นิกกี้ การณิก ทองเปี่ยม

นิกกี้ การณิก ทองเปี่ยม

“สำหรับแฟชั่นเซ็ตนี้เป็นอะไรที่ใหม่มากๆ ค่ะ ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ เพราะไม่เคย พอได้มาเจอทีมงานก็ยิ่งรู้สึกแปลกเข้าไปอีก เพราะช่างภาพเป็นผู้หญิง แปลกดี เพราะปกติช่างภาพแฟชั่นจะดูขรึมๆ เท่ๆ คือเป็นผู้ชายมากกว่าในความรู้สึกนิกกี้ แต่พอช่างภาพเขาทักว่าเคยเห็นเราตั้งแต่สมัยประกวด VJ Hunt ก็เลยประทับใจค่ะ นิกกี้ชอบมุมกล้องที่เขาถ่ายทอดอารมณ์เราออกมานะ มันดูสบายๆ เป็นธรรมชาติดี”

นอกจากความเซ็กซี่เล็กๆ ที่คุณจะได้เห็นในแฟชั่นเซ็ตนี้แล้ว รอยยิ้มของเธอจะทำให้คุณสัมผัสได้ถึงความน่ารักและความมีเสน่ห์ของเธอ
“ที่นิกกี้ยิ้มเก่ง อาจจะเป็นเพราะว่าเวลาไปไหนก็จะต้องเจอเพื่อนใหม่ๆ อยู่เกือบตลอดเวลา ก็รู้สึกว่าเวลาเรายิ้มกับใคร มันเหมือนกับเป็นการทักทายเขาก่อน เราอยากจะเป็นมิตรกับเขานะ มันเป็นการสื่อไปในทางที่ดี โดยเฉพาะเวลาที่เรายิ้ม มันก็ทำให้ตัวเราเองรู้สึกมีความสุขไปด้วย เวลาเราเครียด ถ้าได้ยิ้มความรู้สึกไม่ดีมันก็จะค่อยๆ ลดลง ปัญหาต่างๆ ก็จะผ่านไปได้ด้วยดี นิกกี้ไม่กลัวนะว่าถ้ายิ้มแล้วจะทำให้คนเข้าใจผิดว่าเราไปชอบเขา เพราะว่าโดยปกติแล้วเราเป็นคนขี้อายด้วยซ้ำ คือเราไม่ได้คิดอะไรเกินเลย เราทำสิ่งที่ดี และยิ่งถ้าเป็นเรื่องงานนิกกี้จะไม่กลัวที่จะยิ้มให้ใครเลย เพราะรอยยิ้มมันถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานของเราด้วย มันเป็นตัวตนของเรา ทำให้เรามั่นใจ”

 

ตั้งแต่เป็น VJ ของ MTV มาประมาณ 6 ปี เราไม่ค่อยจะได้เห็นเธอตกเป็นข่าวเรื่องความรักกับใคร หลายๆ คนอาจจะมองว่าเธอไม่ชอบผู้ชายหรือเปล่า 
“ความรักของนิกกี้เป็นสีฟ้าแบบเทอคอยซ์ค่ะ ไม่ได้หวาน เพราะส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ มากกว่า นิกกี้เคยมีรักที่ประทับใจนะ แต่นานมากแล้ว ตอนนั้นอยู่ประมาณเตรียมอนุบาล (หัวเราะ) คุณพ่อกับคุณแม่เขาหนีบเราไปที่สหรัฐฯ ด้วย ทุกคนเป็นฝรั่งหมด มีเราเป็นเด็กไทยหัวดำอยู่คนเดียว ทุกๆ คนก็ชอบที่จะมาเล่นหัวเรา เล่นผมเรา เหมือนเป็นตุ๊กตาของเพื่อนๆ จำได้ว่ามีอยู่คนหนึ่งชื่อ เวสต์ เขาดูหล่อที่สุดในโรงเรียน เราก็ชอบไปเล่นกับเขาบ่อยๆ ก็เป็นความรักแบบเด็กๆ ที่เราประทับใจค่ะ

 

“จริงๆ นิกกี้ก็ไม่ได้อยากอยู่คนเดียวนะ แต่ไม่ค่อยได้ออกไปไขว่คว้าหรือค้นหามากกว่า เพราะรู้สึกว่าความรักของเราน่าจะเป็นแบบฟ้าดลบันดาลให้มาเจอกัน เหมือนพรหมลิขิตมากกว่า ตอนนี้ที่ไม่มีอาจจะไม่ถึงเวลา แต่เมื่อถึงเวลาก็คงมาเอง ไปเร่งอะไรมันก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าอายุมากกว่านี้ก็อาจจะเปลี่ยนมุมมองไปมากกว่านี้ก็ได้ค่ะ (หัวเราะ)

 

“ถ้าถามว่าสำหรับนิกกี้แล้วผู้ชายเซ็กซี่ที่สุดตรงไหน นิกกี้ตอบว่าตรงความมั่นใจ เพราะจากประสบการณ์ตั้งแต่เด็กทำให้เรารู้ว่าผู้ชายมีหลายประเภท หน้าตาดี นิสัยดี ความสามารถมาก แต่บางคนก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่เราเห็น หน้าตาอาจจะดี แต่นิสัยแย่มากก็มี นิกกี้เลยรู้สึกว่า จริงๆ แล้วคนเราจะทำอะไรก็แล้วแต่มันต้องมาจากความมั่นใจก่อน แล้วถ้ามั่นใจ สิ่งต่างๆ ก็จะตามมา แต่ต้องเป็นความมั่นใจในสิ่งที่ถูกต้องด้วยนะ ต้องไม่คิดร้ายใคร 
ไม่ทำร้ายใคร แล้วผู้ชายคนนี้จะดูดีมาก เท่มาก ในสายตาของเรา”

 

หลังจากที่พูดคุยกับเธอไปได้สักพัก ทำให้เราได้ทราบว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ได้เป็นลูกครึ่งอย่างที่หลายคนเข้าใจ และชื่อนิกกี้ ก็ไม่ใช่ชื่อเล่นชื่อแรกของเธอ
“นิกกี้เป็นคนไทย โตเมืองไทยมาเกือบตลอด มีบ้างบางช่วงที่ไปต่างประเทศ เพราะคุณพ่อคุณแม่เขาไปเรียนต่อแล้วเขาก็พาเราไปด้วย แต่พอกลับมา มันก็ทำให้เราประสบปัญหา คือเราสื่อสารกับเด็กและครูไม่ได้ เพราะเขาพูดไทย แต่เราตอบเป็นภาษาอังกฤษ เขาก็มองว่าเราดื้อ ไม่ฟังครู ทำให้หลังจากนั้น 3 เดือน ภาษาอังกฤษเราลืมหมดเลย เวลาเรียนเกรดออกมาก็แย่มาก เพราะรู้สึกไม่ชอบ แต่พอโตมาก็ตั้งใจมากขึ้นหน่อย และมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ย้ายบ้านไปอยู่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย 3 ปี ช่วงประมาณ ม.3-ม.5 การไปที่นั่นก็ทำให้เราได้นิคเนมใหม่มา นั่นก็คือ นิกกี้ เพราะชื่อเราคือ การณิก ฝรั่งเขาก็เรียก นิกกี้ๆ แล้วยิ่งพอกลับมาเรียนที่ธรรมศาสตร์ ชื่อเล่นจริงๆ เราคือ โน้ต ซึ่งมันซ้ำเยอะมาก ก็เลยต้องมีชื่อพ่วงท้าย ของเราก็เลยเป็น นิกกี้ โน้ต ตั้งแต่นั้นมา”

 

ช่วงปีใหม่แบบนี้ เราเลยอดถามถึง New Year Resolution ของเธอไม่ได้ว่าปีนี้ตั้งใจจะทำอะไรบ้าง
“นิกกี้ชอบวางแผนเรื่องง่ายๆ มากกว่าที่จะมานั่งกำหนดเป้าหมายอะไรที่มันใหญ่โต อย่างเช่นตั้งใจว่าปีนี้จะออกกำลังกาย เราก็ไปออกกำลังกายเลย อย่างเมื่อเช้าก็ไปวิ่งมา นิกกี้ชอบออกกำลังกายเพราะเราเห็นคุณพ่ออายุจะ 60 ปีแล้ว แต่ท่านยังแข็งแรงอยู่ ยังเล่นกีฬาต่างๆ ได้ เตะบอลได้ ตีกอล์ฟได้ การที่คุณพ่อสุขภาพดีก็ทำให้เราเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องมีเงินเยอะ ไม่ต้องหรูหรา ไม่ต้องมีอะไรอู้ฟู่ ชีวิตก็มีความสุขได้ ทำอะไรที่อยากทำได้ ยิ่งนิกกี้ได้ทำงานที่มีตารางชีวิตที่แตกต่างจากคนอื่น ก็ยิ่งต้องจัดตารางเวลาให้ตัวเองได้ง่าย แล้วทำไมเราจะไม่เริ่มล่ะ สมัยเรียนเรายังทำได้ เพราะว่าเป็นนักกีฬาแบดมินตัน หลังจากเลิกเรียนก็ต้องไปซ้อมๆๆ ก็เหมือนกันตอนนี้หลังจากทำรายการเสร็จ มีเวลาก็ไปเล่นโยคะ ตีแบด แล้วสิ่งเหล่านี้ก็เพิ่มรสชาติให้การทำงานเราได้มีความสุขด้วย เพราะถ้าเราสุขภาพดี เราก็สามารถเต็มที่ได้กับทุกๆ งานที่เราทำ”

 

เชื่อมั้ยครับว่านอกจากเชียร์ลีดเดอร์ที่เธอเคยเป็นสมัยเรียนธรรมศาสตร์แล้ว เธอยังมีความสามารถพิเศษอีกอย่างนั่นก็คือ การพูดโดยไม่ขยับปาก
“มันเป็นอะไรที่ง่ายมากๆ คือตอนที่นิกกี้เป็นลีดที่คณะ คนดูที่สแตนด์จะไม่ค่อยเห็นอะไรเราหรอกนอกจากมือ แต่เชียร์ลีดเดอร์ก็ต้องสื่อสารกัน ขยับขึ้น ขยับลง ต่อไปจะเป็นเพลงอะไร ก็ต้องทำให้คนดูมองไม่เห็น เราก็จะยิ้ม และระหว่างที่ยิ้มเราก็จะพูดไปด้วย ทำให้ทุกคนเห็นว่าเรายิ้มอยู่ แต่จริงๆ แล้วเราพูดไปด้วย ยิ้มไปด้วย อย่างถ้าเป็นคำสั้นๆ ก็พูดง่ายๆ เลย อย่างคำว่า รัก เป็นต้นค่ะ”

 

แค่รอยยิ้มของเธอก็ทำให้โลกละลายได้แล้ว นี่ยังได้ยินเธอเอ่ยคำว่า รัก ให้ฟังอีก ชีวิตนี้ช่างมีความสุขจริงๆ ครับ 

My First Time