สัมผัสประวัติศาสตร์ภาพ ในและนอกอาเซียน - โลกที่ยังคงปั่นป่วน
โลกที่ยังคงปั่นป่วน
น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งที่เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลายเมือง ในหลายประเทศ ไม่ว่าประเทศใหญ่หรือเล็ก อยู่ในทวีปไหนของโลก ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องประกาศล็อคดาวน์กันอีก ทั้ง ๆ ที่บางเมืองประชากรในเมืองเหล่านั้นได้รับการฉีดวัคซีนกันครบสองครั้งแล้ว แต่ปรากฏการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด-19 ก็ยังไม่ได้ผล มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ และทำให้ต้องประกาศปิดเมืองกันอีกอย่างไม่น่าเชื่อ และทำให้เห็นว่าภาวะ ปั่นป่วนของโลกยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหน
ในกลุ่มประเทศอาเซียนของเรา แทบทุกประเทศ ปัญหาและผลกระทบยังคงดาหน้ากันเข้ามา ตัวเลขผู้ได้รับเชื้อก็ยังคงสูงแม้จะฉีดวัคซีนกันไปแล้วก็ตาม ยิ่งประเทศที่ประชากรมาก ๆ อย่างอินโดนีเซีย ก็ยังคงไม่สามารถเอาชนะได้ ฟิลิปปินส์ก็อ่วม มาเลเซียก็เช่นกัน แม้แต่สิงคโปร์ที่มีมาตรการรับมืออย่างค่อนข้างมีประสิทธิภาพและมีระบบการจัดการที่ดีก็ยังไม่อาจวางใจได้เต็มที่ สำหรับของไทยเราเองนั้น การตั้งรับในช่วงแรกทำได้ดีแต่พอเผลอไผลไปหน่อยเดียว เราต้องเจอการล็อคดาวน์เข้าไปเป็นรุ่นสามแล้ว และรุ่นสี่รุ่นห้าก็ดูท่าว่ากำลังคืบคลานเข้ามาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งในการล็อคดาวน์แต่ละครั้งเป็นเรื่องที่ปวดร้าวใจและความรู้สึกมาก เพราะส่งผลกระทบไปในวงกว้าง ความสูญเสียมากมายที่เกิดขึ้นแบบรวดเร็วกับผู้คนไม่ว่าจะร่ำรวย มีชื่อเสียง หรือชาวบ้านชาวช่อง คนธรรมดา แล้วยังความยากลำบากใน การทำมาหากิน รายได้ที่ขาดหายไป ล้วนเป็นความทุกข์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลยจริง ๆ
จนเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้เอง การประกาศปิดเมืองซันติอาโกออกไปจนถึงเดือนกันยายน ทำให้ผู้เขียน ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นกับคุณประภัสสรมาแล้วหลายปี อดไม่ได้ ที่จะกลับไปค้นหาภาพและนำบรรยากาศบางมุมในซันติอาโก มาให้ท่านผู้อ่านได้สัมผัสประวัติศาสตร์หลังภาพกันในฉบับนี้ จะว่าไปแล้ว ซันติอาโกถือเป็นเมืองหลวงที่อยู่ใต้สุดของโลกเลยก็ว่าได้ มีประชากร 6 ล้านคน ส่วนใหญ่มีเชื้อสายเยอรมัน ที่พากันมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ตั้งแต่สมัยฮิตเลอร์ มีทั้งที่อพยพมาตามคำชวนเชิญของรัฐบาลสมัยก่อนที่ต้องการได้พลเมืองที่มีคุณภาพอย่างชาวเยอรมัน มาอยู่กันแถบทางใต้ของประเทศเพื่อช่วยเป็นกันชนไม่ให้พวกมาปูเช ชนพื้นเมืองที่เป็นนักรบและไม่ยอมให้รัฐบาลกลางเข้าไปยุ่งกับพวกตน ขยายอาณาเขตขึ้นมาได้ง่าย ๆ นัก นอกจากนี้ ก็มีประเภทอดีตแกสตาโปโหด ๆ ที่มีชื่อเสียงดุร้ายสมัยฮิตเลอร์หนีมาหลบซ่อนตัวอยู่หลายคน แต่ในที่สุดก็ไม่รอดจากการถูกตามล่า ตอนที่เรายังอยู่ที่นั่นก็มีการจับตัวได้และเป็นข่าวใหญ่
แต่เชื้อสายประชากรสำคัญ ๆ นอกจากชาวพื้นเมืองและเยอรมันแล้วก็คือชาวสเปน ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกยึดครองเริ่มจากเปรูไล่ลงมาจนถึงชิลี แม้จะเหลือเนื้อที่แค่แคบ ๆ ยาว ๆ ที่ลาดลงมาจากเทือกเขาแอนดีสไล่ยาวเลาะเลียบมหาสมุทรแปซิฟิกไปจนสุดปลายแหลมก็ตาม พื้นที่ช่วงที่กว้างที่สุดของชิลีก็กว้างประมาณแค่ 240 กิโลเมตรเท่านั้น นอกนั้นก็ ยาวเลาะเลียบลงมาจนสุดปลายแหลม บรรยากาศทางเหนือกับทางใต้จึงแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่ก็สวยงามในแบบฉบับที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว การประกาศขยายเวลาปิดเมืองซันติอาโกของชิลีในครั้งนี้จึงสร้างความตระหนกและตระหนักให้กับอีกหลาย ๆ ประเทศว่า อย่าได้ประมาทกับไวรัสโคโรนาตัวนี้เป็นอันขาด
กลับมาดูภาพบรรยากาศของเมืองซันติอาโกกันค่ะ ด้วยความที่เป็นพื้นที่ราบเชิงลาดเขาแอนดีส ช่วงที่เป็นเมือง ซันติอาโกจึงเป็นเหมือนแอ่งกระทะ ซึ่งอยู่บนเนินที่ราบสูง 500 กว่าเมตร มีภูเขาสูงล้อมรอบ มีแหล่งเล่นสกีได้ แต่ในตัวเมืองที่มีความทันสมัยสะดวกสบาย ถนนหนทางดี ผู้คนมีการศึกษาดี ฐานะค่อนข้างดีมีรถขับขี่กันแทบทุกบ้าน มลภาวะทางอากาศจึงเป็นเรื่องปกติของเมืองใหญ่แห่งนี้ บ้านเราซึ่งอยู่ออกไปทางเนินเขาชานเมือง วิวจากขอบหน้าต่างทางขวามือก็จะมองเห็นภูเขาสูงที่เป็นแหล่งเล่นสกี ที่อยู่ไม่ไกลนัก ได้ทุกวัน นอกจากวันที่อากาศไม่ดี ส่วนในตัวเมือง โดยเฉพาะจากชั้น 15 ในตึกที่เป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตไทยในชิลี ก็ทำให้มองเห็นวิวภูเขาได้อย่างชัดเจน ห้องทำงานของคุณภัสสร เมื่อเข้าไปจะอยู่ด้านหน้าและได้วิวมุมซ้ายมือของตึกด้วย
เรามีวิวภูเขาจากด้านหน้าด้านข้าง และวิวในตัวเมืองใหม่ให้เห็นทุกวันเช่นกัน ดังนั้น เมื่อไหร่ที่อากาศแย่เพราะท่อไอเสียรถยนต์ที่ไม่มีทางระบายออกไป ก็จะขึ้นไปออกันบนท้องฟ้ารอบ ๆ เมือง ทำให้ท้องฟ้าทะมึน หม่นมัว ดูน่ากลัว โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นราบและในตัวเมือง แต่ยังดีที่หลังจากอากาศแย่ ๆ สักวันสองวัน ก็จะมีฝนตกลงมา ทำให้มลภาวะดังกล่าวถูกชำระ และคลายหายไป ท้องฟ้าก็จะกลับมาสดใสอีกครั้งหนึ่ง ชีวิตของ พวกเราที่นี่ก็จะวนเวียนอยู่เช่นนี้ ดังนั้น คนที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก ก็จะได้รับโรคภูมิแพ้แถมมาด้วย
ภาพที่นำมาฝากกันจะเห็นกลุ่มหมอกเมฆสีดำ ของมลภาวะครอบคลุมบริเวณตัวเมืองซันติอาโกได้ชัดเจน นอกจากนั้นก็จะเป็น บรรยากาศกลางเมืองที่ผู้คนในยุคนั้นไปหาความเพลิดเพลินกัน เวลามีตลาดนัดในเมือง เดินดูโน่นนี่ ชมการแสดงจากนักแสดงขาจรที่นำความสุขมามอบให้เป็นครั้งเป็นคราว และหวังใจว่าในอนาคตอันใกล้นี้โลกคงจะหายปั่นป่วน และ มีวิธีการกำจัด โควิด-19 ให้พวกเราได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข กันเหมือนเดิมเสียที