ARAN : Self-Made มือจับไมค์ หัวใจโปรดักทีฟ
หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่คอยอัพเดทเรื่องราว บทสัมภาษณ์ และคอนเทนต์บันเทิงจาก THE STANDARD POP คงพอคุ้นเคยกับชื่อของ “นุ้ย อรัณย์ หนองพล” ในฐานะ Content Creator รวมไปถึงพิธีกรรายการ POP Live นอกจากนี้เขายังมีอีกหนึ่งบทบาทที่น่าสนใจไม่แพ้กันในฐานะ “Aran” ศิลปินที่มุ่งมั่นและทุ่มเท่ให้กับการสร้างสรรค์หลากผลงานเพลง Pop ตามแบบฉบับของตนผ่านเรื่องราวที่ท่วมท้นด้วยอารมณ์และความรู้สึกภายใต้สังกัด Fine Find Beat ในเครือ Tero Music
Intro : A-R-A-N
Aran : Aran คือศิลปินที่เป็นเกย์ ดราม่า และมีความเป็นมนุษย์ ถ้าให้นิยามตัวเองในฐานะศิลปินก็ยากเหมือนกัน เดี๋ยวก็รู้สึกดี รู้สึกแย่ มันมีความหลากหลายของมิติทางอารมณ์จากเพลงที่ปล่อยออกมา เราน่าจะเป็นศิลปินที่ยังค้นหาตัวเองอยู่เหมือนกัน
เราคิดว่าแก่นหลักของ Aran น่าจะเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์ เพราะว่าทุกเพลงเขียนขึ้นมาจากเรื่องของเรา ก็เลยรู้สึกว่าสิ่งนี้น่าจะถ่ายทอดความเป็นตัวเองในฐานะศิลปินได้ดีที่สุด
Track 1 : Day 1
ชีวิตคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว และในทุก ๆ เรื่องราวล้วนมีจุดเริ่มต้นของมันเสมอ สำหรับศิลปินที่ชื่อว่า Aran นั้น จุดเริ่มต้นของเขาคงต้องเล่าย้อนกลับไปในวัยประถม 5 ช่วงเวลาสำคัญที่เปิดโอกาสให้เขาได้ทำความรู้จักกับสองสิ่งที่ทรงอิทธิพล และสร้างผลกระทบครั้งใหญ่ให้กับเด็กชายนุ้ยเป็นอย่างยิ่ง
Aran : ย้อนกลับไปประมาณประถม 5 มีรายการ The Star ปีแรกเลย รายการอะไรสนุกจังอยู่ ๆ ก็มีคนมาแข่งขันร้องเพลงเพราะ ๆ ให้ฟัง ได้รู้จักผู้หญิงที่ชื่อ จิ๋ว ปิยนุช เขาเจ๋งว่ะ ร้องเพลงเก่งจัง ชอบจัง อยากเป็นแบบเขา นั่นคือวินาทีแรกที่รู้สึกว่าเราอยากเป็นนักร้องนะ
ส่วนเรื่องเป็นนักเขียน ในยุคเดียวกันมันมีนิตยสารเล่มนึงที่เราชอบมาก ชื่อ Hamburger Magazine แบบเก็บเงินค่าขนมเดินจากโรงเรียนเพื่อไปซื้อที่แผงหนังสือใกล้ ๆ อ่านแล้วรู้สึกว่าบันเทิงมาก ๆ การเขียนก็ทำให้สนุกได้นี่หว่า รู้สึกว่าเราอยากเขียนแบบนี้ได้บ้างเหมือนกัน คือสองสิ่งนี้มันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในยุคที่เรากำลังโตและค้นหาอะไรบางอย่างเพื่อให้ตัวเองมีอะไรทำ
ตอนนั้นคิดว่าความแน่วแน่ในการเป็นนักร้องมันก็ไม่ได้มีหรอกนะ คิดแค่ว่าอยากร้องเพลงมีร้องคัฟเวอร์บ้าง เรื่องนักเขียนตอนนั้นคิดแค่ว่าตัวเองอยากเขียนหนังสือ พอโตขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็อยากเป็นสถาปนิกจ้าอยากเรียนก็ไปติว สอบติด แต่สุดท้ายก็ไม่เอา รู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ จนจับพลัดจับผลูมาเรียนโบราณคดี พอช่วงปิดเทอมปี 2 ที่คณะไม่มีฝึกงาน เราก็เลยไปหาฝึกงานพวกนิตยสารเอง แล้วก็เริ่มเป็นนักเขียนมาตั้งแต่ตอนนั้น
Track 2 : Non-Productive
หลังมีโอกาสทำตามฝันและเติบโตขึ้นมาเป็นนักเขียนได้สำเร็จ แต่การร้องเพลงก็ยังเป็นสิ่งที่ นุ้ย อรัณย์ รักและทำควบคู่กันไป เริ่มจากการทำคลิปวิดีคัฟเวอร์เพลงลงบนแพลตฟอร์ม Youtube ไปจนถึงการฟอร์มวงร้องเพลงกลางคืน
Aran : ขออนุญาตเล่าย้อนกลับไปตอนช่วงมหา’ลัย ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นเยอะมากเหมือนกัน เรารู้จักกับเพื่อนคนนึง คุณบิว จรูญวิทย์ เป็นเพื่อนในเอกเดียวกัน ตอนนั้นบิวเล่นดนตรีกลางคืน เราก็ไปดู เขาก็ชวนขึ้นไปร้องเพลง พอพี่เจ้าของร้านบอกว่าร้องเพลงได้นี่ มาร้องที่ร้านมั้ย สุดท้ายก็จับคู่กับบิวร้องเพลงด้วยกัน เล่นกลางคืนมาเรื่อย ๆ
ตอนนั้นเราไม่ได้คิดเลยนะว่าอยากเป็นศิลปินหรือเปล่า แค่อยากร้องเพลง จอยดี มีคนมานั่งดูเรา ชอบ ปรบมือ มีความสุข ร้องเพลงเพราะ ๆ แล้วก็ไม่ได้คิดเหมือนกันว่าจะกลายเป็นอาชีพเพราะว่าทำมันมาเรื่อย ๆ ทำมาควบคู่กับงานเขียน จนเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน เราย้ายงานจากนิตยสารมาที่ THE STANDARD เราเริ่มรู้สึกว่าการร้องเพลงกลางคืนมันไม่น่าใช่คำตอบของชีวิตแล้ว
เล่ายังไงดีสิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เลิกร้องเพลงกลางคืนเลยนะ เรารู้สึกว่าเวลาไปร้องเพลงในฐานะคนไปร้องเพลงกลางคืนเราแค่ไม่มีเพลงของตัวเอง เราร้องเพลงของคนอื่นอยู่ แต่ว่าทำไมคุณถึงปฏิบัติกับเราแปลก ๆ ร้านเอย คนดูเอย เช่น เขียนกระดาษขึ้นมาว่าร้องเพลงไทยบ้างไหมคะ แบบแม่เป็นฝรั่งหรือเปล่า เคยเจอนะแบบที่เขาแชร์ ๆ กันในอินเตอร์เน็ต หรือให้เงินไปแล้วทำไมไม่ร้อง คือมึงเป็นเจ้าชีวิตกูหรือไง นึกออกปะ เราก็คนเท่ากับทุกคนหรือเปล่าวะ เรามาทำงาน ให้เกียรติกันบ้างดิ ก็เลยแบบตัดสินใจว่าไม่เอาแล้ว บางวันรู้สึกไม่ค่อยอยากออกไปเล่น มันเป็นกลุ่มคนที่คาดเดาไม่ได้ว่าเราจะเจออะไร ท็อกซิกมาก เลยตัดสินใจเลิกเล่น ไปหาเวย์ของการทำงานที่อื่นดีกว่า
ตอนนั้นรู้สึกไม่อยากทำงานร้องเพลงกลางคืน แต่เรายังอยากร้องเพลง แล้วมันมีวิธีไหนที่สามารถทำได้บ้างล่ะ ก็เลยเริ่มเขียนเพลง ทำเพลง ร่วมกับโปรดิวเซอร์ คุณเบนซ์ วรเชษฏฐ์ (bnz) เราค่อย ๆ พัฒนาตัวเองกันไปเรื่อย ๆ ทำกันเองปล่อยกันเอง
Track 3 : Music Spotlight Pt.1
หลังใช้เวลาที่มีทุ่มเท มุ่งมั่น คิดค้นทดลอง และสร้างสรรค์งานหลากผลงานเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจาก Taylor Swift, Troye Sivan และ Years & Years จนได้ออกมาเป็น Thinking Of You ซิงเกิลแรก ตามมาด้วย แดดร้อน, ถ่มน้ำลาย, นึกว่าลืมได้แล้ว..อ๋อยัง, ยอมแล้ว และ ตาแมว ซึ่งทั้ง 6 เพลงที่ว่ามา ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ช่วยเปิดโอกาสให้ใครหลายคนได้ทำความรู้จักกับอีกหนึ่งแง่มุมของ Content Creator คนนี้ได้ในฐานะศิลปินที่มีชื่อว่า “Aran”
Aran : ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ผลงานของเราแบ่งได้เป็น 2 พาร์ท พาร์ทแรกคือตอนที่เรายังไม่มีสังกัด เพลงแรกที่ปล่อยอย่างเป็นทางการคือ Thinking Of You ตอนนั้นชอบฟัง Taylor Swift ฟัง Troye Sivan ฟัง Electronic Pop แล้วเก็บกลิ่นบางอย่างมาคุยกับคุณเบนซ์ว่า ถ้าเราทำเพลงมันจะเป็นเพลงแบบไหนนะ เราเลือกจากสิ่งที่ชอบก่อนแล้วกัน เพลงแรกยังไม่ค่อยมีส่วนร่วมอะไรมาก แค่ร้อง ถือเป็นงานทดลองของเบนซ์ เนื้อเพลงพูดถึงการคิดถึงใครซักคน ยิ่งคิดที่จะลืมก็ยังคิดถึงทุกคืน Thinking Of You ตลอดเวลา เป็นงานทดลองจ๋ามาก กลับไปฟังก็เขิน ๆ เหมือนกัน
เพลงที่สองเป็นเพลงที่รักมาก คือ แดดร้อน เป็นเพลงแรกที่เขียนเอง คือเรากับเบนซ์ช่วยกันฮัมเมโลดี้เก็บไว้ เราบอกว่าจะลองเขียนเอง ใช้เวลาอยู่พักนึงอีท่าไหนไม่รู้ ตอนนั้นบินไปทำงานที่อินเดีย จังหวะบินไปตอนกลางคืนถึงตอนเช้า เราหลับแล้วก็ตื่นมาเห็นฟ้าเริ่มสว่างพอดี ช่วงนั้นเครียด ๆ มีเรื่องมากมายในชีวิต ตื่นขึ้นมาเห็นแดด แดดร้อนที่ส่องแสงมามันช่วยปลุกฉันอย่างช้า ๆ แล้วมันลงล็อคกับเมโลดี้ที่ฮัมไว้ก็เลยเขียนเพลง เขียนจนเสร็จตั้งแต่บนเครื่อง
ตอนนั้นเราเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้านำเสนอตัวเองในเรื่องความเป็นศิลปิน เพราะรู้สึกว่าคนน่าจะไม่เชื่อ เราก็ไม่เชื่อว่าตัวเองมีมุมนี้ เลยไม่ค่อยกล้านำเสนอวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ เขินมาก คนบ้าอะไรเปิดกระจกขึ้นมาเห็นแดดแล้วเขียนเพลงได้ มันไม่มีหรอก อ๋อมีว่ะ กูไง อะไรแบบนี้ รักเพลงนี้มาก
เพลงที่สาม ถ่มน้ำลาย เหมือนเดิม มีเมโลดี้มา แล้วตอนนั้นมี Troye Sivan, Taylor Swift และ Years & Years เป็นแรงบันดาลใจ รอบนี้อยู่บนเครื่องบิน เหมือนอยู่ดี ๆ ก็ดัดจริตอยากจะแต่งเพลงบนเครื่องบิน วันนั้นไม่รู้คิดอะไร นั่งเครื่องจากกรุงเทพฯ ไปทำงานที่ซิดนีย์ อยู่ ๆ ก็นึกประโยคแรกขึ้นมา “หากรักคือต้นไม้ ใครเขาถ่มน้ำลายให้มันโต ไม่มีหรอก” โอเค ชอบ จด สักพักเปิดเมโลดี้แล้วก็เขียนเพลง พูดคนที่พูดไปเรื่อย พูดว่ารักไปเรื่อยแต่ความจริงไม่ได้รักกันเลย แค่พูด ๆ เปรียบความรักคือต้นไม้ ความรักจะเติบโตได้คงไม่มีใครเขาบ้วนน้ำลายไปให้มันโตหรอก
เพลงที่สี่ เพลงนี้เป็นเพลงที่เริ่มมีคนได้ยิน เริ่มเป็นที่รู้จัก เพลง นึกว่าลืมได้แล้ว..อ๋อยัง ขอโทษนะ ชื่อเพลงกวนมากแต่เราไม่ได้แต่งเอง ตอนนั้นคุยกับรุ่นพี่คนนึง ส่งเพลงนี้ไปให้นางฟัง นางก็ตั้งชื่อกลับมา โอเคชอบ เพลงนี้มันว่าด้วยเรื่องการเจอหน้าคนที่เราเลิกคุยกันไป เลิกกันแล้ว แต่แค่วินาทีเดียวมันทำให้ทุกอย่างวนเวียนกลับมาได้ ตัวเพลงค่อนข้างรวดร้าวสำหรับเรามาก ค่อนข้างเศร้า เพราะมันเป็นเรื่องของตัวเอง
เพลงที่ห้า ยอมแล้ว เป็นเพลงที่คุณเบนซ์แต่งทิ้งไว้ครึ่งนึง เรารู้สึกว่าอยากหยิบขึ้นมาทำจังก็เลยแต่งอีกครึ่งนึง ตอนนั้นอยากทำแนว Pop Balled ออก Soul หน่อย มีเจือวิธีการร้องแบบ R&B มันเลยเป็นเพลงที่ร้องยาก ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกว่าร้องยาก ตัวเพลงว่าด้วยความสัมพันธ์ที่เมื่อถึงเวลา เราต้องเข้าใจนะว่าความสัมพันธ์นี้ควรพอแล้ว ต้องจากกันประมาณนี้
คือเพลงแต่ละเพลงที่เขียนขึ้นมันเติบโตไปตามเรา อย่างเพลงนี้อยู่ในช่วงที่เราไม่ได้เป็นเด็ก ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ อยู่ในช่วงการเป็น Young Adult เริ่มตระหนักรู้กับตัวเองว่าเข้าใจอะไร ไม่เข้าใจอะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร มันเลยเป็นอีกเพลงที่เรารักมาก
เพลงสุดท้ายก่อนที่จะมาเซ็นสัญญากับค่าย ตาแมว อันนี้ทำแบบขำ ๆ พูดถึงเรื่องคนชอบส่อง ส่องเขาทุกวี่ทุกวัน ตัวเองไม่มูฟออน คือเป็นการหยิบแค่เสี้ยวนึงของตัวเองที่เคยเกิดขึ้นและเอามาเขียนนั่นเอง
Track 4 : Fine Find Beat
Aran : เราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของค่าย Fine Find Beat ได้อย่างไร เล่างี้ ช่วงโควิดตอนนั้นเราอยู่บ้านเช่าแถว ๆ ออฟฟิศ ทุกคนก็จะไปรวมตัวปาร์ตี้แล้ววันหนึ่งนั่งปาร์ตี้อยู่กับเพื่อนที่ออฟฟิศอยู่ดี ๆ พี่หยาง มือเบสวง Moving and Cut ก็โผล่เข้ามาเพราะเป็นเพื่อนของเพื่อน มี คุณเปรม p n v, พี่ฟุ้ง Better Weather ที่เป็นเจ้าของค่าย Fine Find Beat มานั่งปาร์ตี้ด้วย เราก็แบบทำไมบรรยากาศมันงง ๆ จังวะ พวกเธอมาจากไหนกัน แล้วอยู่ ๆ พี่หยางก็บอกว่า เออ น้องอรัณย์ทำเพลงนะเราเลยเปิดเพลงตัวเองให้เขาฟัง ซึ่งตอนนั้นคือเดโม่เพลง ไม่โปรดักทีฟ (Non-Productive) พี่ฟุ้งฟังแล้วชอบเลยชวน ๆ กันว่าไปอยู่ด้วยกันไหม พี่เพิ่งเปิดค่ายชื่อ Fine Find Beat อยู่กับ Tero Music เราก็เลยโอเค ไป ยินยอมพร้อมใจมาเซ็นกับค่ายนี้
Track 5 : Music Spotlight Pt.2
Aran : พูดถึงผลงานพาร์ทปัจจุบัน ตอนนี้เราปล่อยกับเพลงกับ Fine Find Beat มาแล้ว 3 เพลง เริ่มที่ ไม่โปรดักทีฟ (Non-Productive) ถ้าใครที่เคยฟังเพลงก่อนหน้านี้มาก็จะรู้สึกว่า อ้าวศิลปินคนนี้เป็นใคร คือมันฉีกไปมาก รู้สึกว่ามันแตกต่างจากตัวเองมาก ๆ แต่ก็สนุกดี
ตอนนั้นเราอยากนำเสนอตัวเองในฐานะคนทำงาน แล้วความรักในที่ทำงานมันไม่ค่อยมีคนพูดถึงเท่าไหร่ ปีนี้เรา 30 แล้ว แต่เพิ่งได้มีโอกาสเดบิวต์ก็เลยอยากลองนำเสนอเพลงของวัยที่มันไม่ค่อยมีคนเล่า ไม่ค่อยมีคนพูดถึงความรักวัยทำงาน แบบพักกลางวัน กินข้าวคนเดียวไม่อร่อยเลย เราว่ามันแตกต่างจากคนอื่น แต่พอปล่อยเพลงไปปุ๊ปเจอโควิด หยุดยาว ไม่ได้ไปโชว์ที่ไหนเลย เพลงมันก็เลยถูกลืมเงียบ ๆ ไป
หลังจากนั้นถึงเวลามานั่งทบทวนตัวเองว่าจริง ๆ เราชอบอะไรแบบไหน มันเลยเป็นที่มาของสองเพลงต่อมา ก่อนวันสิ้นโลก (The Day After Tomorrow) ตอนนั้นโควิดมา เครียดมาก ไม่ไหวแล้วทำไงดี โลกแตกเลยจะได้ไหม ฉันไม่อยากอยู่แล้ว เลยเป็นที่มาของเพลงนี้
ส่วนเพลงล่าสุดที่เพิ่งปล่อยไปเมื่อเดือนเมษา ถามเหมือนไม่ให้ตอบ (QNA) เป็นเพลง Pop ที่ติด Trap มีเสียงกลองแบบ Hiphop แต่ยังคงความ Ballad ดราม่า ๆ เล่าเรื่องคนที่เลิกรากันไปแล้วไม่ต้องมาถามเลยว่ารู้สึกแบบไหน อย่าถามเลยดีกว่า ยังไงก็ไปอยู่ดี โดยเพลงนี้อยู่ใน Compilation ของค่าย Fine Find Beat ที่ศิลปินทุกคนทำเพลงแล้วเอามารวมกันครับ
Track 6 : Independent & Label
Aran : พูดความแตกต่างระหว่างการทำเพลงอิสระกับทำเพลงภายใต้สังกัด เราว่าเริ่มที่ข้อดีก่อนแล้วกัน คือตอนทำเพลงเองมันมีแค่เรากับคุณเบนซ์ มีกันแค่สองหัว ดีไม่ดีไม่รู้ เธอว่าดี ฉันว่าดี มันมีกันแค่สองคน แต่พอมีค่ายแล้วมันมีคนช่วยคิดช่วยทำ อย่างน้อยก็มีการแชร์ไอเดียมากขึ้น หรือมีการแชร์ความคิดเห็นบางอย่างที่มันค่อนข้างกว้างขวางขึ้น มีมุมมองที่เราไม่เคยคิดถึง เช่นเรื่องของการตลาด เรื่องภาพลักษณ์ที่เราไม่เคยคิดถึงมาก่อน เพราะเรารู้สึกว่าอาจจะไม่ได้สำคัญกับเราขนาดนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ถามในเรื่องของข้อจำกัดบางอย่างมันก็มีอยู่ ไม่เรียกว่าข้อเสียแล้วกัน ซึ่งมันก็มีเรื่องที่ยากสำหรับเรา และยากสำหรับค่ายด้วยเช่นกัน
Track 7 : QNA
Aran : ย้อนกลับไปตอนแรก คำถามแรกที่ว่าจริง ๆ แล้วศิลปินคนนี้เป็นคนอย่างไง เราว่าทุกวันนี้ยังคงค้นหาตัวเองอยู่นะ เราเป็นคนชอบฟังเพลง Pop มากกกก Pop แบบ Pop ติดหู ยกตัวอย่างเพลงที่ทำมา 9 เพลง มันมีทั้งความเหมือนและแตกต่าง คือมันมีฐานมาจากเพลง Pop แหละ แต่ว่าเราทดลองเอาอันนั้นอันนี้ที่ชอบใส่เข้าไป พยายามค้นหาตัวตนของตัวเองอยู่ จนไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเราชอบอะไร
ก่อนหน้านี้เราชอบเพลง Pop ที่ใส่อะไรก็ได้เข้าไป แต่หลังจากนี้เพลงต่อ ๆ ไปที่ทำอยู่มันคือการค้นหาว่า แล้ว Aran เป็น Pop แบบไหนวะ เพราะเราก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน เพราะเราเป็น Pop ทุกแบบ เราชอบเพลง Pop ก็เลยคิดว่างั้นต้องสร้างโจทย์ใหม่ให้ตัวเอง ไม่ใช่ว่าเราชอบแบบไหนและเราอยากมีเพลงแบบไหน แต่จริง ๆ แล้วเราชอบเพลงแบบไหนมากกว่า นี่เป็นโจทย์ที่กำลังพยายามมาคำตอบกับมันอยู่
Track 8 : Link/Life
Aran : การเป็น Content Creator กับการเป็นศิลปินหรอ เอาเรื่องแรกก่อน เรื่องแรกคือการเป็น Content Creator เราทำงานนิตยสาร ทำงานสื่อมีเดียมาค่อนข้างยาวนานมาก ปีนี้เข้าปีที่ 8 ปีที่ 9 เราเจอคนมาเยอะมาก สัมภาษณ์คนมาเยอะมาก เราเก็บไอเดียต่าง ๆ เวลาคุยกับคนนั้นคนนี้ไว้ตลอดเวลา เมื่อนึกถึงความรู้สึกอะไรบางอย่างที่เราอยากใส่เข้าไปในเพลง เราจะลองนึกถึงสิ่งที่เคยเจอมา คำพูดของคนนั้น ความรู้สึกของคนนี้ มันช่วยได้มากจริง ๆ นะ แบบบางคำศัพท์ หรือบางความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึก เราลองหยิบมาใส่เข้าไปในเพลงดีมั้ย หรือเราลองเปลี่ยนมุมมองของตัวละครในเพลงให้เป็นไปตามคนนี้ได้ไหม
อีกเรื่องที่ช่วยเราได้มากคือคลังคำศัพท์และวิธีการเล่าเรื่อง เพราะเราว่าการเล่าเรื่องเพลงเพื่อให้คนฟังเข้าใจมันต้องมีลำดับเรื่องราว มีตัวละคร มีสถานที่ มีสี มีแสง มีเวลา มีความรู้สึก มีเดือน บางทีมีกลิ่นอะไรอย่างนี้ นึกออกปะ มันเก็บเอาวิธีการเล่าเรื่องแบบการเขียนหนังสือมาอยู่ในเพลงได้ แต่มันก็จะยากนิดนึงเพราะว่าข้อจำกัดมันเยอะ ถือเป็นความท้าทายรูปแบบหนึ่งก็แล้วกัน
ส่วนอีกเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันส่งผลเสริมมาก ๆ คือ ทุกวันนี้พอทำงานที่ THE STANDARD POP เราเจอคนเยอะ เจอน้อง ๆ รุ่นใหม่ เรารู้สึกว่าส่วนหนึ่งมันช่วยได้มาก เพราะว่าอย่างน้อยเรายังอยู่ในสายตาของคนกลุ่มเหล่านี้ คือถ้านับอายุงานมันเท่ากัน เก็ทปะ สมมุติฉันกับ 4EVE อายุงานเท่ากัน คือเราเดบิวต์มาพร้อม ๆ กัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว 4EVE เด็กกว่าเรามาก แต่ประสบการณ์ในวงการเราเท่ากัน เรากับวง bamm กับ PiXXiE กับ ATLAS เราประสบการณ์เท่าน้อง ๆ หมดเลย เรารู้สึกว่าโชคดีมากที่มีโอกาสได้พูดคุยกับเด็ก ๆ เหล่านี้ มันเติมเชื้อไฟ เติมแรงให้เรา แล้วเราก็ได้เข้าใจว่าปัจจุบันนี้คนฟังเพลงต้องการอะไร ชอบแบบไหน เราไม่ได้ว่าจะทำเพลงตามใจคนฟังแต่แค่รู้สึกว่าจะได้รู้ว่าทุกวันนี้คนสื่อสารกันเรื่องอะไร คนเข้าใจและพูดด้วยภาษาแบบไหน ก็ดี รู้สึกว่าตัวเองยังเฟรชอยู่ตลอดเวลา
Track 9 : Respect
Aran : ในฐานะการเป็นศิลปิน ความท้าทายที่สุดคือการจะทำอย่างไรให้เราได้รับการยอมรับจากคนอื่น จากคนฟัง จากคนในวงการกันเอง นี่คือความท้าทายที่สุด เพราะรู้สึกว่าทุกวันนี้คนเก่งเยอะมาก ทุกคนเป็นศิลปินได้ ทุกคนทำเพลงเองได้ ก่อนหน้านี้เป็นยุคของ Bedroom Studio ทำเพลงจากในห้องนอน ทุกคนร้องเพลงได้ ทุกคนร้องเพลงเพราะ ทุกคนมีสไตล์ของตัวเอง แล้วเราจะทำยังไงให้แต่ละคน แต่ละสิ่งที่มี ถูกยอมรับจากสังคม ถูกยอมรับจากคนฟัง นั่นคือบทพิสูจน์ว่าการทำงานเป็นศิลปินของคุณประสบความสำเร็จแล้วในระดับหนึ่ง
จริง ๆ คิดว่าการที่เราสามารถทำเพลงได้ทุกวันนี้ อันนี้คือประสบความสำเร็จของเราแล้ว เราได้ทำเพลงที่ชอบ เราได้ทำงานที่รัก นี่คือประสบความสำเร็จแล้ว แต่มันจะประสบความสำเร็จมากขึ้นถ้าหากว่าตัวเพลงถูกยอมรับจากคนฟัง ถูกยอมรับจากคนในวงการ และสามารถเปลี่ยนสิ่งนี้เป็นอาชีพได้จริง ๆ คือตอนนี้ต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่อาชีพ มันเหมือนงานอดิเรก ทั้ง ๆ ที่เราจริงจังกับมันมาก แค่โอกาสมันไม่มากพอในการที่เราจะสามารถไปถึงที่ตรงนั้นได้ ซึ่งตอนนี้เราก็พยายามทำงานหนักกับมัน ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้กับมันมากขึ้น
Track 10 : รสนิยมและการสร้างงาน
Aran : เรื่องรสนิยมในชีวิตต่าง ๆ เราว่านอกเหนือจากคำว่ารสนิยมมันคือคำว่าประสบการณ์ในชีวิตคุณโตมาเป็นแบบไหนคุณอ่านหนังสือแบบไหนคุณดูทีวีดูละครแบบไหน คุณก็จะได้งานแบบนั้นออกมา อย่างตอนเด็ก ๆ เราก็จะเสพงานของ พี่นิ่มสีฟ้า เขาเป็นนักแต่งเพลงที่เรารักมาก ทำไมเขียนเพลงเก่งแบบนี้ แล้วมันมีผลกับการทำงานในปัจจุบันมาก ความชื่นชอบมันซึมซาบออกมา ทั้งวิธีการเล่าเรื่อง วิธีการใช้คำ หรือวิธีการถ่ายทอดเพลง พี่นิ่มอยู่ในใจเสมอมา หรือเราชอบหนังเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) ดูบ่อยมาก อยากลืมกลับจำ อยากจำกลับลืม นู่นนี่นั่น เราก็หยิบเอาวัตถุดิบเหล่านั้นมาทำเพลงได้ เสพอะไรมามันก็อยากเอาสิ่งนั้นมาอยู่ในงานของเรา
Track 11 : Self-Made
Aran : โอเค ถามว่าตอนนี้ถึงฝันหรือยัง ก็ถึงฝันแล้วล่ะ เราแค่อยากร้องเพลง แค่อยากเป็นศิลปิน จบแล้วมั้ย แต่ว่าจริง ๆ ฝันเราใหญ่กว่านั้นนะ พูดถึงความฝัน เราว่าเราก็เลิกทำมาหลายครั้งเลยนะ ตั้งแต่ไปประกวดนู่นนี่นั่นแล้วรู้สึกว่าที่นี่คงไม่ใช่ที่ของฉัน คือเอาจริงปะ เวลาไปประกวดร้องเพลงตามล่าฝันสมัยเด็ก ๆ ถ้าเข้าไปร้องคำเดียวแล้วเขาไล่ออก ฉันก็จะรู้สึกว่า โอเคฉันคงไม่เหมาะ แต่มันมีหลายครั้งมากที่เข้าไปร้องหลายเพลง ชอบมากนู่นนี่นั่น แต่ไม่ใช่เราที่ถูกเลือก มันหมายความว่าอะไร หมายความว่าผิดที่รูปลักษณ์หรือเปล่า ผิดที่หน้าตาหรือเปล่า แล้วมันผิดตรงไหนในเมื่อไหนบอกว่าชอบเรามาก ทำไมฉันถึงไม่ได้โอกาสในการที่จะได้เป็นศิลปินสักที
ถ้ารู้สึกว่ายังอยากทำบางสิ่งอยู่ก็ทำไปเหอะ ทำไปเลย ทำไปจนกว่าจะรู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบมันจริง ๆ คือพูดไงดี เราคิดว่าทำไปเรื่อย ๆ ก็ได้นะ แต่ว่าสุดท้ายมันก็เป็นเรื่องของโอกาสด้วย เราขอบคุณทุกโอกาสที่ทำให้เราได้มีวันนี้ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้รับมาก่อน พอวันนึงที่เราได้มาแล้ว มันรู้สึกแบบกูพร้อมยอมตายมาเพื่องานนี้เลยนะ เพราะว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อย คนบ้าอะไรเดบิวต์ตัวเองตอนอายุ 28 เพิ่งจะได้เป็นศิลปิน แก่จนจะใช้งานไม่ได้แล้ว คือต้องรอโลกมันเปิดก่อน
เราคิดว่าโลกยุคนี้มันเปิดโอกาสให้ทุกคนจริง ๆ นะ ทุกคนมีพื้นที่ของตัวเอง ทุกคนมีศักยภาพเป็นของตัวเอง อยู่ที่คุณจะใช้โอกาสที่มีในชีวิตตอนนี้ในการทำอะไรแบบไหน เพราะทุก ๆ วันของชีวิตคือโอกาสในการทำอะไรบางอย่างอยู่แล้ว
Outtro : The Day After Tomorrow
Aran : จริง ๆ เรายังไม่ได้มีแฟนคลับแบบเป็นตัวเป็นตนขนาดนั้น มีบ้างปะปราย เราอยากขอบคุณทุกคนที่เคยเห็นกัน มันมีหลายงานคุณแชร์ กดรีทวิตหรือแม้กระทั่งกดหัวใจแค่ครั้งเดียว แต่ว่าไอเรื่องเล็กน้อยแค่นั้นมันทำให้เรามีวันนี้ เราถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้ ได้ทำเพลง ได้นำเสนอตัวเองผ่านผลงานเพลง เรารู้สึกขอบคุณมากจริง ๆ
หลังจากนี้ศิลปินที่ชื่อว่า Aran ก็มีผลงานออกมาอีกเรื่อย ๆ ครับ มีคัฟเวอร์อัลบั้ม มีอัลบั้มเต็ม แล้วก็งานพิธีกร คืองงป้ะฉันเป็นศิลปินเด้อ แต่งานพิธีกรคือก็มีมาเรื่อย ๆ
สุดท้ายนี้ ทุกคนสามารถติดตามกันได้ที่ Tero Music หรือว่าใน Instagram, Twiter, Tiktok : @aran.np ติดตามได้ทุกช่องทางเลยนะครับ
Hidden Track : Music Inspire
Aran : โอเค คำถามนี้เป็นข้อที่อยากตอบมาก 5 ศิลปินที่สร้างเรามาเลยนะ แบบ 5 ศิลปินที่สร้างบันดาลใจให้เราสุด ๆ เลย
คนแรกคือ นิว-จิ๋ว เราเชื่อนะที่เวลาเขาบอกว่าการเป็นแฟนคลับศิลปินสักคนมันทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีขึ้น อยากเป็นคนที่ทุ่มเท่เพื่ออะไรบางอย่าง แล้วพี่นิ่ว พี่จิ๋ว คือคนนั้น เราบอกว่าเราชอบพี่นิว พี่จิ๋ว ตั้งแต่ป.5 โตขึ้นมาที่เริ่มฝึกงานตอนมหา’ลัย เหตุผลหนึ่งของการฝึกงานคือเราคิดว่า เราอยากเจอศิลปินที่ชื่นชอบ เราอยากคุยกับเขา แบบนั่งคุยกับเขา มันมีวิธีไหนบ้าง อ่อ ก็ไปเป็นสื่อดิ เท่ากับว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะเขาเลย เพราะว่าเขาทำให้เราอยากก้าวเข้าสู่สิ่งนี้ เพื่อที่จะได้เจอเขา แล้วก็ได้จริง ๆ โมเมนท์ตอนนั้นมันดีใจมาก การเจอกันแบบตัวต่อตัว นั่งคุยกัน สนุกมาก มีความสุขมาก ทุกวันนี้ยังปริ้นรูปแปะไว้ที่ผนังบ้านอยู่เลย ภูมิใจมาก
นอกเหนือจากเรื่องการเป็นแรงขับเคลื่อนในชีวิตแล้ว สองคนนี้เป็นผู้หญิงที่เก่งมาก เราหาผู้หญิงดูโอ้ร้องเพลงประสานกัน รักกันขนาดนี้ไม่ได้แล้วนะ เราเติบโตมากับเพลงของเขาจริง ๆ หลายอย่างที่อยู่ในดนตรีของเขาก็เก็บมาใส่ไว้ในงานเพลงของเรา นิ่ว-จิ๋ว นี่คือแม่ แม่ผู้ไม่ได้ให้กำเนิด แต่ให้ชีวิตมาทั้งชีวิต ดีใจมาก
ต่อมาคนที่สอง เป็นอีกหนึ่งศิลปินที่รักมาก คือ Adele ช่วงที่เริ่มโต ถ้าจำไม่ผิดน่าจะม.ปลาย ใกล้เข้ามหา’ลัย เราพยายามฟังเพลงสากลให้เยอะขึ้น แล้ว Adele คือตัวเลือกแรก ๆ ที่ได้ยินในยุคนั้น ยุคอัลบั้ม “19” เราชอบเสียงร้อง การแต่งเพลง และวิธีการถ่ายทอดเพลงของเขา มันแบบผู้หญิงคนนี้ไปเจออะไรมา ชีวิตไปเจออะไรมา ทำไมถึงสามารถขุดทุกเรื่องราวและวิธีถ่ายทอดมาได้ขนาดนั้น รักมากจริง ๆ
มีอยู่ครั้งนึง เราบินจากกรุงเทพฯ ไปเมลเบิร์นเพื่อไปดูคอนเสิร์ตแล้วบินกลับ เพราะรู้สึกว่าฉันมีเวลาแค่นี้ ฉันอยากดูเธอ วันนั้นที่ไปดูคอนเสิร์ตคือร้องไห้ต้องแต่ยังไม่เข้าฮอลล์ ร้องไห้ตั้งแต่เริ่มโชว์จนจบโชว์ก็ยังไม่หยุดร้อง เรามีความสุขมาก ร้องไห้ตลอดเวลา เออดีใจ เขาเป็นอีกหนึ่งแรงบัลดาลใจที่เรารู้สึกว่า เราอยากเป็นเขา อยากเป็นเขาจริง ๆ Aran- Adele Adele-Aran แบบนี้
คนที่สาม คนนี้สำคัญกับชีวิตมาก ๆ คุณอ๊อฟ ปองศักดิ์ เป็นศิลปินชายอีกคนที่เราฟังเพลงของเขาเยอะมาก เขาเก่งมากในเรื่องวิธีการถ่ายทอดเพลงต่าง ๆ ที่ทำให้เราเชื่อ แล้วเราก็ฝึกร้องเพลงเขามาตลอด เพราะตอนเด็ก ๆ เรารู้สึกว่าโทนเสียงน่าจะใกล้ ๆ กัน เราเติบโตมากับเพลงของเขา ตามเก็บทุกอัลบั้ม รักมาก
คนที่สี่ของเป็นอีกฝั่งเกาหลีแล้วกัน Taeyeon วง Girls’ Generation สำหรับคนนี้เราได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องเพลงล้วน ๆ เลย เพราะว่าเขาเป็นศิลปินที่ร้องเพลงเก่งมาก ร้องสดดีมาก คนอะไรร้องเพลงดีขนาดนี้ เก่งจัง และซาวด์ดนตรีในทุกเพลง ทุกอัลบั้มของเขาชอบมาก ทุกอัลบั้มฉันต้องเข้าไปฟังแล้วหยิบไอเดีย หยิบกลิ่นบางอย่างของเขามาใช้ มันถูกจริตเรามากเลยนะ
คนสุดท้ายขอนึกก่อนได้ป้ะ มีหลายคนจัง อยากเลือกหลายคนแต่ว่าพอให้เลือกแค่ 5 คนนี่ก็จะยากมาก เดี๋ยวไม่เลือกคนนั้นแล้วเขาจะโกรธเราหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่รู้หรอกว่าฉันเลือกหรือไม่เลือก กลัวเขาโกรธไว้ก่อน
ต่อมาครับ คนที่ห้าเป็นศิลปินไทยที่รักมากเหมือนกัน คือ โบ สุนิตา ลีติกุล เราโตมากับเพลงของพี่โบ ฟังมากตลอด มาคลิ๊กหนัก ๆ ตอนอัลบั้ม “Music” ตอนนั้นโดยปกติถ้านึกถึง โบ สุนิตา ก็จะร้อง Pop-Rock แต่อัลบั้มนี้เป็นครั้งแรกที่พี่โบมาร้อง Blues ร้อง R&B เรารู้สึกว่ามันใหม่มากในยุคนั้น เพราะว่าวิธีการร้องของพี่โบมันเท่ เก๋ ถูกจริตมาก
ขอพูดอีกคนได้มั้ย ขอแถม ตอนแรกว่าจะไม่ลือกเพราะว่าเดี๋ยวเกิน แต่ว่าต้องพูดจริง ๆ มาช่า วัฒนพานิช คือพี่ซ่าเป็นผู้หญิงที่ถ่ายทอดเพลงได้เก่งมาก เสียงเพราะมาก คือเขาอาจไม่ใช่คนที่ร้องเพลงเก่งที่สุด แต่พี่ซ่าเป็นคนที่ถ่ายทอดเพลงออกมาได้ดีที่สุดเท่าที่เราฟังมา สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่ง ความเปราะบาง สัมผัสได้ถึงหลาย ๆ อย่างผ่านเพลงของเขา เรารักเขามาก รู้สึกว่านอกจากความสวย ผู้หญิงคนนี้ผ่านอะไรมาเยอะมาก ไอดอลมากกก
Follow Him
Facebook : ARAN
Facebook : FINEFINDBEAT
Twitter : arannp
Twitter : finefindbeat
Instagram : aran.np
Instagram : finefindbeat
Tiktok : arannnnn
Youtube : Balcony Fake Tree
Youtube : TERO MUSIC
Photo by : Ajarin Duangchaemsai