คริสติน่า เศรษฐบุตร
บริษัท Tune ประกันภัย เป็นบริษัทน้องใหม่ของวงการประกัน เปิดตัวด้วยการสร้างแบรนด์โดยมีการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มคนทุกระดับโดยใช้เงินน้อยมาเป็นจุดเด่น และหนึ่งในทีมที่ขับเคลื่อนก็คือคุณคริสติน่า เศรษฐบุตร Vice President, PR & Marketing สาวเก่งมากความสามารถด้านธุรกิจซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงสังคม
“การที่ Tune ประกันภัย เพิ่งเปิดตัวมาได้เพียงหนึ่งปีในด้านการตลาดถือว่าทำงานยากเพราะบริษัทอื่นเขาอยู่มานานแล้วเขาคิดเทคนิคการตลาดกันมาหมดแล้วแทบทั้งสิ้น มันจึงเป็นโจทย์ที่หนักมาก แต่พอเรามาทำงานตรงนี้เหมือนเป็นเด็กใหม่เราก็จะเห็นมุมที่เขายังไม่เคยได้ทำ
“ใน Tune Holding จะมีบริษัทในเครือ คือ Tune Talk, Tune Money, Tune Hotel, Tune Insurance และ Air Asia แล้วเราได้โจทย์มาจากคุณโทนี่ เฟอร์นานเดส (เจ้าของ Air Asia) เขาบอกว่าตอนที่Air Asia มาเมืองไทยเขาจะไม่ขายอะไรผ่านเอเย่นต์ คือแทนที่จะเอาเงินไปให้เอเย่นต์แต่เอามาเป็นส่วนลดให้ลูกค้าโดยตรง มันจึงเป็นหัวใจหลักของ Tune ประกันภัยด้วย ที่จะพยายามขายไม่ผ่านเอเย่นต์ ซึ่งต้องทำงานหนักมากแต่ถ้าลูกค้าวันหนึ่งเข้าใจก็จะอยู่กันไปในระยะยาว
“ปกติวงการประกันมันน่าเบื่อนะเพราะหลักการมันจะเหมือนกันเปลี่ยนแค่ชื่อแบรนด์ สุดท้ายแล้วลูกค้ามักซื้อของจากเซลล์ที่สนิทกันมากกว่า แต่อย่าง Tune พอเข้ามาเราก็อยากฉีกกฎกติกาเดิมของประกันสร้างความแปลกใหม่ อย่างเรื่องการซื้อประกันจากตู้หยอดเหรียญบุญเติมเราก็เป็นรายแรกที่กล้าทำ แค่เงิน 10 บาทก็ซื้อประกันได้ สมัยก่อนคนแก่ๆ ที่อยู่ต่างจังหวัดจะซื้อประกันยากมาก เพราะเรื่องของเอกสารที่ซับซ้อน แต่เราทำให้มันง่ายไม่ต้องแพงและเข้าถึงคนได้ทุกระดับชั้น”
คุณคริสตี้เป็นลูกครึ่งไทย – อเมริกัน โดยมีคุณพ่อเป็นคนอเมริกัน เธอเกิดและเติบโตที่ประเทศไทยจนเมื่ออายุสิบกว่าปี ก็ไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาจนเรียนจบปริญญาตรีด้าน Media Technology ที่รัฐโอไฮโอซึ่งคิดว่าจะทำงานอยู่ที่อเมริกา แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดจากคุณพ่อของเธอซึ่งอยู่ที่ประเทศไทยป่วย ทำให้ต้องกลับมาดูแลคุณพ่อ
“ตอนกลับมาก็คิดว่าจะดูแลคุณพ่อแค่ 3 เดือน คือช่วงเวลานั้นปลายปีค.ศ. 1999 แล้วหลังจากนั้นปีถัดมาก็ทำให้ได้มาเจอคุณสามี (คุณสยาม เศรษฐบุตร) จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่ได้กลับไปอยู่อเมริกาอีกเลย”
ชีวิตในอีกมุมหนึ่งของเธอซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี คือเธอเป็นคนที่สะสมรถคลาสสิกไว้เยอะไม่แพ้สามีของตัวเอง โดยเหตุผลที่เธอคลั่งไคล้รถคลาสสิกเธอเล่าว่ามาจากที่คุณพ่อเป็นคนชอบสะสมรถคลาสสิกมาก่อนอยู่แล้ว แต่ในวัยเด็กเธอกลับไม่ชื่นชอบนัก เนื่องจากไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพ่อทำแต่พอเริ่มโตขึ้นก็เริ่มมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่คุณพ่อได้สะสมเอาไว้ว่ามันคืองานศิลปะที่จับต้องได้ ซึ่งในอีกด้านหนึ่งมูลค่าของรถคลาสสิกยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใดก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
“สมัยนั้นคนที่สะสมรถคลาสสิกในเมืองไทยมีน้อยมาก เมื่อเราได้ไปอยู่อเมริการถคลาสสิกนี่คือวิถีชีวิตของพวกเขาเลยนะ พอเราไปอยู่ในสังคมนั้นก็เลยเริ่มสนุก เพราะที่นั่นมีการจัดงานรวมรถที่เป็นงานแฟร์ใหญ่มากพอเห็นแล้วน้ำตาจะไหลเพราะมันเจ๋งจริงๆ พอเราเห็นคุณค่าก็เลยอยากมีรถเป็นของตัวเองจึงไปขอคุณพ่อก็ได้มาเป็น CadillacEldorado 1953 ซึ่งเป็นรถคันแรกของคริสตี้เอง ซึ่งผลิตออกมาแค่ 823 คันเท่านั้น ซึ่งของเราเองเป็นคันที่ 801 ซึ่งปัจจุบันก็ยังอยู่ในสภาพดีไม่ได้หายไปไหน
“ข้อดีของรถคลาสสิกอย่างหนึ่งคือ แม้เศรษฐกิจจะซบเซาแต่ราคาไม่เคยลง รถบางคันบอกเลยว่าราคาขึ้นจนจับต้องไม่ได้ก็มี แบบต้องเลิกคุยไปเลย อย่างเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วเคยซื้อรถ Benz มาคันหนึ่งในราคา 8 แสนบาท ทุกวันนี้รถคันที่ซื้อมาราคาพุ่งถึง 6 ล้าน 5 แสนบาท คือใครอยากสะสมอสังหาริมทรัพย์ให้เขาทำไปเถอะ แต่เราไม่เอาขอเป็นรถคลาสสิกนี่แหละ คือถ้าเราไม่ได้เป็นนักสะสมมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ณ วันนี้จับต้องลำบากเพราะราคามันแรงมาก
“คิดว่าของสะสมเรามันน่าจะมีประโยชน์กับสังคมได้บ้าง โดยมีความฝันส่วนตัวที่อยากทำคือ สร้างพิพิธภัณฑ์รถคลาสสิกให้เหมือนเมืองนอกที่ไม่ได้มีแค่รายละเอียด แต่ต้องมีประวัติศาสตร์ให้ครบ เพราะรถแต่ละคันจะมีเรื่องราวของเจ้าของเดิมที่น่าสนใจ มีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 - 7 จึงเหมือนเป็นความภูมิใจของเราด้วยที่ได้ถือประวัติศาสตร์อยู่ในมือ สุดท้ายแล้วถ้าถัดไปอีก 100 ปี เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์นั้นด้วย”
Did You Know
• เธอยังมีตำแหน่ง รองประธานชมรมเมอร์เซเดส - เบนซ์ (ประเทศไทย) อีกด้วย
• Benz 500k รุ่น Special Roadster คือรถคลาสสิกในฝันของเธอ