ยอดชาย เมฆสุวรรณ

ยอดชาย เมฆสุวรรณ

หลายๆ คนจดจำเขาในบทบาทพระเอกชื่อดังระดับตำนานของวงการบันเทิงไทย หนึ่งในนักแสดงมากความสามารถ เขาแสดงภาพยนตร์มากว่า 200 เรื่อง เรียกว่าหนังไทยในยุคนั้นจะต้องมีพระนางคู่ขวัญอย่าง ยอดชาย เมฆสุวรรณ ประกบกับ ภาวนา ชนะจิต เป็นตัวชูโรง แต่อีกด้านหนึ่งเขาเป็นศิลปินผู้อุทิศชีวิตและลมหายใจให้กับงานศิลปะอย่างแท้จริง

วิเชียร เมฆสุวรรณ คือชื่อจริงของ ยอดชาย เมฆสุวรรณ แถมท่านยังเป็นประติมากรมือฉกาจ หลงใหลในศิลปะทั้งงานเขียนรูป และงานปั้นเป็นอย่างมาก เป็นผู้ริเริ่มที่คิดปั้นหุ่นขี้ผึ้งของนักแสดงไทยในอดีต ปัจจุบันท่านได้ทุ่มเทให้กับการทำงานศิลปะ สร้างพิพิธภัณฑ์บันเทิงไทย ‘ยอดชายเมฆสุวรรณ Museum of Art’ ขึ้นมาที่ถนนบรมราชชนนี บนพื้นที่กว่า 8 ไร่ 

“แรงบันดาลใจแรกที่ทำให้ชื่นชอบและหลงใหลในงานศิลปะคือตั้งแต่สมัยเด็กๆ หลวงปู่ที่เลี้ยงผมมาท่านพยากรณ์ว่าผมจะต้องขายเงากิน ตอนแรกก็คิดว่าคงจะไปเล่นหนังตะลุง พอดีเรายากจนมีความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบาก พุทธองค์บอกว่า ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรมผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผมเห็นสัจธรรมของการเกิดการตายตั้งแต่เด็กๆ มีอยู่วันหนึ่งไปถางหญ้าหลังกุฏิ ขณะที่ถางหญ้าก็มีถุงกล้วยแขกที่ทำด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ เราก็เห็นเป็นรูปของเดวิดที่แกะสลักโดยไมเคิล แองเจโล ผมก็เลยแกะออกดู ปรากฏว่าไปเจอคำจารึกบนหลุมฝังศพไมเคิล แองเจโล ที่ว่าฝากร่างกายไว้กับพื้นดิน ฝากดวงวิญญาณไว้กับพระเจ้า ฝากชื่อเสียงไว้กับวงศ์ตระกูล ฝากศิลปะไว้กับโลก มันโดนใจทำให้เราชอบงานศิลปะ คิดเอาไว้ในใจว่าเราจะต้องฝากศิลปะไว้กับโลก พอมีโอกาสมาขายเงาตามที่หลวงปูทำนาย คือมาเล่นหนัง ก็เลยคิดว่าเข้าทาง แล้วการที่เราสอบติดสถาบันศิลปะแห่งหนึ่งแล้วเราไม่ได้เรียนก็เป็นแรงบันดาลใจเหมือนกัน 

“แต่ก็เป็นผลดีที่เราได้เรียนเศรษฐศาสตร์ คำว่า Fix courseภาษาอังกฤษ แปลว่า ต้นทุนคงที่ คือเราจะทำอะไรต้องมี Fix course เราจะต้องทำอะไรสักอย่าง ต้องสร้างเป็นอาณาจักรรวบรวมงานศิลปะฝากไว้กับแผ่นดิน เวลาได้เงินมาจากการแสดงผมจะชอบซื้อที่ดิน ผมซื้อที่ดินตรงนี้เพื่อที่จะทำพิพิธภัณฑ์ เป็นการให้เกียรติกับแม่ของผมด้วย แม่เกิดมาเป็นลูกหลานเจ้าขุนมูลนาย คือคุณตาทวดผมคือพระยาจำเนียรราชภักดี แม่เกิดมานั้นท่านสบายมาก มาลำบากตอนอยู่กับคุณพ่อของผมนี่แหละแล้วเหมือนเป็นเหตุการณ์บังเอิญ ผมไปได้ที่ดินอยู่สองไร่กว่าเสร็จแล้วเอาไปให้โลตัสเช่าได้เงินมาเกือบ 20 ล้านบาท ก็เลยเอาเงินก้อนนี้มาทำพิพิธภัณฑ์ เวลาผมพูดกับรูปคุณตาทวด ผมก็จะบ่นกับท่านตลอด เพราะผมเขียนรูปท่านไว้ตั้งแต่เด็กๆ เก็บเงินซื้อสีวันละสลึง เพื่อจะเอามาวาดรูปคุณตาทวด วางเอาไว้ใกล้ๆ ที่นอน ก่อนจะนอนก็กราบท่านเวลาเราลำบากไม่มีเงิน ก็จะบอกกับท่าน แล้วที่ดินแปลงที่โลตัสเช่าก็เคยเป็นที่ของพระยาจำเนียรมันเหมือนกับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ 

“ตอนนั้นเราอยู่วัด มีกินบ้างไม่มีกินบ้าง มีอยู่วันหนึ่งผมไม่สบาย ผมบอกกับรูปของคุณตาว่าถ้าคืนนี้ผมรอดตายผมจะสร้างคฤหาสน์แล้วเอารูปคุณตามาไว้ที่นั่นเราจะทำชื่อเสียงให้ท่าน นี่คือความมุ่งมั่นก็เลยเกิดพลังที่จะทำตอนเด็กผมต้องช่วยแม่ขายขนมครก ขายได้เท่าไหร่ก็เอาเงินให้แม่หมดวันหนึ่งแม่มาบอกว่าเปี๊ยกแม่จะไม่อยู่กับพ่อแล้วนะ แม่จะไปอยู่กับพี่สาว แล้วแม่ก็หายไปเลยจนมาวันหนึ่งตอนนั้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประมาณช่วงปีสอง พี่สาวเอาถุงผ้าดิบมาวางไว้ให้ดู ผมก็เปิดดูมีเศษกระดูกอยู่ด้านใน เขาบอกเป็นกระดูกแม่ผมเสียใจสุดขีด เพราะก่อนไปแม่บอกว่า เปี๊ยก ตั้งใจเรียนหนังสือนะ ทำงานแล้วเลี้ยงแม่ด้วยนี่คือพลังมหาศาลเราก็ตั้งใจจะเลี้ยงแม่ สุดท้ายแล้วแม่มาเหลือแต่กระดูกเราก็ผิดหวัง เราต้องคิดว่าชีวิตนี้ต้องทำอะไรให้เป็นเกียรติกับแม่ นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่ให้เกียรติกับแม่ นี่คือพลัง เพราะฉะนั้นจึงเกิดพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ขึ้นมา 

“ผมตั้งใจไว้ให้เด็กที่เรียนศิลปะหรือผู้ที่เรียนในสาขาภาพยนตร์ซึ่งไม่รู้ประวัติความเป็นมาของปู่ย่าตายายในวงการบันเทิงได้มาเห็น เพราะว่าท่านเหล่านี้อีก 20 - 30 ปีก็อาจจะโดนลืมไปหมดแล้ว สร้างสิ่งเหล่านี้ึขึ้นมาเพื่อให้เด็กที่หมดพลัง พอมาเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วอาจจะมีเชื้อไฟขึ้นบ้าง เพราะการทำงานศิลปะต้องมีความมุ่งมั่น ถ้าไม่มีความมุ่งมั่นก็ทำไม่ได้ 

“สาเหตุที่หลงรักงานศิลปะ เพราะตอนเด็กๆ ช่วงอายุประมาณ 3 ขวบ พ่อเขียนรูปดอกกุหลาบ พอเห็นก็มีความรู้สึกว่าทำไมพ่อเขียนไม่ค่อยสวยเลย เราน่าจะเขียนได้ดีกว่า ก็หยิบกระดาษและปากกาของพ่อมาเขียนรูป ดอกกุหลาบของพ่อเป็นการจุดไฟให้ผมทำงานศิลปะมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แล้วก็ทำให้สนใจต่อยอดไปเรื่อยๆ” 

ก้าวที่กล้า

“ตอนเรียนอยู่มอแปด ครูสอนศิลปะท่านส่งภาพของผมไปประกวดจนได้รางวัลที่หนึ่งของประเทศ ในงานศิลปะหัตถกรรมแห่งชาติ พ.ศ.2506 ท่านก็แนะนำให้ไปสอบเข้าสถาบันแห่งหนึ่ง บอกว่าถ้าได้เรียนแล้วจะรุ่งเรืองทางศิลปะ วันนั้นผมก็เลยถือโอกาสกราบลาท่าน ท่านหยิบพู่กันเขียนสีน้ำมาอันหนึ่งแล้วท่านก็หักด้ามพู่กันออกครึ่งหนึ่งให้ผม บอกว่าขอให้เธอจงมีความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปะ  คำให้พรของท่านเป็นพลังอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมทำงานศิลปะ พอไปสอบแล้วติดอันดับที่ห้า แต่ไม่ได้เรียน ผ่านมานานหลายปีถึงมารู้เหตุผลจากอาจารย์ท่านหนึ่งว่าเขาเอาคนอื่นมาเรียนแทน ผมเลยตกตอนสัมภาษณ์ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นพลังที่ผมต้องพิสูจน์ตัวเอง 

“หลังจากรู้ผลสอบสัมภาษณ์ วันนั้นผมเข้าพบผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในสถาบันนั้นเลยนะ แต่รุ่นพี่มาบอกว่าอย่าไปมีเรื่องกับท่านผมก็เลยบอกว่าคนที่จะพิพากษาไม่ให้ผมเรียนศิลปะได้มีอยู่คนเดียว คือยมทูต ผมไหว้แกแล้วผมก็วิ่งออกไปให้รถชนวันนั้นตัดสินใจฆ่าตัวตายเลย คือถ้าไม่ได้เรียนขอตายดีกว่าแต่รถก็ไม่ชน พอกลับมาวัดก็เจอธรรมะของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ที่ว่าจริงจังกับชีวิตมากก็ทุกข์มาก จริงจังกับชีวิตน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่จริงจังกับชีวิตเลยก็ไม่ทุกข์เลยเหมือนกับหลุดพ้นเลยครับ แล้วหลวงปู่ก็เอาหนังสือมาให้อ่าน เรื่องหลังก้อนเมฆพระอาทิตย์ก็ยังส่องแสงอยู่บรรลุเลยครับ เริ่มสู้ใหม่ นั่นคือแรงบันดาลใจที่ทำให้เราทำงานศิลปะ ทำให้ต้องสร้างพิพิธภัณฑ์

“ฝีมือด้านงานศิลปะผมว่าที่พัฒนาขึ้นมาได้เพราะว่าเราเป็นคนใฝ่รู้ เป็นคนชอบเรียน พอเรียนไปถึงระดับหนึ่งมันก็จะต่อยอดไปเรื่อยๆ อย่างหุ่นขี้ผึ้งก็ไม่ได้คิดปั้นหรอก ตอนแรกผมคิดปั้นแต่งานสำริดแล้วก็เขียนรูป ผมเป็นคนชอบคิดต่อยอด หุ่นขี้ผึ้งก็คือการเลียนแบบมนุษย์ให้เหมือนทุกจุด แล้วก็ใส่วิญญาณเข้าไป แล้วหน้าคนเวลาโดนแสงเงามันจะมีมันเยิ้มเหมือนเหงื่อไหล ผมใส่ตัวนี้เข้าไป ซึ่งทุกวันนี้ผมว่าคนอาจจะยังไม่รู้ เพราะมันออกมาแล้วเหมือนหุ่นขี้ผึ้งมีชีวิต

“ตอนไปเรียนคณะบริหารการตลาดแต่มันก็มีวิชาเศรษฐศาสตร์อยู่ด้วย ทำให้เราฉุกคิดว่าต้องบริหารชีวิตให้ดีเพราะว่าไปเรียนหลักการบริหาร คนเราที่ชีวิตเหลวแหลกทุกวันนี้เพราะบริหารชีวิตไม่ดี เพราะฉะนั้นเราเกิดมาเราก็ต้องบริหารชีวิตให้ดีๆ เราเรียนหลักการบริหารแต่เราไม่บริหารทางธุรกิจ เราบริหารชีวิต ก็เลยเกิดพิพิธภัณฑ์นี้ขึ้นมา” 

ต่อยอดงานศิลป์

“เรียนจบมาก็เล่นหนังเป็นพระเอกเลย แต่ว่าในช่วงที่ผมเล่นหนัง ขณะที่ไปถ่ายหนัง ผมก็จะมีปากกาของผมอันนึงกระดาษผมก็จะเตรียมไป ขนาดไปถ่ายหนังที่ฮ่องกง ผู้ร้ายที่ต่อยกับผม ผมเห็นว่าหน้าตาดี คาแรกเตอร์ดี พอเผลอปุ๊ปผมวาดรูป Drawing เอาไว้เลย  คือมือเราจะไม่ได้หยุดนิ่ง เห็นหน้าใครแล้วมันน่าเขียนก็เขียนซะเลย ตอนที่เล่นหนังเราก็ยังคงฝึกฝนอยู่ ไม่เคยหยุด เพราะว่าวาดรูปนี่คือหัวใจ คือจะทำงานปั้นหรือเขียน ต้อง Drawing ต้องศึกษาพวก Realistic ถ้าเราไม่ศึกษาพวกนี้ไว้คนอื่นจะคิดว่าเรามั่ว จะต้องมีพื้นฐาน เราต้องศึกษาธรรมชาติไว้ก่อน ผมเลยต้องศึกษาธรรมชาติ ศึกษาไปเรื่อยๆ มันก็จะคลี่คลายไปเรื่อยๆ ต่อยอด เกิดอีกสิบชาติก็ยังเรียนไม่หมดครับ สำหรับคำว่าศิลปะ

“พอลูกเริ่มเข้าโรงเรียน ผมก็ตัดสินใจเลิกแสดงภาพยนตร์เพื่อมาดูแลลูก ช่วงนั้นจะมีเวลาว่างเยอะ ระหว่างนั้นเราก็ฝึกฝนไปเรื่อยๆ งานที่วาดเก็บไว้เริ่มเยอะ ก็เลยต่อยอดมาเป็นไอเดียทำให้เริ่มทำงานปั้นบ้าง ในช่วงที่ปั้นก็มีความคิดว่าน่าจะไปศึกษาหาความรู้สักนิด เลยเดินเข้าไปในสถาบันที่เราเคยผิดหวัง แต่ไม่มีใครที่คิดจะสอนเรา ขนาดตอนนั้นผมเป็นดาราดังแล้วนะ แต่มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่เมตตา คือท่านอาจารย์ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ (ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ พ.ศ.2529) ท่านบอกว่าคุณยอดชายจะไปยากอะไรล่ะ ใช้จำเอาสิ ผมก็เลยได้ความรู้จากที่ได้คุยกับท่าน แล้วก็จำแล้วก็เอามาปั้น ปรากฏว่าเหมือนกว่า 90%ผมก็เลยคิดว่าการปั้นรูปเหมือน วิธีสุดยอดคือการจำครับ ส่วนใหญ่ผมจะ Drawing ก่อนปั้น ความรู้นี้ผมก็เอามาจากท่านพอเราเห็นเราก็จำและต้องเขียนรูปเพราะทำให้เราฝึกฝีมือไปด้วย เพราะฉะนั้นท่านคืออาจารย์คนหนึ่งของผม ได้ความรู้เอามาต่อยอดแล้วพัฒนาไปเรื่อย ถ้าเรายิ่งทำก็ยิ่งพัฒนา ศิลปะผมว่าเกิดสิบชาติก็เรียนไม่จบ มันจะต่อยอดไปเรื่อยๆ ผมก็เลยต้องทำงานศิลปะต่อไปเรื่อยๆ ครับ

“ส่วนมากศิลปินคนอื่นที่เขามีลักษณะเด่นชัด ผลงานมีเอกลักษณ์ส่วนตัว ดูแล้วรู้ว่าเป็นงานของเขา ผมว่าเพราะเขาเคยได้รับรางวัลมา สังเกตว่าคนที่เคยได้รับรางวัลมาเขาจะไม่ฉีกแนวเลย เพราะถ้าไปเขียนแนวอื่นหรือคลี่คลายไปคนจะคิดว่าไม่ใช่งานของคนนี้ แต่พอดีผมไม่มีสถาบันและงานของผมจะพัฒนาไปเรื่อยๆ หากลองดูงานปั้นพวกรูปเหมือนของผม แล้วไปเทียบกับคนอื่นผมคิดว่ามันต้องแตกต่างกันแน่ เพราะผมใส่วิญญาณเข้าไปด้วย คนเรานั้นกล้ามเนื้อหน้าจะทำงานอยู่ตลอดเวลา มันจะบวกลักษณะนิสัยเข้าไปในหน้าตาหมด ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจถ้าเราดึงความรู้สึกตรงลูกตาออกมาได้ มันจะบ่งบอกเลยว่าคนนี้เป็นคนยังไง ต้องดึงวิญญาณออกมาให้ได้ นี่คือจุดที่ผมอาจจะแตกต่างกับคนอื่น ใส่ชีวิตกับจิตวิญญาณเข้าไป 

“ผมเรียนรู้และฝึกหัดการทำงานศิลปะจากผลงานรูปปั้นและงาน Drawing ของไมเคิล แองเจโล แล้วก็ลีโอนาร์โด ดาร์วินชี เพราะท่านเป็นคนเขียนตำราแพทย์ขึ้นมา เราก็เลยเรียนรู้จากตรงนี้ มีอยู่วันหนึ่งผมรับลูกจากโรงเรียนแล้วไปโรงพยาบาลศิริราช ไปห้องเก็บศพ ไปดูศพที่เขาดอง แล้วเข้าในห้องที่เขากำลังผ่าศพ มีกล้ามเนื้อ มีเส้นเอ็น ผมไปขอเขาดู เพราะเราสนใจ ผมว่าถ้าเราศึกษา ถ้าเราใฝ่รู้ มันจะต้องรู้ครับ เราไม่ได้อยู่นิ่งเฉยครับ เรื่องของสรีระร่างกายผมก็ได้จำมาจากสิ่งที่เห็นจากของจริงด้วยเช่นกัน”

ศิลปะในนามของศิลปิน

“คำว่าศิลปะ เป็นนามธรรม ไม่มีถูกไม่มีผิด ที่คนไม่กล้าทำงานศิลปะเพราะกลัวทำผิด แล้วมันไม่มีคำตอบที่ตายตัว คือความรู้สึกอย่างหนึ่งในด้านความงาม ซึ่งทุกคนจะกลั่นกรองออกมาในรูปแบบของอะไรก็ได้ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำงานศิลปะ เพราะว่าบางคนมีใจรักแล้วก็คลี่คลายออกมาว่ามันจะเป็นรูปแบบอะไรก็ตามแล้วแต่ที่เขาได้สัมผัส เพราะฉะนั้นผมจะไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ใคร 

“ต้องถามตัวเองว่าชอบศิลปะจริงหรือเปล่า อย่าตีค่างานศิลปะออกมาเป็นเงิน ต้องคิดว่าเราอยากฝากผลงานศิลปะไว้กับโลก มนุษย์คือแขกที่มาเยี่ยมโลกชั่วครั้งชั่วคราวแล้วต้องก็จากโลกนี้ไป โลกก็คือศาลาพักร้อน ทุกคนได้มาพักร้อนตรงศาลาแห่งนี้ เมื่อคุณคิดว่าคุณเป็นแขกที่มาเยี่ยมโลกนี้ คุณจะไปเยี่ยมบ้านใคร คุณก็ควรจะมีของติดไม้ติดมือไปฝาก ให้คนที่ผ่านไปผ่านมาในรุ่นหลังได้เห็นว่าเราก็เคยมาเยี่ยมโลกนี้เหมือนกัน ถ้าคุณคิดอย่างนี้ คุณก็มีพลังในการสร้างงานศิลปะ ถึงเวลาคุณก็จากไป นี่มันคือพลังในการทำงาน อย่าคิดว่ามันเป็นเงินเป็นทอง นั่นคือมนุษย์ไปอุปโลกเอง ไปสร้างไปให้คุณค่ามัน ก็เลยไม่ได้ทำงานศิลปะไม่มีพลังในการทำงาน 

“ผมรักศิลปะ หากให้เปรียบก็เหมือนกับที่ผมรักผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ผมไม่หวังแต่งงานด้วย เรารักเธอด้วยความบริสุทธิ์ใจ เราให้หัวใจหรือแม้กระทั่งชีวิตเราก็ทุ่มเทให้เธอได้ เพราะคิดอย่างนั้นก็เลยทำงานศิลปะมาเรื่อยๆ ครับผมไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทน เพราะคิดแบบนี้ผมถึงได้มีแรงพลังในการทำงาน รู้สึกถึงแต่ความมุ่งมั่นของตัวเองที่อยากทำงานศิลป์เท่านั้น ถึงแม้จะไม่มีเงินเป็นผลตอบแทน แต่หากเราทำด้วยความรัก สักวันมันจะเปลี่ยนเป็นโอกาส อย่าไปย่อท้อ ทำเถิดครับ สร้างสรรค์ผลงานที่คุณรักออกมาฝากไว้กับโลก 

“เรื่องธุรกิจตอนนี้ผมไม่อยากทำอะไรแล้ว ผมอยากทำงานศิลปะอย่างเดียว ผมไม่หวังอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้หวังว่าจะเป็นอะไรทั้งหลายแหล่ เพราะนั่นคือหัวโขนครับ สมัยก่อนเคยมีคนมาชวนผมเล่นการเมือง ผมก็ไม่เอาเพราะว่าเราเป็นคนตรง คงจะอยู่จุดนั้นไม่ได้แน่ เราเอางานศิลปะเป็นเพื่อน เราก็อยู่กับงานศิลปะ ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่าถ้าคนเราอายุ 80 ปี รวมๆ แล้วเราจะมีลมหายใจประมาณหกแสนกว่าชั่วโมงเท่านั้น ฉะนั้นต้องรีบทำงาน ถ้าไม่รีบทำงานแล้วจะเสียดายเวลามากครับ 

“ในขณะที่ผมทำงานศิลปะจะรู้สึกมีความสุข นิ่งสงบ เพราะศิลปะเป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่เราจะคลี่คลายไปตามอารมณ์ของเรา แล้วเราก็ไม่มีปัญหาอะไรกับใครทั้งสิ้น ผมว่าเดี๋ยวนี้งานศิลปะคลี่คลายออกไปในลักษณะแปลกขึ้น หากดูงานศิลปะต่างประเทศ บางคนเขาก็ทำงานใหญ่ๆ เช่น แกะภูเขาทั้งลูก ไถไร่หรือถางป่าเป็นรูปเพื่อให้เห็นจากภาพกว้างบนความสูง คนทำงานศิลปะมีความคิดแปลกขึ้น เพราะฉะนั้นศิลปะไม่มีคำจำกัดความว่าถูกหรือผิด แล้วก็ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีวันหยุดนิ่ง ใครมีจินตนาการก็สร้างสรรค์งานของแต่ละคนออกไป อยู่ที่ว่าจะไปโดนตาถูกใจใครบ้าง อย่าไปกลัวอะไรทั้งสิ้น ทำไปแล้วมันจะคลี่คลายไปเอง”

พิพิธภัณฑ์ ยอดชาย เมฆสุวรรณ  

“สำหรับพิพิธภัณฑ์ ยอดชาย เมฆสุวรรณ The Museumof Art แห่งนี้ คิดว่าภายในปีนี้ไม่เกินเดือนธันวาคมต้องเปิดให้ได้ แน่นอนว่าเมื่อเปิดแล้วการดูแลในส่วนต่างๆ ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ซึ่งเรากำลังวางแผนอยู่ว่าจะเอารายได้จากส่วนไหนมาดูแลพิพิธภัณฑ์ ตอนนี้ลูกชายผมก็เริ่มให้คนมาถ่ายภาพพรีเว็ดดิ้งแต่งงานที่นี่ เพราะรูปแบบตัวอาคารเป็นทรงรัชสมัยรัชกาลที่ 5 มีหลายมุมที่สวยงาม ด้านข้างของอาคารเราอาจจะเปิดเป็นร้านค้าให้คนมาเช่า ก็ต้องเอารายได้ในส่วนเหล่านี้มาจุนเจือ หลักๆ ผมให้ลูกชายมาสานต่อในจุดนี้ ส่วนผมจะเน้นไปที่การทำผลงานศิลปะแล้วนำมาไว้ที่นี่ 

“เหตุผลที่ผมดีไซน์สถานที่แห่งนี้ให้เหมือนกับอาคารในสมัย ร.5 เพราะว่าสถาปัตยกรรมในยุคนั้นงดงาม และเมื่ออาคารดูสวยงามและให้ความรู้สึกเหมือนอาคารในสมัยโบราณผู้คนก็จะให้ความสนใจ ตอนนี้ค่าใช้จ่ายในการทำพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมที่ดินนะ การที่จะทำให้ที่นี่อยู่ได้ต้องมีการบริหารจัดการ แต่ผมจะไม่เก็บค่าบัตรเข้าชมแน่นอน จะทำให้เป็นลักษณะมูลนิธิ แล้วก็เอาเงินมาบำรุงสร้างงานต่อ ผมวางแผนและเขียนโปรเจ็กต์ไว้ให้ลูกทำต่อ ที่ว่างด้านหลังอาจสร้างเป็นโรงแรมในอนาคตโดยดีไซน์ให้ดูโบราณ ตัวอาคารผมจะดีไซน์ไว้ให้เขาและให้เขาสร้าง 

“สำหรับงานในวงการบันเทิง ผมก็ยังมีรับบ้าง หลังจากที่พักไปนานท่านมุ้ยก็ตามให้มาเล่นในบทพระมหานาค ในภาพยนตร์เรื่องสุริโยทัย หลังจากนั้นก็มีเล่นต่อมาอีกเป็นร้อยเรื่อง ซึ่งก็แสดงเป็นพระหมดเลยครับ ทุกวันนี้ก็ยังมีอีก 4 เรื่อง ที่ยังไม่ได้เปิดกล้อง เรื่องของรายได้ผมไม่ได้โฟกัสเท่าไหร่ ช่วงที่เล่นเป็นพระเอกยอมรับว่ารายได้ดีมากครับ แต่เบื้องหลังก็มีที่โดนเบี้ยวค่าตัวบ้าง อย่างที่บอกผมไม่ได้ต้องการร่ำรวยมหาศาล ผมเป็นคนมีน้อยใช้น้อย ไม่ได้ฟุ่มเฟือย ทุกวันนี้ก็ยังคงขับรถคันเดิม ใช้ชีวิตพอเพียง และมีกความสุขกับการทำงานศิลปะครับ” 

THE ECSTASY OF ART ศิลปะคือชีวิต