แม่สอด-แม่เมย
สำหรับบางคน การได้เดินทางไปบนถนนร้างไร้สัญจร พบพานทั้งรอยยิ้มและรสเค็มขมของน้ำตา เหนื่อยอ่อนทว่าแสนรื่นรมย์บางครั้งความหมายที่อยากค้นหาอาจทักทายเขาตั้งแต่หมุนวงล้อลงบนผิวถนน
เรายืนอยู่ริมแผ่นดินไทย-พม่า เบื้องหน้าคือผู้คนขวักไขว่ แม่น้ำ และสิ่งที่เรียกว่าชายแดน อ.แม่สอดและเมืองเมียวดีถูกกั้นด้วยพรมแดนธรรมชาติอย่างแม่น้ำเมยหรือต่องยินในภาษาพม่า
ตลาดริมเมยในวันบ่ายคึกคักแม้ไม่ใช่วันหยุด ข้าวของเครื่องไฟฟ้าจากจีน ขนม ผลไม้อบแห้ง หรือแม้แต่อัญมณีต่างๆ ล้วนแต่คงรูปแบบการค้าของตลาดชายแดนเอาไว้ท่ามกลางโลกทุนนิยมที่เปลี่ยนผ่าน ไม่ว่าจะเป็นฝั่งไหนของเมืองไทย
เฟอร์นิเจอร์ไม้สักขนาดใหญ่มากลวดลายตะวันตก ของเก่าที่กระจัดกระจายออกมาจากฝั่งพม่า หรือเครื่องใช้ฟุ่มเฟือยอันตื่นตาพ่อค้าขายของเก่าเหล่านี้ เปรียบเสมือนตัวแทนโลกอาณานิคมของอังกฤษที่เคยปกครองพม่ามายาวนาน ยิ่งมันเดินทางออกมาอย่างไม่ไยดีกับคืนวันเก่าๆ อันเลวร้าย ก็ไม่มีอะไรต้องตีโพยตีพายกับการดิ้นรนเอาตัวรอดท่ามกลางโลกปัจจุบันของพวกเขา
ชีวิตริมเมยไม่ได้มีเพียงแต่ในตลาด แต่ยังคงตากแดดตากฝนอยู่รายรอบ พ่อค้าแม่ค้าชาวเมียวดีที่ยกชายโสร่ง ผ้าถุง เดินข้ามน้ำเมย หอบหิ้วสินค้าข้ามมาโดยไม่ได้ผ่านกลไกของทางราชการ ปูทะเลตัวดำเมื่อม บุหรี่ปลอม หรือแม้แต่หยูกยาชวนเชื่อสรรพคุณต่างปะปนคละเคล้าอยู่ด้วยเรื่องราวการดิ้นรน ดูเหมือนชีวิตของพวกเขาเป็นได้แค่ขนมหวานของการเปลี่ยนแปลงใหม่ในพม่า
รั้วกั้นและธงชาติดูไม่ได้บ่งบอกขอบเขตที่แท้จริงของสองประเทศ ผู้คนยังคงเดินข้ามไปมาเหมือนมันมิได้มีอยู่จริง มีแววตาประเภทเดียวกัน อันเป็นที่เข้าใจได้ไม่ยากว่าการต่อสู้ดิ้นรนกับชะตากรรมตามมีตามเกิดล้วนเป็นสิ่งที่ดำเนินมาตลอดเวลา เท่าที่ใครบางคนนิยามคำว่าชายแดนขึ้นมา
แม่สอดเป็นบ้านกลางหุบเขาอันเก่าแก่ของผู้คนหลายเชื้อชาติที่อยู่ร่วมกันมาในปราการขุนเขาถนนธงชัย ความเป็นตัวเองของคนที่นี่ฉายชัดอยู่ในทุกเช้ารายรอบถนนอินทรคีรีและประสาทวิถี ความเจริญมั่งคั่งอันมีผลจากการเป็นเมืองชายแดนค้าขายไม่ได้ทำให้สิ่งหล่อหลอมทางความเป็นอยู่ของพวกเขาเลือนหายไปกับคืนวัน
ยามเช้าที่ร้านโรตีโอ่ง ผู้คนยังเป็นมิตร ย่านมุสลิมบนถนนศรีพาณิชของแม่สอดมอบภาพตรึงตราของเหล่ามุสลิมจากบังคลาเทศที่ฝ่าภูเขายาวไกลจากพม่ามาตั้งรกรากร่วมร้อยปี มัสยิดนูรุลอิสลามยังคงเนืองแน่นผู้คนในทุกเช้า โลกของศาสนาไม่ได้แบ่งแยกแตกต่างในความสุข
เช่นเดียวกันกับชาวไทยใหญ่ที่ปักหลักมาคู่กับวันเวลาของแม่สอด การได้ดูความงดงามของศิลปะไทยใหญ่อันผสมผสานอยู่ตามวัดอย่างวัดมณีไพรสณฑ์ วัดชุมพลคีรี ที่งดงามด้วยเจดีย์ศิลปะพม่า ตามเชิงชั้นวิหารฉลุไม้สะท้อนลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ภาพเหล่านั้นตรึงตราไม่ต่างจากคำพูดคุยกับผู้คนที่สืบเชื้อสาย
สิ่งเหล่านี้มีมายาวนานเคียงคู่แม่สอด ทั้งภาพการก่อร่าง เปลี่ยนแปลง และผสมผสานอย่างเป็นตัวของตัวเอง สำหรับตัวผม การกลับมาเยี่ยมเยียนหลายคนที่นี่ นอกจากไถ่ถามทุกข์สุขแล้ว เรามักหนีไม่พ้นที่จะพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวอดีต ทั้งของพวกเขาหรือยาวไกลออกไปถึงเมืองชายแดนที่โอบล้อมหลายชีวิต
ไม่ใช่กลัวว่ามันจะตกหายไปกับปัจจุบัน หากการพร่ำถึงแต่อนาคตและวันพรุ่งนี้ที่ยังมาไม่ถึงนั้นอาจรางเลือน รอยยิ้มชัดๆ จากวันที่ผันผ่านอาจเป็นสิ่งจริงแท้เสียมากกว่า
เช้าวันต่อมาในพรำสาย ผมพบตัวเองอยู่บนถนนแสนเงียบ ทางหลวงหมายเลข 105 กลายเป็นจุดหมายของเราอีกครั้ง นาทีนี้ปลายทางของเรายังอยู่อีกยาวไกล
หลายคนเคยกล่าวไว้ ถนนทุกสายล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราว
เส้นทางสายนี้คงความเป็นตัวของตัวเอง พาชีวิตรายรอบเคลื่อนผ่านไปอย่างไม่อาจหลีกหนีกันและกัน หลายคนยังจำการมาถึงของถนนร้างไร้สัญจรคู่ชีวิตเส้นนี้ได้ ถึงแม้มันจะเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาก็ตาม
เราเลียบชายแดนกันต่อเพื่อมุ่งสู่อำเภอแม่ระมาดเป็นจุดหมายแรก อำเภอเล็กๆ แห่งนี้เงียบสงบในวันฝนฉ่ำ หมอกจางลอยต่ำเรี่ยตามถนน ผู้คนเปล่งภาษาเมืองหวานหู สะท้อนการมาตั้งรกรากดั้งเดิมที่บรรพบุรุษของพวกเขาเดินเท้ารอนแรมตัดเขามาจากลำปาง
ชุมชนแห่งนี้อยู่คู่เทือกเขาถนนธงชัยก่อนการมาถึงของถนน เป็นจุดพักตามเส้นทางกองการค้าคาราวานระหว่างมะละแหม่งสู่แม่ฮ่องสอน เชื่อมโยงภาคเหนือของไทยเข้าสู่รัฐฉานของพม่า ตกทอดเป็นบทบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ของพ่อค้านักเดินทางมาตามการเปลี่ยนผ่านของวันเวลา
ฟ้าวันฝนอัดครึ้มเมื่อเราเข้ามาถึงน้ำพุร้อนแม่กาษา 11 กิโลเมตร ไม่มากมายอะไรสำหรับนักท่องเที่ยวท้องถิ่น พวกเขาพาลูกหลานมาพักผ่อนง่ายๆ ในบรรยากาศปิกนิค เด็กๆ ต้มไข่กับน้ำร้อน วิ่งแจ้นหาพ่อแม่ยามสุกและสุข นาทีนั้นผมไม่ได้คิดหาความลึกซื้งอะไรกับภาพตรงหน้ามากไปกว่ายิ้มให้กับชีวิตเปี่ยมสุขที่หาได้ค่อนข้างยากในโลกแตกแยกที่รอเราอยู่ข้างนอก
เมื่อหลุดออกจากความเป็นเมือง ถนนขนาดใหญ่พาเราไปอีกไม่ไกล สองข้างทางก็บอกให้คนในรถรู้ว่า บางครั้งเรื่องเรียงรายนอกกระจกรถล้วนจริงจังและน่าจดจ่อไม่แพ้จุดหมายที่อยู่ข้างหน้า
ถนนเริ่มเต็มไปด้วยความเงียบเชียบ หากไม่นับรถสองแถวโดยสารจากแม่สอด-แม่สะเรียง ที่เพิ่งเราเพิ่งตีไฟขวาขอทางและแซงมาเมื่อครู่ กว่า 20 นาทีแล้วที่ผมใช้ถนนเลนนี้อยู่คนเดียว
เราแอบรถริมทางที่บ้านขะเนจื้อเพื่อตื่นตากับบ้านของพี่น้องกะเหรี่ยงที่เหยียดขยายครอบคลุมภูเขาหลายต่อหลายลูกเอาเป็นพันหลัง ไล่เรียงขึ้นไปตามสันเนิน นี่คือแคมป์อพยพของคนกะเหรี่ยงอันกินพื้นที่ยาวไกลที่สุดในประเทศหากมองกันลงมาด้วยแผนที่เฉพาะทางการวัดจำนวนประชากรอพยพตามตะเข็บชายแดน
ในผ้าทอหลากสีที่พวกเขาสวมใส่และภาษาอันแตกต่างยากจะเข้าใจนั้น มากมายด้วยเรื่องราวเก่าแก่สืบเนื่องเป็นร้อยเป็นพันปีนับตั้งแต่กลุ่มชนในตระกูลชิโน-ธิเบตเผ่าพันธุ์นี้เลือกที่จะลงจากเขามาสัมผัสสัมพันธ์กับคนพื้นล่าง ใช่เพียงแต่การพบกันทางวัฒนธรรม แต่กว่าร้อยปีที่พวกเขาก็ต้องแลกมาด้วยสายเลือดและหยาดน้ำตาในการได้มาซึ่งแผ่นดินที่อยู่
ถัดลึกไล่เลยแม่น้ำเมยข้ามฝั่งไปในดินแดนพม่า ในรัฐกอทูเลและรัฐกะยา แคว้นแดนเดิมอันเป็นบ้านของพวกเขาไม่เคยเงียบเสียงปืนและการสู้รบ ตั้งแต่อังกฤษเข้าปกครองพม่าตอนเหนือในปี พ.ศ.2428 แต่นั้นมาพี่น้องชาวกะเหรี่ยงก็เผชิญกับการขับไล่แก่งแย่งดินแดนมาตลอด
ป่าเขา ลำน้ำ แผ่นดิน ที่คนกะเหรี่ยงเคารพในแถบนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่แม่ธรรมชาติอย่างที่เคยเป็น แต่คือสนามรบ เส้นทางลำเลียง บ้านหลบภัยพึ่งพิง หรือแม้แต่เขตแดนแผ่นดินที่เขาคิดกันว่าข้ามพ้นมาแล้วจะหลับตาลงอย่างสงบได้
ฟังดูชีวิตของพวกเขาช่างรันทด สุ่มเสี่ยง มากด้วยริ้วรอยชะตากรรม แต่มันก็ต่างเหลือเกินกับภาพตรงหน้าที่ผมพบเห็น แม้จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่พวกเขาก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มกับชีวิตที่หลงเหลือ เด็กๆ ส่งเสียงเริงร่า และสาวๆ ยังคงรักในความสวยงามของหน้าตาและผ้าทอผืนสวย
ชีวิตยังคงง่ายกว่าที่เราคิดเราเชื่อ อาจเพราะการมุ่งจะเอาตัวเราไปชี้วัดตัดสินนี่เอง ที่ก่อให้เกิดอะไรต่อมิอะไรมากมายขึ้นมาจนซับซ้อนเกินแก้ไข
ถนนฉ่ำฝนเล็กลงและฉ่ำชื้นพาเราเข้าเข้าสู่เขตอำเภอท่าสองยาง ทางแคบชันเริ่มทำหน้าที่ของมันเพื่อให้เรารู้อยู่ว่ากำลังวิ่งอยู่บนภูเขา ยามเย็นดึงกำลังรถชรา บวกกับความมืดที่กำลังจะมาเยือนอีกราวชั่วโมงข้างหน้า อุทยานแห่งชาติแม่เมยจึงกลายเป็นที่พักแรมที่เราหมายจะไปให้ถึงในค่ำนี้
ทางหลวงหมายเลข 1267 พาเราเข้าอุทยานฯ ผ่านคดโค้งพับผ้าขึ้นไป จุดชมวิวแม่สลิดหลวงเปิดให้เห็นแม่น้ำเมยและแผ่นดินทั้งสองฝั่งได้กระจ่างตา
บ้านพักมีลำห้วยส่งเสียงครืนครามอยู่เบื้องล่าง หน้าลานระเบียงอากาศฉ่ำ สำหรับคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยมาเกือบทั้งวัน ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ลุกขึ้นเดิน สูดกลิ่นไอป่า และฟังเสียงรายรอบที่จริงแท้ ไม่ใช่เสียงของเครื่องยนต์
ตี 5 เราผละจากที่นอนแสนสบาย ผ่านคดโค้งไปตามทางมืดมิด หมอกจัดลอยต่ำผ่านบานกระจก ม่อนครูบาใสยังไม่สว่าง แต่ก็เห็นเค้ารางของภาพวิวตรงหน้า เลยไปดูม่อนพูนสุดาที่อยู่ถัดไปอีกไม่กี่กิโลเมตร สำหรับวันปลายฤดูฝน ทะเลหมอกอาจไม่มากมาย ฟ้าไม่กระจ่างจนเบื้องล่างเกิดเป็นมายาของไอน้ำและแสง แต่ฟ้าบลูยามรุ่งก็ดูเป็นความพึงใจง่ายๆ ที่ผมมีให้กับยามเช้า
เราถ่ายรูปเล่นกันไปอย่างไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นภาพสวยสดเหมือนโปสการ์ด การได้พาตัวเองมาอยู่ในที่ที่ไม่คิดว่าจะมาได้ง่ายๆเช่นนี้ สำหรับผมดูเหมือนจะน่าสนใจยิ่งกว่า เราขึ้นไปยังม่อนกิ่วลมเพื่อพบกับหมอกที่ยังลงจัด ลานแคมป์เงียบเหงา เหลือเพียงยอดไม้ยืนท้าความเย็น
ฟ้าเริ่มสว่าง น้ำตกแม่ระเมิงอย่างตอนเช้าเพลินตา ยามน้ำมาก น้ำตกเล็กๆ แห่งนี้สวยงามราวน้ำตกขนาดใหญ่ น้ำค้างยังไม่เหือดไปจากพืชพรรณ เกิดมุมมองเล็กๆ ให้คนหลงใหลโลกมาจมจ่อมอยู่ตรงนั้นได้ยาวนาน
สายวันนั้นเมื่ออิ่มใจเราก็ลงจากภูเขา กลับสู่ถนนสายเดิม มันต้อนรับเราด้วยภาพซ้ำๆ ของเมื่อวานที่ผ่านมา ความเงียบเหงา ผู้คนและเรื่องราวระหว่างทาง
ถนนอาจเป็นสายเดียวกัน แต่ผู้รอนแรมสัญจรและหลับตาพึ่งพิงอาจมีมิติในดวงตาแตกต่าง เช่นเดียวกับอีกหลายอย่างในหนทางชีวิต ที่สองข้างทางอาจบอกเราว่ามีโลกหลายใบทับซ้อนกันอยู่
และความหมายหลากหลายของมันที่ตกหล่นรายทางก็ไม่อาจชี้วัดคุณค่าได้โดยการตัดสินจากนิยามของใครคนหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว