รู้จักคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต

 คอมพิวเตอร์มีต้นกำเนิดมาจากแนวคิดการคำนวณตัวเลขมานาน ซึ่งบางท่านอาจจะนับรวมลูกคิดของจีนเข้าไปด้วย โดยเครื่องช่วยคำนวณถูกพัฒนามาโดยตลอด ส่วนใหญ่มากจากชาวตะวันตก จนกระทั่งโลกเริ่มเข้าสู่ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม คอมพิวเตอร์จึงเริ่มเป็นรูปร่างขึ้น

ในปี ค.ศ. 1940 – 1956 ใช้หลอดสูญญากาศ (Vacuum Tube) เป็นวงจรสำคัญในการทำงาน ก่อนจะตามมาด้วยยุคทรานซิสเตอร์ (Transistor) ปี ค.ศ. 1956 – 1963 ยุควงจรรวม (Integrated Circuits) ปี ค.ศ. 1964 – 1671 ยุควีแอลเอสไอปี ค.ศ. 1972 -2010 ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessors) และ 2011- ปัจจุบันคือปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ที่นับได้ว่ามีการพัฒนามาไกลมากสุด มีการพัฒนาปัญญประดิษฐ์หรือ AI (Artificial Intelligence) เป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ได้ดี

แต่การมีคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวอาจจะช่วยเหลืองานได้เฉพาะอย่างที่อยู่ในขอบเขต ฉะนั้นสิ่งที่ตามมาควบคู่ไปกับการมีของคอมพิวเตอร์ก็คืออินเทอร์เน็ต โดยมีต้นกำเนิดมากจากกองทัพของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1970 โดยในครั้งแรกมีเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารในสภาวะสงคราม เพื่อแทนที่ระบบการสื่อสารดั้งเดิมที่อาจถูกทำลาย จนกระทั่งสามารถวางเครือข่ายเชื่อมโยงเป็นผลสำเร็จ โดยเน้นในการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ( Electronic Mail) เป็นหลัก

หลังจากนั้นมีการนำมาพัฒนาต่อในมหาวิทยาลัยซึ่งเน้นส่งข้อมูลข่าวสารทางวิชาการ จนกระทั่งปี ปี พ.ศ. 2523 ภาคเอกชนเล็งเห็นความสำคัญในการทำงานรวมถึงการสร้างรายได้ในเชิงพาณิชย์ จึงค่อย ๆ สร้างเครือขายอินเทอร์ขึ้นมา

ในส่วนของประเทศไทย อินเทอร์เน็ตเข้ามาครั้งแรกใน  พ.ศ. 2530 ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตและสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียหรือสถาบันเอไอที (AIT) ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย (โครงการ IDP) ซึ่งเป็นการติดต่อเชื่อมโยงโดยสายโทรศัพท์ ก่อนจะเริ่มเข้ามาในเชิงการเรียนรู้ตามมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ

การใช้งานอินเทอร์เน็ตชนิดเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง ในประเทศไทยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2535 โดยสถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 9600 บิตต่อวินาที จากการสื่อสารแห่งประเทศไทยเพื่อเชื่อมเข้าสู่อินเทอร์เน็ตที่บริษัท ยูยูเน็ตเทคโนโลยี ( UUNET Technologies ) ประเทศสหรัฐอเมริกา  ก่อนจะพัฒนาสู่เอกชน ในเชิงพาณิชย์กระจายสู่ประชาชนได้ใช้จนถึงทุกวันน

 ในปีเดียวกัน ได้มีหน่วยงานที่เชื่อมต่อแบบออนไลน์กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลายแห่งด้วยกัน ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ( AIT ) มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ โดยเรียกเครือข่ายนี้ว่าเครือข่าย “ไทยเน็ต” ( THAInet ) ซึ่งนับเป็นเครือข่ายที่มี “ เกตเวย์ “ ( Gateway ) หรือประตูสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นแห่งแรกของประเทศไทย

อินเทอร์เน็ตเปลี่ยนชีวิต

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังจากที่อินเทอร์เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวัน ชีวิตมนุษย์ในหลายด้านก็เปลี่ยนไป มีการเชื่องโยงกันเป็นเครือข่ายที่ใหญ่ คาดการณ์ว่า ภายในปี พ.ศ.2568 จะมีวัตถุสิ่งของที่มีความสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ไม่ต่ำกว่า 30,000-50,000 ล้านชิ้น หรืออาจสูงถึง 200,000 ล้านชิ้น แสดงให้เห็นว่า ยังมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั่งอยู่ตลอดเวลา

สมัยก่อนใครสักคนที่สร้างรายได้อาจต้องใช้เวลานานในสายอาชีพของตัวเอง ทำงานหนักเมื่อพอมีลู่ทางก็ไปเปิดโรงงานหรือกิจการของตัวเอง แต่ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไป ใครสักคนอาจมีชื่อเสียงเพียงข้ามคืนสสามารถสร้างรายได้จนมีมาแล้วมากมาย 

อินเทอร์เน็ตยังเข้ามาช่วยในเรื่องของธุุรกิจ พ่อค้า แม่ค้าสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ขายของ โดยไม่ต้อง มีหน้าร้านอยู่ที่ไหนก็สามารถขายของได้ โดยที่ผู้ซื้อ ก็ไม่ต้องเสียเวลาออกไปเดินหา มีการชำระเงินผ่านบัญชี ธนาคารหรือบัตรเครดิตได้

ในเรื่องของการศึกษา เรียกได้ว่าอินเทอร์เน็ตเป็น ห้องเรียนขนาดใหญ่ที่สุุดของโลก มีข้อมูลอย่างไม่จำกัด สืบค้นทุุกเรื่องที่เราอยากรู้ได้ สามารถเรียนทางไกล จากที่บ้าน หรือแม้แต่ศึกษาเรื่องราวที่น่าสนใจ แล้วมา ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องผ่านมหาวิทยาลัย ก็ได้ ในเรื่องความบันเทิงก็มีให้ชมอย่างไม่จำกัด ไม่ว่าจะ อยู่ในรููปแบบหนัง เพลง ซีรีส์ เกม ฯลฯ เรียกว่า ถ้าเอาสิ่งบันเทิงมาให้คนคนหนึ่งเสพ จะไม่สามารถ เสพได้หมดในช่วงชีวิตของคนคนนั้น จึงเป็นเหตุุผล ที่เราต้องเลือกชม เลือกฟังในสิ่งที่สนใจนั่นเอง การเข้ามาของอินเทอร์เน็ต เรียกได้ว่ามีประโยชน์ต่อ มนุุษย์แทบจะทุุกด้าน ตั้งแต่การศึกษา เศษฐกิจ สังคม ความบันเทิง การแพทย์ ฯลฯ หากมีการใช้ในทางที่ ถููกต้องเชื่อได้ว่าจะสามารถทำ ให้โลกพัฒนาไปได้ อีกไกล