ตำนานการรักษาโรค

ตำนานการรักษาโรค

ผมคิดมาเสมอว่า ตำนานเรื่องไหนที่ควรนำมาเขียนในเดือนธันวาคม เดือนส่งท้ายของปี 2558 ผมพยายามหาเรื่องราวที่มีค่ามากมายทั้งจากตำราหนังสือหรือเรื่องเล่าที่ได้รับการเรียบเรียงจาก Blog ต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้ผมตัดสินใจเขียนออกมาได้ แต่เชื่อหรือไม่ครับว่าเรื่องราวดี ๆ บางครั้งก็เป็นเรื่องที่เกิดกับตัวเอง และเราเกือบจะลืมมันไปแล้ว เรื่องดังกล่าวมีอยู่ว่า... 

ครั้งหนึ่งในวัยเด็กราว ๆ อายุ 12 ปี สมัยนั้นผมได้ไปเรียนเป็นเด็กประจำที่โรงเรียนคริสต์คาทอลิคแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี ครั้งนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายโยกย้ายคุณพ่ออธิการบดีผู้ดูแล คุณพ่ออธิการคนเก่าได้ถูกสับเปลี่ยนให้ไปดูแลโรงเรียนแสงทองที่ภาคใต้ ส่วนคุณพ่ออธิการบดีคนใหม่ ประสบอุบัติเหตุต้องพักรักษาตัว เป็นเหตุให้คุณพ่อเจ้าคณะเครือซาเลเซียนขณะนั้นคือ คุณพ่อบาทหลวง ประธาน ศรีดารุณศีล (ปัจจุบันครองตำแหน่งเป็นพระสังฆราชโยเซฟ ประมุขสังฆมณฑลประเทศไทย) มาทำหน้าที่คุณพ่ออธิการบดีชั่วคราวในโรงเรียนที่ผมศึกษาอยู่  

ผมในวัยนั้นด้วยความที่เป็นเด็กประจำกินนอนที่โรงเรียน จะมีความใกล้ชิดกับบรรดาคุณพ่อบาทหลวง และบราเดอร์ มากกว่าเด็กที่เรียนไปกลับ จึงได้มีโอกาสได้พบพูดคุยใกล้ชิดกับคุณพ่ออยู่บ่อยครั้ง 

เรื่องราวที่อัศจรรย์กับชีวิตก็ได้เกิดขึ้น ด้วยความซนและความไม่อยู่นิ่ง เกิดเหตุที่ทำให้ผมต้องชดใช้ความซนนั้นด้วยนิ้วนางมือซ้ายที่หักผมทรมานอยู่เป็นอาทิตย์ เพราะนอกจากจะทรมานกับนิ้วที่หักแล้ว ยังต้องทรมานกับเล็บที่หลุดออกไปด้วย ผมกำมือไม่ได้ เล่นกีฬาใด ๆก็ไม่ได้ เพราะมันกระทบเจ็บไปหมด คุณพ่อ ประธานฯ ท่านผ่านมาเห็นพอดี ท่านก็เลยถามว่า 

“ไปทำอะไรมา” ท่านถามและผมก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่ประสบอุบัติเหตุแล้วท่านก็พูดขึ้นมาคำหนึ่งว่า “เอ้า...ลองดูหน่อยก็แล้วกัน” ท่านเอามือข้างหนึ่งช้อนมือผมข้างที่เจ็บขึ้นมา แล้วนำมืออีกข้างของท่าน แผ่เหมือนสวดอวยพรอยู่ ระหว่างนั้นผมรู้สึกถึงไอร้อนปรากฏที่มือข้างที่เจ็บอยู่ตลอด ไม่เกิน 5 นาที ท่านก็พูดว่า “ลองดูซิ กำมือได้หรือยัง” สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผมกำมือได้จากที่กำมือไม่ได้ อาการเจ็บลดลงไปมากเกือบหายสนิท อาการนิ้วอักเสบบวมค่อย ๆ ลดลงไปตามลำดับ จากนั้นคุณพ่อท่านก็ยิ้มแล้วเดินจากไป 

ผมอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก คิดขึ้นทันทีว่าเรื่องอย่างนี้ไม่เกิดขึ้นกับตัวนั้นคงไม่มีใครเชื่อ แต่ในบรรดาหมู่บาทหลวงด้วยกันก็เป็นที่ทราบกันดีว่า คุณพ่อประธานฯ ท่านนี้สามารถรักษาคนเจ็บได้ นั่นคือเหตุการณ์แรกที่ผมได้พบ จากนั้นผมก็ได้เห็นคนแปลกหน้าหลายกลุ่มเดินทางมาหาคุณพ่อประธานฯ ที่โรงเรียนเพื่อรักษาอาการโรคต่าง ๆอยู่บ่อยครั้ง จนคุณพ่ออธิการบดีที่ประสบอุบัติเหตุ หายดีจากอุบัติเหตุกลับมาทำงาน ท่านจึงได้เดินทางออกจากโรงเรียนของผมไปประจำที่อื่น (ภายหลังทราบจากคุณพ่ออธิการบดีว่า คุณพ่อประธานฯ ท่านได้มาช่วยรักษาท่านด้วย) ผมมีความสนใจใคร่รู้ในเรื่องของการรักษาโรคด้วยพลังทางศาสนาคริสต์ชนิดนี้เป็นอย่างมาก พยายามหาข้อมูลมาอ่านสะสมอยู่เรื่อย ๆ แต่ข้อมูลที่ได้รับการบันทึกนั้นมีอยู่น้อยมากน้อยเสียเหลือเกิน ข้อมูลแรกที่ผมทราบก็คือการรักษาโรคอย่างนี้ มีการประกอบเป็นพิธีในโบสถ์เป็นหมู่คณะเหมือนกัน พิธีแรกนี้มีชื่อว่า พิธีศีลเจิมคนไข้ (Anointing of the Sick) เป็นศีลที่โปรดให้สำหรับผู้ป่วยที่อ่อนกำลังในสภาพที่น่าเป็นห่วงหรือกำลังจะสิ้นใจ เป็นการเตรียมจิตใจให้ยึดมั่นในความเชื่อ และเพื่อการฟื้นฟูสภาพทั้งกายและจิตใจ พิธีกรรมมีเครื่องหมายสำคัญคือ การเจิมน้ำมันที่หน้าผากและฝ่ามือทั้งสองข้าง คนไข้ที่จะรับศีลเจิมนี้ส่วนมากจะอยู่ในขั้นร้ายแรง บาทหลวงจะเป็นผู้ทำพิธีกรรมโดยเริ่มตั้งแต่อ่านบทอ่านจากพระคัมภีร์เทศน์เตือนใจ ปกมือศีรษะคนไข้แล้วเสกน้ำมัน เจิมน้ำมันที่หน้าผากและมือหรืออาหเพิ่มเติมในที่อื่น ๆ แล้วแต่ความเหมาะสม ศีลเจิมคนไข้เป็นศีลที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับสุขภาพดีคืนมาแต่ถ้าคนไข้ตายแล้ว บาทหลวงจะไม่ประกอบพิธีใด ๆ นอกจากสวดภาวนาขอพระเจ้าอภัยบาปให้ ซึ่งพิธีศีลเจิมคนไข้นี้ จะกระทำขึ้นบนตัวบุคคลที่เป็นชาวคริสเตียนเพียงครั้งเดียวในชีวิตเขาเท่านั้น

ส่วนอีกพิธีหนึ่งคือ พิธีปกพระจิต ซึ่งพิธีนี้เป็นการที่บาทหลวงทำการ “ปกมือ” บนศีรษะของผู้ป่วย โดยผู้ที่ทำการรักษานั้นจะทำการนั่งบนเก้าอี้ พร้อมแบมือสองข้างวางอยู่ที่ตัก ระหว่างนี้บาทหลวงจะทำการสวดอวยพรพร้อมแผ่พลังให้หายจากการเจ็บไข้ และโรคภัยไข้เจ็บที่ประสบ ซึ่งจะทำไปพร้อม ๆ กับการเทศน์สอนคำสอนของพระเยซูคริสต์เจ้า ให้ผู้ที่ได้รับการรักษารับฟัง สิ่งที่ผมทราบมาอีกอย่างหนึ่งคือ การทำการรักษาด้วยวิธีนี้ ใช่ว่า“บาทหลวง” ทุกคนจะสามารถกระทำได้ จะมีเพียงแค่บางองค์เท่านั้นที่ได้รับพรจากพระเจ้าให้ทำหน้าที่รักษาบรรดาคริสตชนและเหล่าผู้ที่มีจิตศรัทธานี้ได้และนับว่าเป็นพรจากพระเจ้าที่หาได้ยากยิ่ง 

ผมพยายามสืบค้นหาข้อมูลทั้งจากบันทึกในอดีตและปัจจุบัน ว่ามีบาทหลวงท่านใดอีกบ้างที่ได้รับพรความสามารถในการรักษาจากพระเจ้าดังกล่าว ผลที่ได้ถึงแม้จะน้อยแต่ก็ทำให้ทราบว่าผู้มีความสามารถนี้ที่รู้จักกันดีคือ คุณพ่อนักบุญ “ดอน บอสโก” บิดาแห่งโรงเรียนในเครือซาเลเซียนทั่วโลกนั่นเอง และความสามารถในการรักษาดังกล่าวนี้ได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการก่อตั้งคณะโรงเรียนซาเลเซียนอีกด้วย 

โดยเมื่อราว ๆ ปี ค.ศ. 1875 ในเหตุการณ์ครั้งนั้นคุณพ่อบอสโก มีความต้องการที่จะก่อตั้งคณะซาเลเซียน แต่กลับประสบความยากลำบากในการได้รับอนุมัติสำหรับวินัยของคณะซาเลเซียนที่จะก่อตั้งขึ้น พระเป็นเจ้าทรงให้ท่านทำอัศจรรย์รักษาโรคแก่ผู้มีอำนาจในพระศาสนจักรหลายคน ซึ่งคนเหล่านั้นขัดขวางการอนุมัตินี้อยู่โดยหลัก ๆ มีอยู่สามท่านคือ

พระคาร์ดินัล Simon Svegliati ท่านเป็นไข้หวัดใหญ่รุนแรง คุณพ่อบอสโกได้ไปเยี่ยมท่านและได้รักษาท่านให้หายภายในชั่วข้ามคืน

ท่านต่อมาคือพระคาร์ดินัล Antonelli ท่านเป็นโรคเก๊าท์ เจ็บปวดขามากจนไม่สามารถเดินได้ คุณพ่อบอสโกได้ไปเยี่ยม แล้ววันรุ่งขึ้นพระคาร์ดินัลก็หายเจ็บขาสามารถเดินได้ตามปกติ 

คนสุดท้ายหลานชายอายุ 11 ปี ของพระคาร์ดินัล Berardi กำลังจะเสียชีวิตด้วยโรคไทฟอยด์ พระคาร์ดินัลขอร้องให้คุณพ่อบอสโกช่วย คุณพ่อได้สวดภาวนาที่เตียงผู้ป่วย ต่อมาเด็กก็หายจากโรคร้าย   

โดยในการรักษาแก่ผู้มีอำนาจทางศาสนจักรดังกล่าวก่อนการรักษาคุณพ่อบอสโกจะขอให้ท่านเหล่านี้ช่วยออกเสียงรับรองวินัยคณะในการก่อตั้งคณะซาเลเซียนเป็นการตอบแทน และการออกเสียงของพวกท่านก็ทำให้การก่อตั้งคณะซาเลเซียนประสบผลสำเร็จ และแผ่ขยายมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง 

และอีกท่านหนึ่งในปัจจุบันที่เป็นที่กล่าวถึงคือคุณพ่อ คอร์ซี่ เลอแกซปี้ ท่านเป็นชาวฟิลิปปินส์ และเป็นพระสงฆ์ประจำสังฆมณฑลทามุส จังหวัดคอร์เต้ ประเทศฟิลิปปินส์ ตามประวัติของท่านนั้นท่านได้รับพระพรในการรักษาผู้ป่วยภายหลังจากบวชได้ปีเศษ และท่านได้ตระเวนรักษาตามสถานที่ต่าง ๆ มาแล้วทั่วโลกกว่า 20 ปี รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งครั้งหนึ่งได้ทำการรักษา คุณปิ่น เก็จมณี วรรธนะสิน ดารานักแสดงมีชื่อของประเทศไทย ให้กลับมาเดินได้อีกครั้งจากอาการกระดูกตายที่สะโพกข้างซ้าย 

คุณพ่อคอร์ซี่ ได้เดินทางมาที่ประเทศไทย และเพิ่งเดินทางกลับประเทศฟิลิปปินส์ไปเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีกำหนดการเดินทางมาเยือนประเทศไทยอีกครั้งในเดือนเมษายน ปี 2559 ซึ่งสำหรับผู้มีจิต ศรัทธาและความเชื่อ อยากพบกับความอัศจรรย์ของชีวิตกับตัวเอง ก็สามารถเดินทางมาสัมผัสได้ด้วยตนเองครับ ส่วนสถานที่จะเป็นที่ใดนั้น ทางเราจะทำการติดตามและแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

สำหรับ Legend ฉบับส่งท้ายปีฉบับนี้ ขอกล่าวคำว่าสวัสดี และขอให้ความสุข ความเจริญจงอยู่คู่กับทุกท่านด้วยครับ 

พิธีปกพระจิต