮลิคอปเตอร์ยิง ดิฉันจำคุณได้เพราะพี่เล็กเคยพูดถึงคุณและเคยให้ดูรูปที่ถ่ายด้วยกันวันฟุตบอลประเพณี”
“แต่โชคดีที่ไม่ตายนะ”
“ก็นี่ล่ะที่ดินฉันต้องมาในวันนี้ เพราะอยากให้คุณรู้ก่อนที่จะตายว่า คุณมีลูกกับพี่เล็ก”
“ลูกของผมนะหรือครับ”
“ใช่ลูกของคุณกับพี่เล็ก ที่เป็นหลานดิฉันเอง หลานที่ถูกเพื่อน ๆ ล้อว่า เป็นลูกไม่มีพ่อ”
“อ๊าว...แล้วเล็กล่ะ”
“พี่เล็กออกลูกแล้ว พี่เล็กก็ไปอยู่กับสามีใหม่เป็นฝรั่งที่สวิตเซอร์แลนด์ ยังไม่ได้กลับมาเยี่ยมลูก”
ฟังเธอเล่าทำให้ฉันมีความรู้สึกมึนงงและสงสัย จะเป็นไปได้อย่างไรเพียงคืนเดียว เพียงครั้งเดียว ฉันมีลูกเป็นคนแรกได้อย่างไรกัน
แล้วสาวน้อยในชุดนักศึกษาก็ลาฉัน ทิ้งประโยคสั้น ๆ ให้ฉันต้องคิดว่า
“คุณสันติคงจำบ้านของเราได้นะ”
บ้านของเล็กอยู่เชิงสะพานสูง บางซื่อ ตรอกที่เธออยู่เรียกว่า “ ตรอกมะนาวหวาน” ฉันเคยเดินไปส่งเธอที่บ้าน ถึงเวลาผ่านไปหลายปี แต่ฉันก็ยังจำได้บ้าง
ฉันเดินเข้าในตรอกเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยบ้านผู้คนแออัด ผ่านเสียงตะโกนโหวกเหวกของชาวบ้าน และเด็กเล็กเด็กโตที่วิ่งเล่นกัน
เด็กพวกนี้คงจะเป็นเด็กที่ล้อเลียน เด็กน้อยที่ถูกอ้างว่าเป็นลูกของฉันว่า เป็นลูกไม่มีพ่อ คำนี้สะเทือนความรู้สึกลึก ๆ ของฉัน
เพราะฉันก็คล้ายกัน ถึงจะเป็นลูกมีพ่อ แต่พ่อฉันก็ไล่ฉันออกจากบ้าน หรือแม้ว่าฉันจะเป็นลูกที่มีแม่ แต่ฉันก็ถูกแม่ไล่ออกจากบ้าน แม่หนูน้อยน่าสงสาร
ยังโชคดีกว่าฉันที่ยังมีบ้าน มียายกับยาช่วยเลี้ยงดู และก็ยังมีน้าสาวเป็นห่วงเป็นใย
ฉันพยายามนึกทบทวนว่าบ้านของเล็กอยู่ที่ไหน ก็ได้ยินเสียงหมู่เด็กหลายคนวิ่งตะโกนร้องลั่นตรอก
“เอ๊ว...เอ๊ว อีกลูกไม่มีพ่อ อีลูกไม่มีพ่อ เขาขอเอามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม ซื้อขนมให้หมากิน”
ตอนนั้นเองจึงได้เห็นเด็กเล็ก ๆ อายุประมาณสี่ห้าขวบ นั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้านไม้เก่า ๆ ที่ชำรุดทรุดโทรมด้วยกาลเวลา
“หนู...หนู รู้จักบ้านคนชื่อเล็กไหม”
เมื่อถามเธอ แม่หนูเช็ดน้ำตาที่เปื้อนใบหน้ามอมแมม เธอก้มหน้าไม่พูดแต่ชี้บ้านหลังนั้นให้แทน
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมา ในตอนนั้นล่ะ ฉันก็รู้สึกได้ทันทีได้เห็นใบหน้าเธออย่างชัดสายตา ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ แต่เป็นความรู้สึกที่รู้ได้ทันทีว่า
แม่หนูผู้เศร้าสร้อย นั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้าน เขี่ยคุ้ยกองดินกองทรายอยู่เพียงลำพัง ท่ามกลางเด็ก ๆ จำนวนมากที่ตะโกนล้อเลียนเธอว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ
แม่หนูคนนี้ล่ะ เป็นลูกที่มีพ่อ และตอนนี้พ่อยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว และอยากจะบอกกับเธอว่า...เหตุที่เกิดขึ้นได้ในวันนี้ มันก็เกิดจากสาเหตุที่พ่อทำไว้เมื่อวันวานนั้นเอง...
สันติ เศวตวิมล
บรรณาธิการอาวุโส
รางวัลนักเขียนมูลนิธิกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์