สุขและเศร้าที่เคล้ากัน

สุขและเศร้าที่เคล้ากัน

ความเศร้าที่ไม่มีวันจางหาย และความสุขใหม่ ๆ ที่เคลื่อนเข้ามา ปกติเดือนธันวาคของทุกปีจะเป็นเดือนที่มีการเฉลิมฉลองหลายเทศกาลของไทยเราสำคัญยิ่งที่สุดก็คือวันที่ 5 ธันวาคม อันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและเป็นวันพ่อแห่งชาติ

ซึ่งเหล่าพสกนิกรทุกหมู่เหล่าทั่วประเทศจะร่วมกันจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ตามบ้านเรือน สถานที่ราชการมีการประดับธงสีเหลืองมีตราสัญลักษณ์ ภปร. กันเป็นทิวแถวแต่เหนือกว่านั้นก็คือในกรุงเทพมหานครบนถนนราชดำเนินและบริเวณใกล้เคียง ส่วนราชการต่าง ๆ ก็จะประดับไฟอย่างสวยงามโดยเฉพาะบนต้นมะขาม เกาะกลางถนนบนเสาไฟที่มีนางกินรีร่ายรำอยู่บนยอด... มีซุ้มประดับอย่างสวยงามมากมายให้ผู้คนพากันจูงลูกจูงหลานมาดูไฟประดับอย่างตื่นตะลึงโดยเฉพาะคนต่างจังหวัดจะเหมารถมาให้ได้เห็นความสวยงามในค่ำคืนเหล่านี้ คนที่เป็นตากล้อง ช่างภาพทั้งระดับมืออาชีพและสมัครเล่นก็จะพากันสะพายกล้องและขาตั้งกล้อง เก็บภาพความงดงามของไฟประดับเหล่านี้ไว้ หนุ่ม ๆ สาว ๆพากันมาเก็บภาพความประทับใจ และช่างภาพมือใหม่ทั้งหลาย ก็ไม่พลาดโอกาสนี้ เป็นความสุขที่สุดในเดือนนี้ที่แทบทุกคนในแผ่นดินไทยได้รับมานานนับสิบ ๆ ปี และอยู่ในความทรงจำเสมอมา และภาพที่สัมผัสใจในครั้งนี้ก็คือภาพเหล่านี้แหละค่ะ 

แต่นับจากเดือนธันวาคม 2559 นี้เป็นต้นไปความสุขทางสายตาเหล่านี้คงจะไม่มีให้เราได้ชมกันอีกแล้ว ใจเศร้าสร้อยของคนไทยที่รักในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังคงร่ำให้อยู่อย่างไม่เสื่อมคลายยากนัก ยากเหลือเกินที่จะทำใจให้ยอมรับได้แม้จะรู้ดีว่านี่เป็นสัจธรรมที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บอกเราทุกคนที่นับถือศาสนาพุทธไว้แต่ต้นแล้วว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรจีรัง มีเกิดก็ต้องมีดับและเมื่อทุกข์เกิดได้ ทุกข์ก็ดับได้ถ้าเราเข้าใจ ความสุขเกิดได้ก็ดับได้อย่าไปติดยึด คนเกิดได้ ก็ต้องดับได้เช่นกัน นั่นเพียงแต่ใจเราเท่านั้นที่ไม่ยอมรับความจริงตรงนี้ โดยเฉพาะถ้าเป็นคนที่เราเคารพรักบูชาอย่างสูงสุด เรายิ่งแทบจะไม่สามารถยอมรับความจริงตรงนี้ได้เลย 

แต่นั่นคือความจริง และยิ่งกว่าจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2559 ความจริงที่สร้างความชอกช้ำสูญเสียและอาดูรให้กับคนไทยทั้งชาติ 19 วันในเดือนตุลาคม 30 วันตลอดเดือนพฤศจิกายน และ 5 วัน ในเดือนธันวาคมที่เราเคยเฝ้ารอที่จะได้เปล่งเสียงถวายพระพร “ทรงพระเจริญ” รอที่จะสวมเสื้อสีชมพู หรือสีเหลือง ตามแต่จะมีการประกาศขึ้นมา เราเคยเห็นภาพผู้คนสวมเสื้อสีเหลืองมืดฟ้ามัวดินเต็มลานหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม เราเคยเห็นคนสวมเสื้อสีชมพูแน่นโรงพยาบาลศิริราช ใบหน้าแต่ละคนล้วนมีแต่ความสุขที่ได้มาเฝ้าพระองค์ท่าน แม้จะเป็นเพียงธุลีดินเล็ก ๆ ในแถวที่แน่นขนัดเหล่านี้ หลายพันหลายหมื่นคนไม่มีโอกาสได้มองเห็นพระองค์หรอกแต่ใจของพวกเขาเหล่านั้นต่างหากที่เห็นพระองค์อยู่ตลอดทุกวินาทีที่ได้มาร่วมยืนเฝ้าถวายความจงรักภักดีได้เปล่งเสียงทรงพระเจริญ

ในวันนั้นแม้พระองค์จะไม่สามารถทอดพระเนตรเห็นทุกใบหน้าของพสกนิกรของพระองค์ได้ทั้งหมด แต่สีเหลืองที่ทุกคนสวมใส่แน่นและยาวสุดลูกหูลูกตานั้นทำให้พระองค์ทรงมีความสุข มีรอยแย้มพระสรวลน้อย ๆ เปี่ยมด้วยความสุขส่งมาให้กับทุก ๆ คนที่มาเฝ้า ถวายกำลังใจให้พระองค์ คำพูดของคุณยายคนหนึ่งที่เคยบอกว่า “ยายไม่ได้มาดูในหลวงหรอกแต่ยายมาให้ในหลวงดูว่ามีคนรักท่านมากมายแค่ไหน” เป็นสิ่งสะท้อนที่หลาย ๆ คนก็คิดแบบนี้เช่นเดียวกัน แม้ใจเราไม่อาจฝืนความเศร้าโศกเสียใจในครั้งนี้ได้ แต่ชีวิตของคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ต้องเดินต่อไปให้ได้ ไม่มีใครจะหลีกหนีสัจธรรมการเกิดการดับได้ เมื่อความทุกข์ยิ่งใหญ่ถาโถมเข้ามาแบบนี้ มันสร้างความชอกช้ำ ปวดร้าวใจเกินกว่าจะรับไหว แม้จนถึงวินาทีนี้ หลายหมื่นหลายแสนคนยังไม่อาจหักห้ามใจให้หยุดร้องไห้คิดถึงพระองค์ได้ กระแสความเศร้าเสียใจ ได้เกิดขึ้นแต่ในเฉพาะประเทศไทย แต่แผ่กระจายกระหึ่มไปทั้งโลก เป็นสิ่งมหัศจรรย์มากที่คนทั้งโลกยกย่องเทิดทูนพระองค์ท่านและรู้สึกถึงความสูญเสียร่วมไปกับคนไทยในครั้งนี้ 

เมื่อทุกข์เกิดขึ้นแล้วโดยวัฏจักรก็ย่อมมีความสุขเกิดขึ้นตามมา และเมื่อช่วงเวลาแห่งความสุขมาถึง เราก็จะได้ความสุขแนวใหม่ ได้สิ่งใหม่ ๆ ตามแนวทางใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไป แต่ ณ เวลานี้สิ่งที่เราทำได้คือ เก็บพระองค์ไว้ในส่วนลึกของหัวใจระลึกและทำตามที่พระองค์ทรงทำเป็นแบบอย่างไว้ ช่วยกันทำให้ประเทศชาติเจริญ แข็งแกร่งด้วยวิถีพอเพียง เป็นคนดี รักสามัคคีและช่วยกันพัฒนาประเทศชาติให้อยู่ยงยืนนาน แน่นแฟ้น เพื่อให้ลูกหลานของเราในอนาคตยังคงได้อยู่ในประเทศไทยตลอดไปตราบนานเท่านาน 

ความเศร้าที่ไม่มีวันจางหาย และความสุขใหม่ ๆ ที่เคลื่อนเข้ามา