ขันเงิน เนื้อนวล : Business & Life ชีวิตหลังไมค์ กับใจเกินร้อย

ขันเงิน เนื้อนวล : Business & Life ชีวิตหลังไมค์ กับใจเกินร้อย

เส้นทางชีวิตคนเรานั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีหลายครั้งที่ต้องล้มแล้วรีบลุกขึ้น สู้ต่อ แม้จะท้อแต่ไม่ถอย ไม่ล้มเลิกความฝัน บางครั้งความสำเร็จก็มาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว และบางครั้งความล้มเหลวก็มาจากการตัดสินใจผิดพลาดด้วยตนเอง ทั้งหมด
ที่เกริ่นมานี้ล้วนเป็นการเดินทางที่ศิลปินและนักธุรกิจคนนี้ได้พบเจอ แม้แต่เราเองก็ยังไม่เคยรู้ว่าชีวิตหลังไมค์ เมื่อออกจากแสงสปอร์ตไลท์ที่สาดส่อง ในสังเวียนชีวิตและธุรกิจ เขาเป็นนักสู้ที่เต็มไปด้วยบาดแผล แต่ไม่เคยโดนน็อค และยังคงสู้ต่อไป

“ขันเงิน เนื้อนวล” หรือ “KH” หนึ่งในสมาชิกและผู้ก่อตั้งวงฮิปฮอปชื่อดังระดับตำนานของเมืองไทยอย่าง THAITANIUM ชื่อเสียงและบทบาทศิลปินแร็ปของเขานั้นล้วนเป็นที่ประจักษ์และเป็นหนึ่งในผู้ผลักดันให้เกิด HIP HOP CULTURE ที่ดังเป็นพลุแตกในบ้านเราเวลานี้ ล่าสุดเขากลับมากับบทบาทโปรดิวเซอร์ในรายการ The Rapper และนี่คืออีกด้านที่คุณอาจยังไม่เคยได้สัมผัส นักธุรกิจผู้ยึดหลักธรรมพุทธศาสนาเป็นที่ตั้ง ศิลปินแร็ปผู้มีหัวใจสีขาว

From The Beginning

KH : เด็กชายขันเงิน เติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลางค่อนข้างดี มีพี่น้อง 3 คน ในวัยเด็กซนมาก ตอนนั้นคุณพ่อของผมเปิดโรงเรียนอนุบาลเสนาร่วม ในซอย พหลโยธิน ซ.11 คุณพ่อคุณแม่ของผมเขาเลี้ยงลูกแบบฝรั่งหน่อย คือคุณพ่อเคยเรียนที่ชิคาโก้ ส่วนคุณแม่จบมาจากออสเตรเลีย เขาจะได้แนวคิดแบบฝรั่งมาเยอะหน่อย พอเข้าประถมผมก็ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนเรวฤดี ตอนนั้นที่บ้านเปลี่ยนมาทำธุรกิจเปิดผับแทนชื่อร้าน Johnny Walker ผมก็จะชอบมานั่งเล่นในร้าน ฟังเพลง ดูนักดนตรีเล่นช่วงเย็นพอค่ำหน่อย คุณแม่ก็จะให้กลับเข้าบ้าน ก็ได้ซึมซับได้เห็นธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ตอนกลางคืน ก็เลยทำให้ชอบ

พอจบ ป.6 ผมก็ไปเรียนที่เซนต์จอห์นได้ปีนึง แล้วย้ายไปเรียนที่ประเทศอเมริกา คือตอนนั้นเริ่มเข้าวัยรุ่นก็จะซนและเริ่มดูเหมือนเด็กเกเร คือชอบเล่นสเก็ตบอร์ดกัน จะเป็นกลุ่มใหญ่ก็มีเพื่อนอย่างคุณโจ้ โจอี้บอย อยู่ในกลุ่มเดียวกัน จะชอบหาวิดีโอสเก็ตบอร์ดมาดูกัน ไปเล่นกันตามถนน อยู่สนามกีฬาบ้างหรือสยามบ้างไม่ค่อยสนใจเรียน ก็เลยโดนส่งไปเรียนพร้อมกับพี่ชายที่รัฐแคนซัส ประเทศอเมริกา

ที่อเมริกาตอนอายุสิบสามปีเราก็ได้เห็นว่าโลกมันไม่ได้สวยงาม เราไปยืนอยู่ริมรั้วโรงเรียนมองไปมีแต่ฟาร์มเหมือนหนังอเมริกัน บางทีไม่มีเรียนเราก็เดินไปตกปลาที่ทะเลสาบ จะใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ซึ่งเป็นเวลาที่นึกกลับไปมันมีความสุข ได้ใช้ชีวิตเด็กในยุคอนาล็อค ผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เด็ก ๆ ได้ทำกันมั้ย อย่างเพื่อนผมถ้าลูกงอแงก็เอาไอแพดยัดให้ดูการ์ตูนก็เงียบไป กลายเป็นเด็กไม่ได้สัมผัสธรรมชาติแล้ว ตอนนั้นเรื่องเหยียดสีผิวยังมีอยู่ และเราอยู่ในรัฐที่มีพวกเหยียดผิวอย่าง KKK ด้วย เหมือนเราได้เห็นโลกทั้งสองฝั่ง เราไปอยู่ที่นั่นมา เราเห็นว่าฝรั่งไม่ได้เก่งกว่าคนไทย เห็นความแตกต่างของความเท่าเทียม เราได้เปรียบเทียบทั้งสองโลกว่าข้อดีข้อเสียของแต่ละที่เป็นยังไง

ตอนอยู่อเมริกาผมโดนกดขี่ อย่างเล่นสเก็ตบอร์ดอยู่ริมถนนก็จะโดนกระป๋องเขวี้ยง โดนตะโกนไล่ ผมก็เลยรู้สึกว่าทำไมเราต้องโดนกดขี่ ทำให้ไปชอบด้าน History ของคนผิวดำว่าเขาสู้เพื่ออะไร ดนตรีเป็นการปฏิวัติในสิ่งที่เราทำได้ ปฏิวัติในเรื่องเพลง ปฏิวัติในความเท่าเทียมกันเราก็เลยไปอินด้านนั้น ตอนเด็ก ๆ ก็ปลูกฝังด้วยเพลงจากวงคาราบาวอีก คือฮิปฮอปมันพูดเรื่องนี้โดยตรง ตอนนั้นมีรายการ Yo! MTV Raps (ออกอากาศปี 1988-1995) จะเห็นดีเจประจำรายการดูเท่ อยากเป็นบ้างเลยเริ่มซื้อแผ่นเสียงมาเก็บแต่ยังไม่มีเครื่องเล่นนะครับ

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดก็คือคุณพ่อเสีย ประมาณปี 1990 ปกติจะได้จดหมายจากแม่ทุกอาทิตย์ โทรศัพท์หยอดเหรียญก็มีแต่ว่าไม่ได้ใช้เพราะมันแพงมาก สมัยก่อนมันรู้สึกไกลมากเลย อยู่มาวันหนึ่งก็มีโทรศัพท์มาคุณแม่เป็นคนบอกว่าคุณพ่อเสีย เสียใจมากร้องไห้กันทุกวัน ไม่เห็นงานศพ ไม่รู้เรื่องราว รู้สึกว่าชีวิตไม่แน่นอนก็เลยตั้งใจเรียน เหมือนรู้แล้วว่าชีวิตมันไม่ยั่งยืน ตั้งใจทำอะไรก็ทำให้สุดไปเลย

เหมือนจากวันนั้นเราโตเลยครับ พอเรียนดีขึ้นก็เลยขอคุณแม่ไปอยู่แคลิฟอร์เนีย เพราะเป็นเมืองในฝัน คุณแม่โอเคเพราะมีเพื่อนอยู่ที่นั่น สมัยนั้นทำกรีนการ์ดง่าย เราก็เลยกลายเป็นว่าอยู่ได้โดยไม่ต้องกลับมาเมืองไทยนาน ๆ ช่วงย้ายไปอยู่แคลิฟอร์เนีย เรียน Public School ไม่ต้องจ่ายค่าเทอมเพราะเหมือนเราเป็นอเมริกันแล้ว เงินก็ไม่ค่อยมี ไปอยู่กับพี่ชายเหมือนเดิม 

ตอนวันเกิดอายุ 15 คุณแม่โทรมาหาบอกวันเกิดมีเงินเท่านี้จะซื้อของขวัญให้จะเอาอะไร ผมบอกแม่อยากได้เครื่องเล่นซีดี คือโกหก จริง ๆ อยากได้เครื่องเล่นแผ่นเสียงแต่ไม่กล้าบอก ตอนนั่งแกะแผ่นเสียงเพื่อนแม่เดินเข้ามาเห็นก็ไปฟ้องแม่ แม่โทรมาด่าผมก็นั่งน้ำตาคลอสะอึกสะอื้น เลยตั้งใจว่าเดี๋ยวจะโชว์ให้ดูว่าเครื่องเล่นแผ่นเสียงเนี่ยมันจะพาอะไรมาในชีวิตบ้าง ก็เลยตั้งใจฝึกฝนแล้วก็เก็บเงินซื้ออีกเครื่องนึง ทำทุกอย่างรับเลี้ยงเด็กก็ทำเพื่อที่จะได้เงินไปซื้อเทิร์นเทเบิ้ล ตอนนั้นโรงเรียนจะมีดีเจอยู่สองคนมีฝรั่งคนนึงซึ่งเป็นดีเจหลักและก็ผม เราก็เริ่มเล่นงานปาร์ตี้ เริ่มจ้างไปทำนู้นทำนี้ก็เลยได้เงินมาซื้อแผ่นเสียง ก็คือหาเงินตั้งแต่เด็กครับ แล้วก็เก่งขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็นดีเจประจำโรงเรียน ช่วงนั้นได้ไปดูศิลปินฮิปฮอปหลายวงมาก อย่าง The Fugees ก็ได้เห็นตั้งแต่ตอนโชว์ข้างถนนเวทียกพื้นนิดเดียว เราก็ยืนดูอยู่หน้าสุดเลย หลังโชว์จบก็ได้คุยกับดีเจชื่อ Rock Steady Cool แชมป์โลกสองสมัย ปี 1992 สมัยก่อนฮิปฮอปยังไม่ได้เป็น Billion Dollar Business ยังเข้าถึงศิลปินง่าย ตอนหลังก็ได้รู้จักกันเขาก็ช่วยแนะนำเรื่องเทคนิคให้

Khan-T Hip Hop Story

KH : ประมาณปี 93 ได้กลับมาซัมเมอร์ประมาณสองเดือนก็ขนเครื่องขนแผ่นเสียงมาด้วย ได้จัดฮิปฮอปปาร์ตี้ครั้งแรก ขอจัดที่ผับของคุณแม่ หลังคุณพ่อเสียเราก็ขายบ้านใช้หนี้แล้วก็ย้ายมาเปิดผับเล็ก ๆ แถวกระทรวงการคลัง ตอนนั้นเป็นช่วงที่วงฮิปฮอปวงแรกของไทยอย่างทีเคโอกำลังจะออกเทปพอดี ก็ได้เจอกับพี่สุกี้ พี่สมเกียรติ พี่เอื้อง ผมกับโจอี้บอยเป็นกลุ่มที่ทำอะไรแปลกกว่าเด็กวัยเดียวกัน งานนั้นมีคนมาปาร์ตี้ประมาณเกือบสองร้อยคน มีรถโลว์ไรเดอร์คันแรกของเมืองไทยมาเด้งโชว์ โจ้เค้าก็ได้ฟังเพลงเรกเก้มาฟินที่ผมเปิด เค้าก็จะชอบสไตล์นั้น ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นนักร้องเพราะผมอินกับดีเจ เปิดดนตรีจากแผ่นเสียงแล้วก็เริ่มลองแร็ปกัน

ตอนอยู่เกรด 11 ผมก็ได้กลับมาเมืองไทยอีกที กลับมารอบนี้มีค่ายเพลงสนใจ ได้ไปคุยกับทางโซนี่มิวสิค ซึ่งทำกับที (เกษมสันต์ ธนเจริญทิพย์) เพื่อนสนิทอยู่กลุ่มเดียวกัน พอคุยผ่านเลยเริ่มทำเพลง มี PRODUCER มาให้ทำงานด้วย ตอนนั้นโจ้ก็เริ่มไปคุยกับทาง Bakery Music ยังไม่มีค่ายนะครับ พี่บอย โกสิยพงษ์ ยังทำงานอยู่โซนี่ ตอนนั้นพี่ป้าง นครินทร์ กิ่งศักดิ์ เป็นผู้จัดการศิลปินมาดูแลผม แต่ในใจผมรู้สึกว่าเพลงฮิปฮอปที่ค่ายกำลังทำมันไม่ใช่แบบที่เราอยากทำ และตอนนั้นก็ยังเรียนไม่จบ คุณแม่ก็อยากจะให้เรียนให้จบ ก็เลยเลือกยังไม่ออกเทปและกลับไปเรียน

ปี 95 ผมก็กลับมาอยู่เมืองไทย บอกแม่เลยผมจะทำทางนี้ซีเรียสนะขอไม่เรียนมหาลัย พอกลับมาปุ๊บก็คิดว่าเดี๋ยวก็คงมีคนสนใจ แต่ไม่ครับเตะฝุ่นอยู่ประมาณปีนึง ช่วงนั้นโจ้ก็ออกผลงานแรกอัลบั้มเอโพด ผมทำวงกับทีก็เลยเป็นขันที จนมาเจอค่าย MUSIC X เราก็ทำเพลง เด็กเอ๋ยเด็กดี ซึ่งยังเป็นฮิปฮอปที่เราไม่ได้ชอบ ได้พี่ไก่ สุธี แสงเสรีชน และเอเจ โปรดิวซ์ให้ ซึ่งเขาก็ทำได้ดีเลยนะทำให้ผมประสบความสำเร็จในจุดหนึ่ง ก็ต้องขอขอบคุณ คิดว่าเดี๋ยวได้เงินมาค่อยว่ากัน ปรากฏยอดขายได้แค่แปดหมื่นก๊อปปี้ ช่วงนั้นถ้าเป็นเพลงฮิปฮอปที่ไม่ได้ซาวด์แบบโจอี้บอยก็จะไม่ขายในตลาด

อัลบั้มต่อมาทำเป็นรีมิกซ์ออกมาชื่อว่า ขันที 4+9 เป็นแด๊นซ์แบบสามช่า ปรากฏว่าดังกว่าเดิม ขายไปประมาณสามแสนแผ่น แต่เราไม่ชอบไง ก็เลยขอเขาทำเองครึ่งนึงในอัลบั้มใหม่ Beat ปรากฏว่าเจ๊งครับ รู้สึกเฟลว่าสิ่งที่เราชอบมันขายไม่ได้ ตอนนั้นเราอยู่กับ Media of Media เขาก็ป้อนงานให้ก็มีรายการเกมโชว์เข้ามาเยอะ เป็นพิธีกรรายการทีวี รายได้ดีแล้วก็เริ่มโดนกลืนว่าเราจะต้องทำในสิ่งที่ตลาดชอบถึงจะขายได้นะ ตอนนั้นก็เลยแยกกับทีก็คือทะเลาะกันนิดหน่อยครับคือไม่เห็นพ้องต้องกันในเรื่องเพลง คือผมอยากทำแบบนี้ของทีเค้าก็อยากทำที่มันเป็นตลาดมากขึ้น

Entertainment Business

KH : จริง ๆ แล้วผมเป็นคนไม่ค่อยชอบอยู่ในสปอร์ตไลท์ อย่างเวลาเราเป็นดีเจ เราก็อยู่ของเราเปิดเพลงไป PRODUCER ก็เป็นเบื้องหลัง ทุกวันนี้ก็ยังสู้กับตัวเองด้วยซ้ำว่าเราอยากอยู่ข้างหลังมากกว่า ตอนนั้นเราก็รู้สึกเฟลแล้วได้ไปคุยกับพี่เล็ก บุษบา ดาวเรือง ก็เลยคิดว่าหรือเพราะเราอยู่ค่ายเล็กแล้วมันไม่มีแรงดันเลยไม่ดัง ทางแกรมมี่เขาก็สนใจ เริ่มทำเพลงแบบที่ชอบไปเสนอ เขาก็บอกมันขายยาก เราก็เลยถามพี่เล็กตรง ๆ ว่าอยากให้ผมทำแบบที่ผมเป็นหรือเปล่า สรุปไปจบที่ทำเพลงตลาด แต่ว่าตอนนั้นโปรดิวซ์เอง เขียนเองเกือบทั้งอัลบั้ม มีพี่แอ๊ด ทนงศักดิ์ แกรนด์เอ็กซ์ ช่วยโปรดิวซ์ ตอนนั้นแฟนเพลงที่ชอบฮิปฮอปชอบขันทีมาฟังก็ผิดหวัง ตอนออกมาก็ไม่ได้ชอบ แต่กลายเป็นดังที่สุดในชีวิต ได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตเดินสายทั่วประเทศ

หลังจากจบอัลบั้มนี้ผมก็ขอพี่เล็กยกเลิกสัญญา เพราะอยากไปทำเพลงที่นิวยอร์ก ซึ่งเดย์ เพื่อนเราอยู่ที่นั่น แถมเราได้รู้จักกับสตูดิโอที่เขาให้ทำเพลงได้ด้วย ก็เลยตัดสินใจไปนิวยอร์ก ทางแกรมมี่เขาเข้าใจก็ยกเลิกสัญญาให้ ตอนนั้นสนิทกับเวย์ เขาชอบมาขอผมร้องแร็ปในเพลงที่ผมทำ พอผมบอกจะไปอยู่นิวยอร์กก็ขอไปด้วย ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเขากำลังดังมีหนังมีละครเยอะ เลยกลายมาเป็นไทยเทเนี่ยมในที่สุด ตอนนั้นจะมีเพื่อนอีกคนคือเจร็อคครับ แต่เขาต้องกลับมาบริหารงานธุรกิจครอบครัว และอัลบั้มแรกที่เราทำเสร็จคือ AA ตอนนั้นคนจะรู้จักในนาม AA CREW โจ้ โจอี้บอย เขาแวะไปหาที่นิวยอร์กพอดีก็เลยชวนมาแจมด้วย ตอนกลับมาเมืองไทยเราก็เอาแผ่นไรท์มาฝากเพื่อน ๆ ที่เป็นดีเจตามคลับไปเปิด ปรากฏว่าดังครับ ตอนหลังเลยปั้มขาย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้เราทำค่ายเพลงของตัวเองขึ้นมา

ในฐานะผู้บริหารค่ายเพลง ไทยเทเนี่ยมเอนเตอร์เทนเม้นต์ ผมทำทุกอย่างครับ ตั้งแต่เรื่องการเงิน เซ็นเช็คทุกใบ ตรวจบัญชี หานักร้อง โปรดิวซ์เพลง เราเป็นค่ายเพลงที่ไม่ได้เน้นเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจเป็นหลัก ยกตัวอย่างถ้าเป็นค่ายเพลงบางค่าย เมื่อศิลปินอย่าง South Side หรือ Pok Mindset เซ็นสัญญาเข้าสังกัด ค่ายเพลงจะต้องเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงของเขาทั้งหมด แต่ด้วยยุคที่เราโตมาและเราสู้มาตลอด ว่าทำไมเราทำเพลงขึ้นมาเราถึงไม่เป็นเจ้าของเพลงของเรา  เราก็จะสอนศิลปินในสังกัด อย่างโต้ง Twopee เราก็สอนว่าถ้ามึงทำเพลง เอาเงินจากบริษัทไปทำอัลบั้มนี้เท่าไหร่ อาจประมาณ 2-3 แสนบาท ถ้ามึงเอาเงินจากบริษัทไปลงทุน เพลงเป็นของกูนะ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นมึงยืมเงินกูไปก่อนแล้วมึงเอาไปทำเพลง เมื่อมึงได้เงินมาคืนกู กูให้เพลงมึงไปนะ เขาจะคิดตาม ไม่งั้นมันจะเข้าวังวนเดิมเหมือนศิลปินจะเป็นทาสของบริษัท ซึ่งเราต่อสู้ตรงนั้นมาตลอด เราเป็นวงแรกที่มีค่ายของตัวเองและเป็นเจ้าของเพลงตัวเอง

สิ่งที่เราไปทำกับแกรมมี่คือให้เขาจัดจำหน่าย ผมคุยกับคุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ผมบอกว่าผมไม่ต้องการค่าย ผมต้องการจัดจำหน่าย คุณไพบูลย์เลยตั้งค่ายสนามหลวงขึ้นมา เพราะเขาเห็นเราทำ เมื่อเขาอยากรู้ว่าเราขายโชว์อย่างไร ขายงานเยอะ ๆ ยังไง ผมก็ไปนั่งคุยกับเขาแล้วก็อธิบายให้ฟังว่าผมทำแบบนี้นะ เราเป็นเจ้าของเพลงนะแต่ว่าเราต้องการคนจำหน่าย ค่ายสนามหลวงก็เลยรับศิลปินอินดี้เข้ามาเพื่อจะจัดจำหน่ายให้ เหมือนเราสู้แบบนั้นมาตลอดครับ สอนน้อง ๆ ให้ทำเองก่อนอย่าง Music Video ให้ลองคิดเองทำเองลองหาสปอนเซอร์มา เหมือนเป็นครูเอาความรู้มาแชร์ โปรดิวซ์เพลงให้ ทำคอนเสิร์ต หาโอกาสให้ หาสปอนเซอร์ให้ ทำให้ค่ายเพลงเราก็เลยไม่ได้ขยายมาก ตอนนี้ค่ายเราก็ยังมีศิลปินไม่เยอะครับ

After Sunset

KH : การทำธุรกิจผมลองมาเยอะครับ ทำมาหลายอย่าง เช่น ร้านอาหาร ผับ บาร์ นี่เจ๊งหมด คือไม่เชื่อคุณแม่ ท่านบอกว่าอย่าลงทุนเพราะไปถามซินแสมาสามที่ก็บอกอย่าลงทุนให้ใช้ความสามารถแลกมา ก็ไม่เชื่อครับ ทำร้านอาหาร บาร์ บริษัทเสื้อผ้า เปิดร้านขายเสื้อผ้าคือมันไปได้ครับ ถู ๆ ไถ ๆ แต่ว่าไม่ได้เงิน คือเลี้ยงบริษัทได้แต่ไม่มีกำไร เหนื่อยแต่ว่าไม่ได้เงิน เคยทำสายการบิน เปิดสตูดิโอ ทำบ้านจัดสรร ทำเกี่ยวกับน้ำมัน เปิดบริษัทหลายแห่งทำเยอะเกินไป ตอนนี้ก็ยังมีเว็บไซต์ที่ยังดังมาถึงทุกวันนี้

ทำธุรกิจมาเยอะมากครับ คือพอโตขึ้นมาแล้วอยากลองทำดูว่ามันจะไปได้สักกี่น้ำ มาถึงทุกวันนี้กลายเป็นรู้สึกว่าอยากทำเพลงมากกว่า คือไปสร้างอะไรไว้เยอะแยะ ทำให้ต้องรับผิดชอบจนไม่มีเวลาทำในสิ่งที่ตัวเองรักที่สุด ทุกวันนี้เอาทุกอย่างออกไปและทำเพลงอย่างเดียว ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่ว่าทำเยอะหรือได้เงินมาเยอะ บางทีความสุขมันอยู่ที่ว่ามีเวลาใช้ชีวิตมั้ย ได้เจอครอบครัวบ้างมั้ย ไม่มีเวลาตรงนั้นเลย ประชุมกันอยู่นั่น ไม่ได้ทำในสิ่งที่ชาวบ้านเขาทำกัน เลยรู้สึกว่ามาถึงจุดที่ควรจะลดลง เงินไม่ได้สำคัญที่สุด ทำอะไรที่ตัวเองรักดีกว่า

ผมเองก็เคยมีช่วงชีวิตที่ยากลำบาก เริ่มจากช่วงที่คุณพ่อเสียตอนนั้นเป็นจุดเปลี่ยนจากบ้านเคยมีเงิน กลายเป็นต้องหาเงินใช้หนี้ เป็นหนี้มหาศาลต้องขายบ้าน คุณแม่ผมท่านเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมาก ช่วยให้ครอบครัวหลุดออกมาจากตรงนั้นได้ แต่ผมเป็นคนที่คิดในแง่บวก ไม่เคยยอมแพ้ ไม่เคยล้มเลิก มีช่วงท้อถอยตอนที่เริ่มทำงานเพลง เป็นความอึดอัดในใจแต่ก็ไม่เคยยอมแพ้

อีกครั้งคือตอนไปอยู่นิวยอร์กแล้วก็หมดตัว คือเอาเงินเก็บทั้งหมดไปใช้ โดนไล่ออกจากบ้าน ขันเวย์เดย์นี่คือเคยไม่มีบ้านอยู่ อยู่ในจุดที่ว่าแบ่งมาม่ากันกินซองเดียวสามคนอย่างนี้ ปากกัดตีนถีบโดยที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร พรุ่งนี้จะมีเงินไปจ่ายค่าเช่าบ้านมั้ย ไปถึงจุดนั้น กลับมาเมืองไทยก็โอเคประสบความสำเร็จ ทำโน่นทำนี่ พอมาปี 2008 ผมทำมหกรรมคอนเสิร์ต Asian Hip-Hop Festival ตอนนั้นทำเป็นเฟสติวัลใหญ่เลยครับ มีศิลปิน 8 ประเทศมาร่วมกัน สรุปเจ๊งครับ ติดหนี้เป็นสิบล้าน ก็หาเงินทุกทางทำหลายธุรกิจเพื่อใช้หนี้สินจนมาถึงทุกวันนี้

ตอนนั้นบริษัทเจ๊งเป็นหนี้ขึ้นศาล ฟ้องร้องกัน ทำคุณแม่เดือดร้อน คือต้องไปกู้เงินแบงก์มาใช้หนี้ คนที่ติดหนี้เราก็ไม่ยอมใช้ มีคดีประมาณ 5-6 คดีที่สู้กันในศาล ซึ่งทำให้เรารู้สึกดาวน์มาก ๆ เสียใจแต่ยังไงก็ยังสู้อยู่ เราก็สู้ด้วยงาน ก็เลยลองทำทุกอย่างที่ผมทำได้ คิดว่าต้องทำให้สำเร็จ ลองทำไปก่อน ถ้าจะล้มลุกคลุกคลานก็ทำไป มันก็เลยทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นมา ไม่เคยปรึกษาใครคือสู้ด้วยตัวเองเสมอ คำตอบมันตอบตัวเราเองอยู่แล้ว ถ้าเราเฟลแสดงว่าเราทำไม่ดีพอ เพราะชีวิตมีขึ้นมีลงเสมอ ตอนที่เราทำได้ดีมันก็ดี ตอนที่เราทำไม่ดีมันก็เฟล ถึงล้มลุกคลุกคลานแต่ต้องทำให้เต็มที่

Before Sunrise

KH : จนถึงทุกวันนี้ก็ทำธุรกิจเป็นสิบอย่างดีบ้างล้มบ้าง เงินจากตรงนี้ก็เอามาโปะตรงนั้น คือธุรกิจมันเฟล สายการบินเฟลก็เสียเงิน ร้านอาหารเฟลก็เสียเงิน แต่เราเป็นคนที่ว่าไม่ยอมแพ้ คือได้เงินก็เอามาหมุน สู้ไปสู้มาก็เลยเป็นจุดที่ว่าไม่กลัวที่จะล้ม ไม่กลัวที่จะลอง ภายนอกดูสบาย ถ้าเทียบกับคนอื่นก็คงไม่ลำบาก ไม่เคยคิดว่าตัวเองลำบากเพราะว่าเราจะมองคนอื่นที่เค้าด้อยกว่า ดูคนที่รอบข้างเราที่เขาไม่ได้ประสบความสำเร็จ แล้วเรามาถึงขนาดนี้แล้วจะไปมองด้านที่มันไม่ดีทำไม เราก็ควรเก็บเกี่ยวความรู้สึกดี ๆ สิ่งที่จะทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจที่จะเดินต่อไปข้างหน้า

ไม่ใช่ผมไม่อยากมีครอบครัวแต่ว่าผมไม่ได้หา เราก็ไม่ได้ปิดกั้นนะ แค่รู้สึกว่างานเรามันยังไม่จบมีอะไรอีกเยอะที่ต้องทำ อย่างที่บอกผมเสียเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเพราะต้องทำงานใช้หนี้ใช้สิน คืออารมณ์ที่ทำเพลงมันหายไป ผมต้องไปลงทุนทำโน่นทำนี่ ตอนนี้เพิ่งกลับมาดีขึ้น เลยรู้สึกว่าหน้าที่การทำเพลงที่เราทิ้งไปประมาณ 10 ปี เพลงของไทยเทเนี่ยมออกมาน้อยมาก เพลงของตัวเองก็ไม่เคยทำ อย่างเดย์หรือเวย์ก็ทำของตัวเอง แต่ผมไม่เคยได้ทำของตัวเอง เราก็เลยรู้สึกว่าหน้าที่นี้เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่เราต้องทำเพราะฉะนั้นก็โฟกัสในสิ่งที่เราควรจะโฟกัส ทำอะไรที่เรามีความสุข แต่ว่าเรื่องการสร้างครอบครัวก็ไม่ได้ปิดกั้นครับ...แค่ยังไม่เจอ

ผมเป็นคนที่อินกับคำสอนของศาสนาพุทธ เมื่อสองปีที่แล้วได้ไปบวช ตอนนั้นเป็นวันเกิดอายุ 39 ปี ก็รู้สึกว่าปีหน้าจะ 40 แล้ว คิดว่าจะทำอะไรดีจัดปาร์ตี้อย่างเคยดีมั้ย เพื่อนเยอะแยะมากมาย มีความสุข มีแต่คนมาอวยพร เอาของขวัญมาให้ แต่คิดไปคิดมาก็เบื่อ เลยให้ของขวัญตัวเองดีกว่า เลยอยากลองทำอะไรที่ว่าไกลสุดในสมอง เลยปิ๊งขึ้นมาว่าไปบวชสิ ซึ่งหนีมาตลอด การได้ไปบวช เหมือนได้เปิดโลก เปิดสมองให้เราได้รู้ชัดเจนมากขึ้น ได้ปล่อยวางได้ไปอยู่วัดป่า ได้อยู่กับตัวเองไม่มีโทรศัพท์ ได้ไปกวาดพื้น ได้คิดทบทวน ยิ่งไปเป็นเจ้าของอะไรมากติดโน่นติดนี่ สะสมแล้วมันยังไง มันมาแล้วมันก็ไป เดี๋ยวเราก็ตายแล้ว ได้ความรู้สึกตรงนั้นมายิ่งปลงเข้าไปใหญ่

การไตร่ตรองเป็นอะไรที่ทุกคนควรทำก่อนที่จะพูด หรือทำอะไรลงไป บางทีถึงไตร่ตรองแล้วก็ยังพลาดได้ บางทีมันไม่ใช่ว่าการไตร่ตรองรอบคอบแล้วมันจะไม่ล้ม คำแนะนำที่ดีที่สุดคือต้องปลง ถ้าล้มก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ แต่ถ้าทำได้ดีแล้วก็อย่าเหลิงไป เดินให้มันสายกลางผมว่าคำสอนเรื่องทางสายกลางนำไปใช้ได้กับทุกอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องความรัก เรื่องความผิดหวัง เรื่องหน้าที่การงาน เรื่องครอบครัว 

การมีความสุขมันก็อยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าเราไปวนเวียนอยู่กับความโกรธ ความโลภ ความหลง ความอิจฉา มันก็จะทำให้เราวนเวียนอยู่ในจุดนั้น โลกเราจะไม่สว่าง แล้วความสุขก็จะกลายเป็นว่าเรามีแค่นี้แต่เราไปอิจฉาคนที่มีเท่านี้ ทำไมเราไม่มองคนที่น้อยกว่านั้นที่เขาอิจฉาเราว่าเรามีเท่านี้ ผมคิดว่าถ้าทำตรงนั้นได้ทุกอย่างในชีวิตมันก็ตอบคำถามตัวเองได้หมด ก็จะมีความสุขกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย มาตรฐานก็คือตรงกลาง เมื่อไม่ขึ้นไม่ลงไม่ซ้ายไม่ขวามันก็จะเดินไปอย่างราบรื่นมากที่สุดครับ

Know Him

•    ผลงานอัลบั้มของ ThaitanIum: AA (พ.ศ. 2543), Thai Riders (พ.ศ. 2545), OST. P77 (พ.ศ. 2546), R.A.S. (Resisting Against da System) (พ.ศ. 2547), Thailand’s Most Wanted (พ.ศ. 2548), EP. Thaitanium Limited Edition (พ.ศ. 2551), Still Resisting (พ.ศ. 2553), NOW (พ.ศ. 2560) 
•    BangBangBang คือผลงานโปรเจกต์พิเศษ ที่ทำร่วมกันเพื่อนชาวออสเตรเลีย คีซี (Keezy) มาทำเพลงแนว EDM ภายใต้สังกัด มิวส์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ กรุ๊ป (Muse Entertainment Group หรือ MEG) โดยรับหน้าที่เป็นดีเจ หลังจากวางมือไปถึง 18 ปี
•    รายการ The Rapper คือรายการที่ ขันเงิน เป็นโปรดิวเซอร์ร่วมกับ โจอี้บอย และเป็นการร่วมงานกันอีกครั้งในรอบเกือบ 20 ปี

Photo : Nutchanun Chotiphan

ขันเงิน เนื้อนวล : Business & Life ชีวิตหลังไมค์ กับใจเกินร้อย