สูตรลับน้ำหนักลด

สูตรลับน้ำหนักลด

6 ตัวแรกก็หมายถึงตัวเลข 6 นาฬิกานั่นล่ะครับ แต่เป็น 6 โมงเช้านะครับไม่ใช่ 6 โมงเย็น ใครที่เคยได้ยินความเชื่อเรื่องทีว่าตื่นเช้าแล้วจะสุขภาพดีนั้น เป็นเรื่องจริงครับ แต่ถ้านอนดึกตื่นเช้าก็คงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องสักเท่าไร ต้องนอนเร็ว ตื่นเร็วถึงจะดี ทุกเช้าที่เราตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เราควรทำเลยก็คือ ออกกำลังกายครับ ด้วยวิธีใดก็ได้เช่น เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน เดินในน้ำ ว่ายน้ำ โดยให้ต่อเนื่องกันสักอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงขึ้นไป แต่ต้องเหนื่อยนะครับ โดยต้องเป็นไปตามนิยามที่ว่าให้หัวใจเต้นเร็วอย่างน้อย 70% ของ Maximum Heart Rate วิธีคำนวณง่ายๆ ก็คือ นำตัวเลข 220 ตั้งแล้วลบด้วยอายุ สมมติอายุ 30 ปี ก็จะเป็น 220-30 เท่ากับ 190 ก็นำไปคูณกับ 70% ซึ่งเท่ากับ 133 ครั้ง ก็เท่ากับว่าตัวเลขนี้คืออัตราเต้นของหัวใจที่เราจะต้องไปให้ถึงในระหว่างออกกำลังกาย ถ้าไม่ถึงก็เท่ากับว่าไม่ได้ผล แต่ถ้ามากเกินไปก็จะอันตราย เพราะถ้าหากหัวใจเต้นเข้าใกล้หรือเกิน Maximum Heart Rate โอกาสที่จะเกิดอาการหัวใจวายก็เป็นไปได้ครับ

 

 หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าขณะที่เราออกกำลังกายอยู่นั้น หัวใจเราเต้นที่ครั้งต่อนาที นอกจากการนับจังหวะหัวใจที่เต้นแต่ละครั้งแล้ว ปัจจุบันก็มีเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะออกกำลังกายอยู่ด้วย ทำให้สะดวก สบายในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจมากครับ หรือถ้าจะใช้แบบภูมิปัญญาชาวบ้านเลยก็ได้ครับ ใช้วิธีวัดระดับความเหนื่อย โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ระดับแรกคือไม่เหนื่อยเลย เดินทอดน่องสบายๆ อย่างนี้การออกกำลังกายไม่มีผลแน่นอนครับ ระดับที่สองคือเหนื่อยปานกลาง หรือหายใจหอบ อันนี้ถือว่าใช้ได้ และเหนื่อยระดับที่สามคือเหนื่อยจนพูดไม่ออก อันนี้อันตรายครับ เพราะอาจทำให้เกิดอาการช็อกได้

 

หลังจากที่ออกกำลังกายไปแล้วในช่วง 6 โมงเช้า ตัวเลขถัดมาก็คือเลข 7 เลขนี้มีความสำคัญไม่แพ้กันครับ เพราะคือช่วงเวลาที่ห้ามดื่ม ห้ามกินอะไรก็ตามที่มีแคลอรี่ อย่างน้อยๆ หนึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ น้ำเปล่าดื่มได้ น้ำเกลือแร่ ของหวาน หรืออาหารที่มีพลังงานนั้นห้ามเด็ดขาด เหตุผลที่ห้ามเป็นเพราะว่าหลังจากที่เราออกกำลังกายเสร็จแล้ว ร่างกายจะเข้าสู่ช่วงเผาผลาญไขมัน เพราะช่วงที่เรานอนหลับนั้น ร่างกายเราก็เผาผลาญแป้ง และน้ำตาลไปก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้นช่วงเช้าแป้งและน้ำตาลก็จะเหลือไม่มาก ร่างกายก็เข้าสู่กระบวนการเผาผลาญไขมัน

 

แต่เมื่อใดก็ตามที่เรากินหรือดื่มแป้งหรือน้ำตาลเข้าไปแม้แต่คำเดียวก็ตาม ร่างกายจะสลับจากการเผาผลาญไขมันเป็นการเผาผลาญแป้งและน้ำตาลแทน และช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่แป้งและน้ำตาลที่จะเผาผลาญไม่หลงเหลือในร่างกายแล้ว ทำให้ร่างกายเรียกร้องหาแป้งและน้ำตาลเพิ่ม เราก็ต้องบริโภคเพิ่มเข้าไป เรียกได้ว่ากลายเป็นกินเยอะ กินจุมากกว่าปกติ ซึ่งทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผล

 

และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่หลายคนออกกำลังกายแล้วไม่เห็นผล เพราะออกกำลังกายแล้วก็ไปกิน ถ้าจะให้ได้ผลดีที่สุดต้องหยุดพักสักหนึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ซึ่งก็พอดีกับออกกำลังกาย 6 โมง ช่วง 7 โมงก็พัก อาจจะไปอาบน้ำ แต่งตัว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการออกไปทำงานหรือทำธุระก็ได้ครับ

 

หลังจากนั้นพอถึงช่วง 8 โมงเช้า ก็กินอาหารเช้าให้เต็มที่ กินให้เสร็จก่อน 9 โมง เพราะถ้ากินหลัง 9 โมง ร่างกายจะเกิดอาการหิวบ้าเลือด ทำให้กินเยอะ และกินเก่งกว่าปกติ

 

มื้อเช้าแนะนำให้เป็นข้าวกล้องงอกสัก 1 ทัพพี ที่เหลือเป็นกับข้าว เน้นผักเยอะๆ กลางวันก็ข้าวกล้องงอกสักครึ่งทัพพี ที่เหลือก็เป็นกับข้าว เน้นผักเยอะๆ เช่นกัน ช่วงเย็นก็งดแป้ง น้ำตาล อาจจะกินเป็นผลไม้สักเล็กน้อย ระหว่างมื้อถ้าหิวก็กินผลไม้ หรือกินอาหารกลุ่มที่เป็นเนื้อสัตว์กับผัก การทำแบบนี้ทุกวัน โอกาสที่น้ำหนักจะลงถึงสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัมอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นไปได้สูงครับ (ถ้าไม่ทำทุกวัน โอกาสที่จะทำให้น้ำหนักลดลงสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัมก็ลดลง)

 

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องเป็น 6-7-8 เป็นช่วงเวลาอื่นๆ ได้ไหม อย่างแรกเลยก็คือ อาหารเช้าเราต้องกินก่อนเก้าโมงเช้าอยู่แล้ว ถ้าจะเป็น 7-8-9 ก็อาจจะไม่ทัน หรือถ้าเปลี่ยนเป็นช่วงเวลาเย็นๆ การออกกำลังกายในเวลาเย็นนั้น ผลที่ได้รับจะน้อยกว่าการออกกำลังกายในช่วงเช้า เพราะช่วงเวลาที่เรานอนหลับนั้น ร่างกายเราจะเผาผลาญแป้งและน้ำตาลที่กินเข้าไปอย่างที่บอกในข้างต้น ดังนั้นพอออกกำลังกายตอนเช้า ร่างกายก็จะเผาผลาญไขมันให้ แต่ถ้าเราออกกำลังกายตอนเย็น ร่างกายก็จะต้องเผาผลาญอาหารมื้อเช้าและมื้อกลางวันให้หมดก่อน แล้วค่อยมาเผาผลาญไขมัน ดังนั้นถ้าเราอยากให้น้ำหนักลงและสุขภาพดี เราต้องบังคับให้ร่างกายเผาผลาญไขมันออกไป เช่นนั้นการใช้สูตร 6-7-8 จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวัน

 

สำหรับผลข้างเคียงของการใช้วิธีการนี้ในการดูแลและควบคุมน้ำหนักนั้น มีอยู่อย่างเดียวครับ คือ คุณต้องเปลี่ยนไซส์ของเสื้อผ้าให้มีขนาดเล็กลงเพื่อรับกับร่างกายที่ผอมลงและแข็งแรงขึ้นครับ

 

อยู่กรุงฯ ขาดวิตามินดีกว่า ตจว.

ด้วยเหตุที่ชีวิตการทำงานของคนเมืองหลวงในยุคปัจจุบัน อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมติดแอร์ ทำให้ในหนึ่งวันนั้น ร่างกายไม่ได้รับแสงแดดหรือวิตามินดีที่พอเพียง โดยวิตามินดีนั้นมีความสำคัญในการดูดซึมแคลเซียมจากทางเดินอาหาร ให้ร่างกายนำกลับไปใช้ประโยชน์ แต่เมื่อร่างกายขาดวิตามินดี ก็จะทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง คนเมืองจึงมีภาวะกระดูกพรุนและเสี่ยงที่จะกระดูกหักง่ายขึ้น ซึ่งปกติแล้วคนเราควรจะถูกแดดในช่วง 10.00-14.00 น. ประมาณ 10-15 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ร่างกายสร้างวิตามินดีที่เพียงพอกับการใช้งานในแต่ละวัน

 

ผ้าขี้ริ้วดองฟอร์มาลีน

จากข่าวใหญ่เรื่องซากไก่ปนเปื้อนน้ำยาดองศพหรือฟอร์มาลีนเพื่อให้สามารถเก็บรักษาได้นานนั้น ปัจจุบันพบว่า ไม่ใช่แค่ซากไก่เท่านั้น แต่รวมไปถึงเนื้อสัตว์ต่างๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะวัว ขี้ริ้ววัว หรือสไบนาง ล้วนเป็นสิ่งที่พบว่ามีการปนเปื้อนฟอร์มาลีนมากที่สุด รองลงมาก็คือปลาหมึกกรอบ

 

ฟอร์มาลีนนั้นแค่สัมผัสโดนผิวหนังก็ทำให้เกิดอาการผื่นคันแล้ว ถ้าสูดดมก็จะทำให้ไอ มีผลออกฤทธิ์กับระบบประสาทส่วนกลาง และมีผลต่อเนื้อปอด ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ และหากรับประทานเข้าไปจะทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ แน่นหน้าอก ปวดท้อง ระบบการไหลเวียนของเลือดผิดปกติ ตับและไตเสื่อม รวมถึงความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งก็เพิ่มสูงกว่าปกติในอนาคตอีกด้วย

 

คลื่นโทรศัพท์ทำให้หลับไม่พอ

ใครที่ชอบคุยโทรศัพท์นานๆ โดยเฉพาะตอนก่อนเข้านอน ต้องรีบเปลี่ยนพฤติกรรมโดยด่วนแล้วครับ เพราะ ดร.คริส อิตซิโคว์สกี้ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพการนอนในเอดินบะระ สกอตแลนด์ ระบุว่า จากการทดสอบกับอาสาสมัคร ชาย 35 คน หญิง 36 คน ที่มีอายุระหว่าง 18-45 ปี พบว่า ผลข้างเคียงของคลื่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการนอน และยังทำให้อาสาสมัครเหล่านี้มีช่วงหลับลึกน้อยกว่าปกติ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงที่จะนำไปสู่โรคเครียด สมาธิสั้น หากอยู่ในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่นก็จะมีผลต่อความจำและประสิทธิภาพในการเรียนรู้อีกด้วย

 

ออกกำลังกายด้วยหนังยาง

หลายคนอยากมีเครื่องออกกำลังกายไว้ที่บ้าน เพื่อให้การออกกำลังกายง่ายและสะดวกขึ้น แต่เครื่องออกกำลังกายที่ว่านั้นไม่จำเป็นจะต้องเสียเงินแพงๆ ซื้อมานะครับ เพราะเพียงแค่มีหนังยางที่ร้อยติดกันสักเส้น แค่นี้ก็มีโอกาสสุขภาพดีได้แล้ว

 

เพราะการใช้หนังยางในการออกกำลังกายนั้น จะทำให้ร่างกายได้ยืดเหยียด และบริหารกล้ามเนื้อ โดยหนังยางจะทำหน้าที่เป็นแรงต้าน ทำให้เราต้องออกแรงเพื่อจะเอาชนะให้ได้ กล้ามเนื้อของเราจะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น หากทำติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง และระยะยาว

 

ในส่วนของท่าที่ออกกำลังกายนั้น ควรเน้นการจัดวางท่าทางให้ถูกต้อง จะออกกำลังกายส่วนไหนก็เน้นกล้ามเนื้อส่วนนั้น และทำให้ครบทุกส่วน ที่สำคัญ ทำที่ไหน เวลาไหนก็ได้ครับ เพียงแค่มีหนังยางเท่านั้นก็พอ

ออกกำลังกายตอนไหนดีที่สุด?