บ๊าย บาย

บ๊าย บาย

สำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ที่กำลังผ่านพ้นไปซึ่งในแต่ละฤดูกาลก็ต้องมีนักเตะย้ายเข้าและเดินออกไปเป็นเรื่องปกติของสัจธรรมความจริง 

แต่ที่น่าใจหายคือสองนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ที่เชื่อว่าคนที่ดูบอลอังกฤษมายาวนานไม่น้อยกว่าสิบยี่สิบปีต้องรู้จัก คือ “สตีเว่น เจอร์ราร์ด” กับ “แฟรงค์ แลมพาร์ด” กำลังจะเดินจากไป

เรียกว่าน่าใจหาย เพราะทั้งคู่เป็นนักเตะระดับท็อปของลีก และเป็นประเภทแม่เหล็กตัวเด่นตัวดังของสโมสร โดยถ้าในรอบ 10 ที่ผ่านมา เราอาจจะบอกได้ว่า “เจอร์ราร์ด” คือ “ลิเวอร์พูล และ “แลมพาร์ด” คือ “เชลซี” (แม้ตอนนี้จะเล่นให้กับ “แมนฯ ซิตี้” ก็ย่อมได้

เริ่มจากมิสเตอร์หัวขิง “เจอร์ราร์ด” ที่กำลังจะออกจากชมรม One Club-man (นักเตะที่เล่นเพียงแค่สโมสรเดียวตลอดอาชีพการค้าแข้ง) เพราะเจ้าตัวเซ็นสัญญา 2 ปีกับสโมสร “แอลเอ กาแล็กซี่” ทีมดังในเมเจอร์ลีก ซ็อกเกอร์ของอเมริกาเรียบร้อยแล้ว และจะย้ายออกจากถิ่นเมอร์ซีย์ไซด์หลังจบฤดูกาลนี้

ถ้าใครเป็นแฟนหงส์คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณของนักเตะผู้เป็นตำนานคนนี้ ตลอดการเล่นอาชีพเล่นมาทุกตำแหน่งในแผงมิดฟิลด์ เริ่มจากมิดฟิลด์ฝั่งขวา ฝั่งซ้าย ตรงกลางหรือตัดพักบอล แม้กระทั่งกองหน้าที่ยืนต่ำก็เคยเล่นมาแล้ว

ด้วยการเล่นที่ทุ่มเทเต็มร้อยทุกนัดบวกกับลูกยิงไกลที่รุนแรงที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพจนกระทั่งได้เป็นกัปตันทีมในที่สุด และเข้าไปนั่งในกลางหัวใจเหล่าบรรดาเดอะค็อปทั้งหลายได้ไม่ยาก

รวมทั้งความสำเร็จมากมายที่ได้กับสโมสรตั้งแต่ลงสนามในสีเสื้อของทีมอย่างเป็นทางการนัดแรกในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ.1998 ไม่ว่าจะเป็นเอฟเอคัพ 2 สมัย (2001, 2006) ลีกคัพ 3 สมัย (2001, 2003, 2012) ยูฟ่าคัพหรือเรียกว่ายูฟ่า ยูโรป้าลีกในปัจจุบัน 1 สมัย (2001) และถ้วยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตอย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก 1 สมัย (2005) ขาดเพียงแค่พรีเมียร์ลีกที่เป็นฝันที่ไม่เป็นจริง

ในขณะที่รางวัลส่วนตัวมากมายนับไม่ถ้วน นอกจากนั้นตลอดอาชีพการค้าแข้งถูกทีมใหญ่จากทั่วยุโรปมาจีบหลายครั้งไม่ว่าจะเป็น “เรอัล มาดริด” “เชลซี” “บาร์เซโลน่า” และทีมอื่นๆ แต่ก็ต้องอกหักทั้งหมดเพราะเจ้าตัวตอบได้แค่ “ปฏิเสธ” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ที่สำคัญลงเล่นให้กับสโมสรเกิน 500 นัดทุกรายการและยิงทะลุ 100 ประตูไปเรียบร้อยแล้ว เรียกว่ายิ่งใหญ่จนถึงจุดอิ่มตัวตลอด 17 ปีที่รับใช้สโมสรจนอายุย่างเข้า 35 ซึ่งโรยราจนไม่ใช่ตัวหลักของทีมอีกต่อไปในยุคของ “เบรแดน ร็อดเจอร์” ดังนั้นการลาจากแยกทางก็คงเป็นเรื่องปกติที่สักวันต้องเกิดขึ้นและจนถึงบัดนี้คือเดือนสุดท้ายของเจ้าตัวในเสื้อสีแดง 

ส่วนซุปเปอร์แฟรงค์ “แลมพาร์ด” ต้องบอกว่าตัวเขากับ “เชลซี” สโมสรที่รับใช้มา 13 ปีเต็มจบลงเรียบร้อยตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว ด้วยเหตุผลเดียวกับ “เจอร์ราร์ด” จากวัยที่มากขึ้นโรยราจนไม่ใช่ตัวหลักของทีมอีกต่อไป และเซ็นสัญญาล่วงหน้ากับ “นิวยอร์ก ซิตี้ เอฟซี” สโมสรในเมเจอร์ลีก ซ็อกเกอร์ของอเมริกาเหมือนกัน

แต่ด้วยเหตุผลที่ “นิวยอร์ก” กับ “แมนฯ ซิตี้” มีเจ้าของเดียวกันจึงอยู่ในพรีเมียร์ลีกอีก 1 ฤดูกาลด้วยสัญญายืมตัวยาว 1 ปีเพราะเหตุผลทางฟุตบอล แต่หลังจากจบฤดูกาลนี้ คือเวลาจริงๆ ที่เจ้าตัวจะโบกมือลาเวทีพรีเมียร์ลีกสักที

นับว่าเป็นเวลาที่ยาวนานตั้งแต่เป็นเด็กฝึกหัดของ “เวสต์แฮม” จนลงเล่นทีมชุดใหญ่ 148 นัด จนย้ายมาอยู่กับ “เชลซี” ที่เป็นสโมสรที่เจ้าตัวสร้างความยิ่งใหญ่ไว้มากมายนับไม่ถ้วน

ที่สำคัญในแง่ความสำเร็จก็ได้ทุกอย่างมาครบเรียบร้อยตั้งแต่มาอยู่ในถิ่นสแตนฟอร์ด บริดจ์ ลงสนามครั้งแรกในวันที่ 19 กันยายน ค.ศ.2001 ด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย (2004-2005, 2005-2006, 2009-2010) เอฟเอคัพ 4 สมัย ( 2007, 2009, 2010, 2012) ลีกคัพ 2 สมัย (2005, 2007) ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก 1 สมัย (2012) และปิดท้ายด้วยยูโรป้าลีก 1 สมัย (2013)

สำหรับสไตล์การเล่นของมิดฟิลด์หน้าหยกจบโรงเรียนเอกชนชั้นนำเก่าแก่ของอังกฤษคนนี้ คือ มิดฟิลด์ตัวกลางที่เต็มไปด้วยเทคนิคและสายตาการส่งบอลที่แม่นยำ รวมทั้งจังหวะการยิงไกลที่ลุ้นประตูได้ทุกครั้งที่ง้างเท้าขึ้นมา

ถึงจะไม่ใช่ลูกหม้อของ “เชลซี” สโมสรที่ตัวเค้าสร้างชื่อ แต่ก็เป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คนหนึ่งของสโมสร จากการลงสนาม 429 นัด ยิงไป 147 ประตู

ทั้ง “เจอร์ราร์ด” และ “แลมพาร์ด” คือสองนักเตะตำแหน่งกองกลางที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกในยุคทศวรรษ 2000 - 2010 ที่ไม่มีใครสามารถขึ้นมาเทียบเคียงได้เลย โดยถ้าเปรียบ “เจอร์ราร์ด” คือ “ความรุนแรง ดุดันและทุ่มเท” ก็คงต้องให้ “แลมพาร์ด” คือ “ความแม่นยำและเฉลียวฉลาด”

อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ไม่เคยประสบความสำเร็จในสีเสื้อทีมชาติอังกฤษได้เลยแม้ยุคนั้นจะเป็น “โกลเด้น เอดจ์” ของขุนพลสิงโตคำรามก็ตาม และเมื่อถูกจับมาเล่นด้วยกันในฐานะมิดฟิลด์ก็ไม่สามารถเล่นเข้ากันได้ จนคิดได้ว่า “เล่นแบบใหญ่คับสโมสรแต่เวลามาเล่นทีมชาติไม่เป็นสัปปะรด” เลย

สุดท้ายเพียงแค่คำ “ขอบคุณ” ไม่ใช่แค่จากลิเวอร์พูลและเชลซี แต่จากคอบอลพรีเมียร์ลีกทั้งหลายก็คงไม่พอสำหรับสีสันเหตุการณ์มากมายที่ทั้งคู่เขียนไว้ในสนามหญ้าตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา

แต่จากนี้ไปคำว่า “เจอราร์ด” แอนด์ “แลมพาร์ด” คงเป็นเพียงแค่ตำนานเอาไว้ให้เด็กรุ่นใหม่พูดถึงและคนที่ทันยุคของทั้งคู่ได้นึกถึง แค่นั้นเองจริงๆ ครับ 

“เจอร์ราร์ด” แอนด์ “แลมพาร์ด”