ปวิณ ภิรมย์ภักดี

ปวิณ ภิรมย์ภักดี

ชายคนนี้เป็นผู้ก่อตั้งและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของสโมสรฟุตบอลชื่อดังระดับประเทศ สโมสรบางกอกกล๊าส และอีกบทบาทหนึ่ง เขาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน) ผู้นำทางด้านบรรจุภัณฑ์แก้วครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และอยู่ในระดับชั้นแนวหน้าของภูมิภาคเอเชีย

แก้วแรกของชีวิต

เขาเริ่มต้นทำงานและเรียนรู้กระบวนการทำงานทั้งหมด ไล่ตั้งแต่พนักงานระดับล่างจนไปถึงจุดสูงสุด ประธานกรรมการบริษัท เรียกได้ว่าเขาเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับบริษัทก็ว่าได้

“วัยเด็ก ผมโดนส่งไปอยู่อังกฤษตั้งแต่ตอน 8 ขวบ เรียนโรงเรียนประจำที่อังกฤษจนกระทั่งจบไฮสคูล แล้วย้ายไปศึกษาต่อที่อเมริกา จบปริญญาตรีด้าน Management แล้วก็ Minor Marketing จากมหาวิทยาลัยเดนเวอร์อยู่ในรัฐคอโลราโด้ พอเรียนจบก็กลับมาเมืองไทย 

“ผมเข้ามาทำงานตั้งแต่ปี ค.ศ.1997 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งพอดี จริงๆ ก็อยากจะไปลองฝึกงานและทำงานที่อื่นดูบ้าง แต่ว่าสุดท้ายแล้วช่วงนั้นโอกาสไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่ เพราะว่าหลายบริษัทก็มีแต่ Lay Off คนออก เรียกได้ว่าเป็นลูกหม้อของบางกอกกล๊าสมา 18-19 ปีแล้ว เริ่มตั้งแต่เป็นพนักงานรายวัน แล้วก็เป็นพนักงานประจำ ได้เข้าไปคลุกคลีอยู่ทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะทางด้านเทคนิค ฝ่ายผลิต ส่งออก การตลาด การขาย รวมถึงการเงินด้วยครับ

“แรกเริ่มเข้ามาอยู่สายการตลาดก่อน ทำทุกอย่างที่หัวหน้าสั่ง ประมาณเกือบสองปีจึงย้ายเข้าไปที่โรงงาน ตำแหน่งตอนนั้นไม่มีหรอกครับ สามสี่ปีแรกเหมือนเป็นพนักงานทั่วไป มามีตำแหน่งตอนเป็นผู้ช่วยฝ่ายขายต่างประเทศ เคยคุมโรงงานอยู่พักหนึ่ง ได้ขึ้นมาเป็นรองประธานเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว ปีนี้เป็นปีแรกที่ได้โปรโมตขึ้นมาเป็นประธานบริษัทครับ”

อันดับหนึ่งในอาเซียน

ด้วยปัจจัยหลายๆ ด้านทำให้บริษัทบางกอกกล๊าสแห่งนี้ก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนอย่างเต็มภาคภูมิ ความพร้อมที่จะขยายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และการจัดจำหน่ายไปทั่วโลกเป็นเรื่องที่ริเริ่มดำเนินการไปก่อนกระแสการมาถึงของ AEC เสียอีก

“ในเชิงปริมาณการผลิตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว เราใหญ่ที่สุดแล้วในอาเซียน ในเอเชียเองเราก็ติดอันดับ Top Five ครับ สินค้าของเราหลายๆ คนจะคิดว่าอยู่ในกลุ่มของบุญรอดฯ เท่านั้น แต่จริงๆ มีทั้งหมดประมาณ 40% ที่เราขายให้บุญรอดฯ อีก 60% เราขายให้กับที่อื่น รวมไปถึงการส่งออกขายนอกประเทศอีกประมาณ 10% เพราะฉะนั้น 10% ที่เราขายได้ไม่ใช่แค่ในเอเชีย ทุกวันนี้เราได้ส่งออกไปทุกภูมิภาคของโลก

“สำหรับในประเทศไทย ถ้าเกิดเดินเข้าไปในซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป อะไรที่เป็นแก้ว หรือ Packaging ทั้งฝาหรือขวดพลาสติกที่เราเป็นผู้ผลิตคิดว่าก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 90% ของทั้งหมดครับ 

“การแข่งขันในธุรกิจด้านนี้ค่อนข้างน้อยกว่าธุรกิจด้านอื่น เพราะเราขายสินค้าที่เป็นต้นน้ำ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอื่นๆ ทางกลุ่มที่ผลิตจะเป็นพันธมิตรกันมากกว่า อย่างมีช่วงหนึ่งที่เราขาดสินค้าแล้วก็ขอให้เขาช่วยผลิตให้เรา ในทางกลับกันเวลาเขาเองขาดสินค้าเขาก็ขอให้เราช่วยผลิตด้วย เพราะฉะนั้นผมคิดว่ามันมองเป็น Long-Term Relationship มากกว่า ไม่ใช่เป็น Consumer Product

“ปัจจัยที่ทำให้ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย ต้องมองในเรื่องของ Demand ด้วย ความต้องการของในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านเติบโตค่อนข้างสูง ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วเป็นธุรกิจที่เฉพาะด้าน ถ้าเกิดไม่เคยทำมาก่อนคงไม่อยากเข้ามา ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็น Heavy Industry ที่ Margin ค่อนข้างบาง แต่การลงทุนค่อนข้างสูง ถ้าผู้เล่นใหม่ๆ ที่เข้ามามีเงินที่จะลง เขาคงไปลงในธุรกิจอื่นที่มันมี Return ที่เร็วขึ้น และ Margin ที่สูงกว่า แต่ว่าสำหรับผู้เล่นที่มีอยู่แล้ว ก็จะได้เปรียบในเรื่องของตรงนี้ 

“ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากก็คือเรื่องของบุคลากร ค่อนข้างที่จะต้องใช้ความชำนาญและประสบการณ์มาก บริษัทบางกอกกล๊าส ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1974 มาเริ่มผลิตจริงๆ ประมาณปี ค.ศ.1980 เพราะฉะนั้นก็ 40 ปีได้แล้ว ก็ต้องยอมรับว่าค่อนข้างแข็งแรงในเชิงของการบริหารจัดการ”

“ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าช่างเทคนิคส่วนใหญ่เป็นคนไทยหมดแล้ว Technology Sites รวมไปถึงบุคลากรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่วน Business Value ที่เกิดขึ้นก็เห็นได้ชัด ยอดขายมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในส่วนความสัมพันธ์ กับลูกค้าก็ค่อนข้างที่จะแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศที่เริ่มรู้จักเรามากขึ้น เขาก็เชื่อใจเราเรื่องของคุณภาพที่เรามีอยู่

“ประเทศเพื่อนบ้าน ที่เป็นลูกค้าของเรามีตั้งแต่พม่า มาเลเซีย กัมพูชา ลาว เวียดนาม อันนี้เป็นหลักอยู่แล้ว AEC ทุกวันนี้เรามีการขายอยู่แล้ว ต้องยอมรับว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาวและประเทศกัมพูชา Population Wide เขายังเล็กอยู่ เพราะฉะนั้นการที่เขาจะมี Heavy Industry ค่อนข้างลำบาก ปริมาณยังไม่ถึงจุดนั้น นอกเหนือจากอาเซียนเราก็ส่งไปที่ประเทศเกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และทางยุโรปก็ค่อนข้างเยอะ ลูกค้าเรามีแม้กระทั้ง South Africa เลยครับ

“โปรเจ็กต์ที่จะขยายโรงงานไปยังประเทศเพื่อนบ้านมีคิดไว้อยู่ครับ แต่ต้องดูเรื่อง Energy Source บวกกับ Material และผู้เชี่ยวชาญด้วย ซึ่งตอนนี้เรายังได้เปรียบอยู่ 

“วัตถุดิบหลักที่สำคัญก็คือทรายครับ แล้วก็วัตถุที่ทุกคนมองข้ามคือเศษแก้วจากขวดเก่าที่ไปรีไซเคิลหรือไปทุบออกมาเป็นเศษ ตัวนี้คือตัวที่สำคัญมาก เพราะมันจะลดในเชิงของ Consumption Energy ได้ค่อนข้างที่จะดี รวมไปถึงตัววัตถุดิบ Material Resource ที่ยังเอามาก็จะลดปริมาณตรงนี้ลงได้ เพราะฉะนั้นการหมุนเวียนเศษแก้วเป็นอะไรที่สำคัญมาก

“การรีไซเคิลช่วยลดต้นทุนเยอะครับ ยกตัวอย่างว่าเตาหลอมหนึ่งเตา ถ้าเราไม่มีเศษแก้วเลย เราเอาวัตถุดิบอย่างเดียว เราใช้อุณหภูมิสูงมาก 1,500-1,600 เซลเซียส ก็เหมือนจุดเดือดของภูเขาไฟเวลาระเบิด เหมือนตัวลาวาที่ไหลอยู่ เศษแก้วถือเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุดิบที่จะสามารถช่วยลดอุณหภูมิลงมาได้ถึง 200-300 องศา

“การบริหารคนคือสิ่งสำคัญในการบริหารงาน ปัจจุบันในโรงงานของเรามีพนักงานทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 3,800 คน แบ่งไปตามแผนกและส่วนต่างๆ จุดสำคัญคือทำยังไงถึงจะให้เขามองว่าบริษัทเป็นบ้านหลังที่สอง เพราะเขาต้องกลับไปบ้านทุกคืน แล้วเขาก็ต้องกลับมาบ้านหลังที่สองแห่งนี้ในตอนเช้า ต้องทำให้รู้สึกว่าเขาอยากมา มันต้องมีความรู้สึกอย่างนั้นก่อน แล้วหลังจากนั้นผลตอบรับอย่างอื่นเดี๋ยวมันจะมาเอง”

Bangkok Glass Football Club

ปีที่แล้วถือเป็นปีแห่งความสำเร็จอันงดงามของสโมสรฟุตบอลบางกอกกล๊าส เพราะได้รางวัลชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอคัพ 2014 สโมสรฟุตบอลขวัญใจชาวไทยแห่งนี้บริหารโดยบริษัท บีจี เอฟซี สปอร์ต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบางกอกกล๊าส 

“จริงๆ ทีมเราอยากได้แชมป์ทุกปีครับ ปีที่แล้วถ้าไม่ได้ถ้วยเอฟเอคัพท่าจะแย่ สามารถช่วยลดแรงกดดันลงไปเยอะ ไม่ว่าจะเป็นจากฝ่ายบริหาร รวมถึงผู้เล่นด้วย เรามองว่าโล่งอกเพราะเราได้มาแล้วหนึ่งถ้วย 

“ในการทำสโมสรกีฬาจะต้องมีคำว่า Passion อยู่ในใจก่อน ต้องรักก่อน ทำแล้วไม่รักนี่ผมคิดว่าอยู่ไม่ยาวแน่ ผมมีความฝันว่าสักวันหนึ่งจะมีโอกาสบริหารจัดการทีมฟุตบอล แล้วก็มีโอกาสจริงๆ เรามีส่วนร่วมเข้าไปสร้างชมรมนี้ให้ใหญ่ขึ้น พอมีศักยภาพเพียงพอก็ส่งทีมไปแข่งกับบริษัทอื่นๆ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จด้วยดี จากนั้นเราก็มีศักยภาพการบริหารจัดการทีมฟุตบอลมากขึ้น และเราก็ได้รับช่วงสิทธิ์การแข่งขันต่อจากสโมสรฟุตบอลธนาคารกรุงไทย และทำเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพอย่างจริงจังครับ

“ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ผมจะอยู่กับกีฬาเป็นหลัก ถ้าอยู่บ้านผมจะเปิดช่องกีฬาตลอด ตอนอยู่อังกฤษก็ติดตามฟุตบอล รักบี้ คริกเก็ตด้วย ตอนอยู่อเมริกาก็ดูอเมริกันฟุตบอล บาสเก็ตบอล เบสบอล ติดตามเชียร์ทีมที่เรารักอยู่ แต่ตอนนี้ก็แผ่วลงไปบ้าง โฟกัสไปที่ฟุตบอลก่อน สำหรับทีมฟุตบอลที่ชอบ ผมเชียร์ลิเวอร์พูลครับ” 

“ธุรกิจกีฬาเป็นอะไรที่จะนำมาเทียบกับธุรกิจทั่วไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน หรือปัจจัยอื่นๆ ธุรกิจกีฬาเป็นอะไรที่วางแผนค่อนข้างยากมาก เป้าหมายที่เราวางไว้มันไม่ค่อยเป็นไปตามที่เราวางไว้ เรากำลังดีลกับคน 100% เราไม่ได้ดีลกับเครื่องจักร เพราะฉะนั้นจิตวิทยาเป็นอะไรที่สำคัญมาก การบริหารจัดการสำคัญมาก ซึ่งตรงนี้ก็ค่อนข้างช่วยผมในการบริหารธุรกิจอื่นๆ ในเครือได้ดีกว่าเก่าเยอะครับ ปัญหาเกิดขึ้นตลอด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของทีม เรื่องของคน คนทำงานเท่านั้นถึงจะรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น และต้องแก้ปัญหาให้ได้ 

“ต้องยอมรับว่าวงการฟุตบอลบ้านเราตอนนี้ถ้าจะทำเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาลต่อปีค่อนข้างลำบาก เราต้องมองในจุดที่ว่าเราสามารถใช้ประโยชน์ของสโมสรฟุตบอลได้อย่างไร จุดสำคัญคือหนึ่ง Resolution ของ Branding เราต้องการให้คนรู้จักแบรนด์ก่อน สองคือความภาคภูมิใจของพนักงานที่มีต่อทีม อีกจุดหนึ่งคือ Branding ของที่อื่น ตรงนี้มันทำให้เราเปิดกว้างมากขึ้น มันต่อยอดธุรกิจ มีเรื่องเม็ดเงินของการโฆษณาเข้ามา 

“เป็นปีแรกที่เราได้สัมผัสถ้วยเอฟเอคัพ เป็นอะไรที่ค่อนข้างตื่นเต้น และสามารถวัดได้ว่าเราอยู่ระดับไหนของเอเชียแล้ว อาจจะไม่ได้ขึ้นหวือหวาเหมือน 3-4 ปีที่ผ่านมา เพราะเราเริ่มรู้ว่าควรลดต้นทุนหรือกำหนดงบประมาณไว้ค่อนข้างคงที่ แต่ในเวลาเดียวกันยังมีศักยภาพที่ต่อสู้กับทีมอื่นๆ ในลีกได้

“นอกจากทีมฟุตบอลแล้ว ตอนนี้เราก็มีทีมวอลเล่ย์บอลด้วย จุดมุ่งหมายของผมคือ Sport Entertainment Company คิดว่าคงจะต่อยอดไปเรื่อยๆ แต่ว่าทุกอย่างก็ต้องอยู่ที่ Business Value ที่จะกลับมาด้วยครับ”

“ความสำเร็จเราไม่ได้มองในเชิงของ Trophy เป็นหลัก เรามองหลายสิ่งหลายอย่างมากกว่า ทางด้าน Marketing เราค่อนข้างที่จะแข็งแรงแล้ว ก็เหลือในสนามเรายอมรับว่ายังทำได้ไม่ถึงที่สุด โดยรวมแล้วผมว่าตอนนี้เราประสบความสำเร็จจากจุดเริ่มต้นมาไกลแล้วครับ ผมคิดว่าการทำงานด้านกีฬามันไม่มีการจบสิ้น ได้หนึ่งแล้วอยากได้สองได้สาม ต้องการเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นต้องไม่อยู่นิ่ง

“ผมพอใจในสิ่งที่เรากำลังทำครับ ถึงแม้มันจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือพลาดก็ตาม เพราะถ้าไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาด ผมคงจะต้องคิดกลับไปตลอดว่าทำไมไม่ตัดสินใจให้รู้เรื่องไปเลย 

“สุดท้ายผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จได้ก็คือเรื่องบุคลากรครับ นอกจากการพัฒนาบุคคลากรที่ร่วมงานกับเราให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เรายังได้พัฒนาตัวเองควบคู่กันไปอีกด้วยครับ” 

Glass Solution