สีหพันธุ์ ชุมสาย ณ อยุธยา

สีหพันธุ์ ชุมสาย ณ อยุธยา

เขาคือนักพัฒนาองค์กรตัวยง อีกสถานะหนึ่งเขาคือนักบริหารผู้มากความสามารถ ภูมิหลังเป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิด จบประถมศึกษาที่กรุงเทพคริสเตียน จบมัธยมศึกษาที่เตรียมอุดมศึกษา จบปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำเร็จปริญญาโทคณะนิติศาสตร์ต่างประเทศ ได้รับเกียรตินิยม จากนั้นจึงเริ่มต้นชีวิตการทำงานที่บริษัท โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ในตำแหน่ง Account Director ฝนเขี้ยวเล็บก่อนย้ายไปรับตำแหน่ง Senior Account Director ที่บริษัท สปา แอดเวอร์ไทซิ่ง ราวๆ ปี พ.ศ.2539 เข้าร่วมงานกับบริษัทธนบุรี ออโตโมทีฟ ซึ่งเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายรถยนต์เมอเซเดส เบนซ์ เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ในตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายขาย ต่อมาปี พ.ศ.2543 ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดของรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูและมินิคูเปอร์ ที่บริษัท บีเอ็มดับเบิ้ลยู กรุ๊ป (ประเทศไทย) จนกระทั่งปีพ.ศ.2547 ชะตาชีวิตพลิกผันก้าวกระโดดเข้าร่วมงานกับสายการบิน นกแอร์ ในตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด

 

สู่ธุรกิจการบิน

“งานของผมทุกวันนี้ก็คือผมต้องออกไปดูโลกข้างนอกว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว เพื่อว่าเราจะได้มีมุมมองต่อโลกอย่างไร มองในสายตานักการตลาดหรือมองด้วยสายตาของคนทั่วๆ ไป ถ้ามองอย่างแรก เราต้องมองให้เห็นว่าตรงไหนมันเป็นโอกาสที่สามารถจะแปลงในสิ่งที่เราเห็นเข้ามาสู่งานที่เราทำ อย่างผมมองนกแอร์เป็นการสร้าง เราสร้างสิ่งหนึ่งเพื่ออนาคต ซึ่งทีมงานเราที่ทำงานทุกวันนี้มองภาพเหมือนกัน แม้จะมาจากสารพัดที่ แล้วมาร่วมกันทำงาน เราเป็นยุคผู้สร้างเราต้องสร้าง เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งที่เรารีไทร์แล้ว เราหันกลับไปมองมันอย่างมีความสุขว่าเราสร้างองค์กรนี้มันขึ้นมา มันเข้มแข็งทั้งแบรนด์นอกและแบรนด์ใน ผมสามารถกลับไปบอกลูกหลานในสิ่งที่เราทำได้ว่าพ่อกับเพื่อนช่วยกันสร้างด้วยกันมา มันเป็นความสำเร็จอย่างนึงในอาชีพการงานของคนสักคนหนึ่งที่เราทำงานมาตลอดชีวิต เราก็อยากนำความภาคภูมิใจไปบอกลูกว่าเราสร้างมันขึ้นมา มันคือความสุขในวัยเกษียณ

 

“หากเราจะมองถึงการสร้างก็ต้องมองถึงความยั่งยืนก่อน เพราะธุรกิจเรามันต่างกันกับพวกสบู่ ยาสีฟัน น้ำมันพืช ที่อยู่บนซูเปอร์มาร์เก็ต ธุรกิจเราเมื่อมองเผินๆ หลายคนบอกว่าธุรกิจการบินมันคือเครื่องบิน แต่ถ้าเรามองอย่างคนเข้าใจ ธุรกิจของเราคือธุรกิจบริการ เครื่องบินมันเป็นแค่เครื่องจักร เพราะฉะนั้นสิ่งที่ลูกค้าสัมผัสได้คือ “คน” ไม่ใช่เครื่องบิน มันคือการบริการของพนักงานของเราในทุกๆ จุดที่ลูกค้าสัมผัสได้ การเดินทางโดยเครื่องบินมันไม่ใช่สัมผัสแค่พนักงานที่เช็คอินหรือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน มันจะต้องสัมผัสลูกค้าที่คอลเซ็นเตอร์จองตั๋ว มันมีหลายจุด จองตั๋ว เช็คอิน ขึ้นเครื่อง ต้องพบกับคนอีก ลงมาจากบนเครื่องมีปัญหาอะไรขลุกขลัก เราต้องดูแล เพราะธุรกิจของเราคือธุรกิจบริการแต่มันดันบินได้

 

“เครื่องบินกับเรื่องความปลอดภัยมันเป็นสแตนด์ดาร์ดที่เราจะต้องให้ได้มาตรฐานการบินสากลอยู่แล้ว ตรงนี้มันมีกฎตายตัว อย่างน้อยเท่ากันหรือสูงกว่ามาตรฐาน ของนกแอร์สูงกว่ามาตรฐาน เพียงแต่ว่าไอ้สิ่งไม่ได้เป็นกฎข้อบังคับตายตัวที่เราสร้างเองคือคุณภาพของการบริการ”

 

มองต่างมุม & คิดนอกกรอบ

“ในฐานะของผู้บริหารนกแอร์ คำว่าโลว์คอสต์ ไม่ใช่สายการบินโลว์ควอลิตี้หรือคุณภาพต่ำ สังคมไทยเข้าใจผิดเยอะ โลว์คอสต์คือรูปแบบการบริหารจัดการอย่างหนึ่งที่เราสามารถบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้คำในสังคมมันผิด คำว่าโลว์คอสต์มันเรียกติดปากง่าย คนเลยเรียกอย่างนั้น โลว์คอสต์ไม่ได้จำกัดเฉพาะธุรกิจการบินอย่างเดียว ธุรกิจที่มันมีรูปแบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ำที่มีประสิทธิภาพ ภาษาไทยยังไม่มีคำสั้นๆ แบบภาษาอังกฤษ จะใช้คำว่าต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมันก็ยาวไป โมเดลอันนี้มันมาจากฝรั่ง ที่ใช้คำว่า Cost Efficiency

 

“มีหลายคนสงสัยว่าผมเรียนปริญญาตรี-ปริญญาโทนิติศาสตร์ แต่หันมาทำงานโฆษณา ด้านการตลาด เรื่องนี้ผมไม่ถือว่าเป็นการสูญเปล่า ต้องบอกว่าการเรียนกฎหมาย ถ้าเป็นนักกฎหมายต้องตอบว่าโรงเรียนกฎหมายสอนอะไรมาให้นักเรียนกฎหมาย สอนให้เราคิดอย่างมีตรรกะ คิดอย่างมีเหตุ มีผล สิ่งที่เราเรียนนิติศาสตร์มา มันเป็นปราชญ์ มันช่วยให้ผมสามารถมองสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีตรรกะ นี่คือหัวใจของมันจริงๆ แล้วคนที่เรียนจบนิติศาสตร์มา สามารถทำงานอะไรก็ได้ เพราะมันเป็นพื้นฐาน อย่างการทำงานนักบริหาร นักการตลาด นักขาย นักวิเคราะห์ นักวิจัย ฯลฯ มันต้องมีพื้นฐานการมองโลกอย่างมีตรรกะ เพ้อฝันได้ แต่เพ้อฝันอย่างเป็นไปได้ แต่ถ้าถามว่าให้ผมทำงานกฎหมาย ผมไม่ทำ เพราะว่ามันเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมทำใจไม่ได้ เรื่องกฎหมายธุรกิจ ผมเรียนกฎหมายต่างประเทศแล้วผมจะต้องไปเป็นที่ปรึกษากฎหมายแล้วผมจะต้องว่าความให้อีกคนหนึ่งล้มละลาย ครอบครัวเขาล้ม ผมเองก็มีครอบครัว ผมรับไม่ได้ที่จะเห็นลูกใครสักคนมีพ่อ ที่ต้องถูกผมว่าความแล้วครอบครัวเขาล้ม ผมทำใจไม่ได้ ก็เลยมานั่งทำงานอะไรที่มันมีสีสันมากกว่า แล้วได้อยู่กับสิ่งสวยงาม

 

“สมัยที่ผมทำงานเอเจนซี่ ผมเคยเจอลูกค้าหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่ผมโชคดีตอนนั้นผมได้ลูกค้าที่เคลียร์ชัดเจน ผมได้ทีมครีเอทีฟ ที่ทำงานออกมาชัดเจน ผมเรียนรู้หลักการบริหารมาจากคุณพ่อ เรียกรู้เรื่องเรียลเอสเตสของคุณพ่อเหมือนกับที่ผมมีพื้นฐานภาษาอังกฤษค่อนข้างดี ก็เพราะคุณแม่ผมทำงานแอร์ ฟรานซ์ การเลี้ยงดูปลูกฝังความคิดก็เกิดจากคุณแม่ ท่านเป็นคนธรรมะธรรมโม ไม่ถึงกับชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้

 

“สิ่งที่ครอบครัวผมทำมาตลอด คือการสอนให้คิดดี ทำดี ไม่โกงใคร ไม่เอาของๆ คนอื่นอะไรที่ไม่ใช่ของๆ เรา เราอย่าไปเอาแต่อะไรที่เป็นของเรา เราต้องต่อสู้ที่จะไม่ให้ไปเป็นของคนอื่น ท่านสอนให้มีความเมตตากรุณาต่อคน แม้กระทั่งผมอายุ 42 ปีแล้ว แม่ยังถามผมเป็นระยะๆ ว่าลูกทำบุญบ้างหรือเปล่า ลูกทำบุญแล้วลูกต้องทำทานด้วยนะ ตั้งแต่เด็กจนโต พ่อแม่ผมจะสอนอย่างนี้ตลอด ครอบครัวผมไม่เคยโกงใคร เลยไม่รวย (หัวเราะ)

 

“ผมเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมของนักธุรกิจ เพราะฉะนั้นชีวิตนักธุรกิจของผมจะแตกต่างจากครอบครัวที่มาจากการรับราชการ มันจะต้องโต้คลื่นอยู่ตลอดเวลา มันจะต้องมีวันที่รวย มีวันที่ฝืด เมื่อเราผ่านสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมา มันช่วยให้เราเข้าใจโลกว่าบางวันฟ้ามันใส บางวันฟ้ามันสลัว แต่เราจะผ่านฟ้าสลัวมาสู่ฟ้าใสได้อย่างไร มันไม่ได้แตกต่างจากวันที่เราเห็นพ่อในตอนที่ผมเป็นเด็ก พ่อผมเป็นนักธุรกิจ เป็นเจ้าของธุรกิจ และเป็นนักบริหาร ผมจึงเห็นวันสดใสและวันฝนตกมาแล้ว เพราะว่าเวลาเราทำงานจริงๆ ในฐานะที่เราเป็นนักบริหารมืออาชีพ เราเคยผ่านมาเราจึงมองมันอย่างเข้าใจ บางคนไม่เคยเจอแบบนี้ เพราะเขาอาจจะมาจากครอบครัวข้าราชการแล้วมาเป็นนักบริหาร พอมาเจอเหตุการณ์ที่นั่งอยู่บนหลังเสือ จะหาทางออกตรงไหนดี ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีประสบการณ์เจอเรื่องแบบนี้มา มันทำให้เกิดความท้าทายอยู่ในตัวเขา

 

“ที่ผมไม่สานต่อธุรกิจครอบครัวเพราะผมอาจจะทำงานกับพ่อไม่ได้ พ่อมีความคิดอย่างหนึ่ง ผมก็มีความคิดอีกแบบหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในกรอบออกไปไกลกรอบ เหมือนคุณพาที สารสิน เจ้านายผมนั่นแหละ ถึงทำงานกันได้ เพราะวันๆ คิดอะไรที่คนอื่นเขาไม่คิดกัน เพราะในหัวของเราคิดว่าอะไรที่ง่าย คนอื่นเขาทำไปหมดแล้ว ไอ้ที่เหลืออยู่ก็คือสิ่งที่ยากๆ ให้เราต้องทำ มันคือปรัชญา”

 

คุมคน..ครองงาน

“ผมเป็นคนที่ด่าคนที่อยู่ในอาชีพนี้ว่า ใครก็ตามที่พีอาร์ตัวเองเป็นสิ่งที่ผิด อย่างวันนี้คุณตกท่อน้ำที่ไหนแล้วให้คนเอาไปเขียน ผมไม่ชอบคนแบบนั้น ผมต้องการทำตัวผมให้อยู่เบื้องหลังให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะดันตัวองค์กร นี่คือหน้าที่ของนักบริหารมืออาชีพข่าวที่ออกไปควรจะเป็นข่าว “นกแอร์” ไม่ใช่ข่าวที่ผมจะไปดินเนอร์ที่ไหน (หัวเราะ) เวลาผมมองอะไร มุมมองของผมคือมองจากผู้บริโภคเข้ามาหาตัวก่อน ผมไม่ได้มองจากสายตาองค์กรไปหาผู้บริโภค สมมติผมเป็นผู้บริโภค ผมอ่านหนังสือพิมพ์ ไอ้นายสีหพันธุ์ ดันไปอยู่คอลัมน์คัทลียาซุบซิบ ผมจะมีความรู้สึกว่าองค์กรนี้มันเป็นอย่างไร มันจ้างคนพีอาร์ตัวเองแทนที่จะพีอาร์องค์กรเราต้องมองและคอมเมนต์เหมือนเราเป็นผู้บริโภคนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ตอนเช้า ดังนั้นเราต้องวิเคราะห์ว่าทุกวันนี้คุณทำงานเพื่ออะไร เพื่อครอบครัวเรา ถ้าผมไม่มีเมีย ไม่มีลูก ผมไม่ต้องทำงานหนักเพื่อความมั่นคงของครอบครัว เรามักจะวิ่งไปหาความสำเร็จอย่างเดียว แต่อย่าลืมตัว ต้องทำงานด้วยคุณธรรมไม่ใช่ว่าจะใจดี แล้วอ่อนไปหมด แม้กระทั่งเจอลูกน้องทุจริตโกงกินคาหนังคาเขา คุณก็ไม่ทำอะไร เพราะเกรงใจสงสาร การเป็นผู้บริหารคุณต้องปกครองคนให้เป็นตัวอย่าง คุณต้องรักษาคนดีส่วนใหญ่เอาไว้ในบางครั้งคุณจำเป็นที่จะต้องลงโทษคนที่ไม่ดีส่วนน้อย เพื่อรักษาคนส่วนใหญ่เอาไว้

 

“ผมมีคาถาหลักการทำงาน 3 ข้อที่มักจะนำไปใช้เสมอ ข้อแรก คุณจงทำงานให้หนัก ข้อสอง คุณจงฉลาด การฉลาดไม่ได้หมายความว่าคุณต้องอัจฉริยะ แต่ต้องมองอะไรที่ชัดเจนอย่างระมัดระวัง ข้อสุดท้าย คุณต้องบาลานซ์ครอบครัวให้ดี 3 ข้อนี้มันเหมือน 3 เหลี่ยมมี 3 มุม มุมบนคุณทำงานหนักเกินไป คุณก็ไม่ฉลาด ไม่เวิร์ค แต่ถ้าคุณทำงานไม่หนักพอ ก็ไม่เวิร์ค คุณทำงานหนักแต่คุณไม่สามารถบาลานซ์ครอบครัวให้ดี มันก็ไม่เวิร์คอีก คนที่จะทำงานได้ดีคุณต้องมีครอบครัวสนับสนุน แต่ถ้าคุณทำงานมากเกินไป คุณก็จะเสียครอบครัวไป ก็ไม่รู้จะทำไปทำไม

 

“คนเป็นหัวหน้าครอบครัว เขามักจะทำงานเพื่อคนข้างหลัง แต่ถ้าทำงานหนักจนเสียครอบครัวไป เมื่อย้อนกลับมาดู คุณจะเป็นคนที่พลาดที่สุด เพราะคุณจะเหลือแค่ตัวคนเดียว เพราะคนข้างหลังเขาไม่อยู่กับคุณแล้ว มันต้องดูแลซึ่งกันและกัน ทั้งงานและครอบครัวต้องบานลานซ์กันในระดับที่งานต้องเข้าใจเรา ครอบครัวก็ต้องเข้าใจงาน”

 

จับแอร์ใส่บิกินี่

“สายการบินเราเป็นของคนไทย บริษัทการบินไทยถือหุ้นใหญ่ ของนกแอร์ถือหุ้น 39% การสร้างแบรนด์เริ่มต้นมาจาก คุณพาทีสารสิน CEO เจ้านายผม ก่อนหน้านั้น ผมทำงานอยู่ที่ BMW ประเทศไทย คุณพาทีทำงานเอเจนซี่และไม่เคยทำงานสายการบินมาเหมือนกัน แล้วผมมาทำมาร์เก็ตติ้ง 5 ปี เรามีความรู้สึกว่าเวลาคุยมันเหมือนหมุนคลื่นความถี่ตรงกัน คิดอะไรก็จะคิดแนวเดียวกัน คุณพาทีพยายามชวนผมมาอยู่เอเจนซี่แต่ผมปฏิเสธมาตลอด อยู่มาวันหนึ่งคุณพาที โทรศัพท์มาหา บอกว่าการบินไทยชวนแกมาเป็น CEO ผมก็หัวเราะ ผมทราบมาแล้วว่าคุณพาทีจะมาทำนกแอร์ และต้องการเพื่อนร่วมทีมที่จะมาสร้างนกแอร์ด้วยกัน แต่เขายังขาดสายงานการตลาด จึงมาชวนผม แล้วบอกว่าแนวความคิดว่าสายการบินนี้มันไม่ใช่สายการบินนะ มันจะ Out of the Box ของคนเป็นแอร์ไลน์ที่ทั่วโลกมันจะพูดถึง จนกระทั่งเป็นนกแอร์ มาทุกวันนี้ สารพัดสิ่งที่สร้างสรรค์ออกมาคือสิ่งที่คุณพาทีเล่าตั้งแต่แรกที่ชวนผมมาทำงาน ชวนผมขนาดเที่ยวบินเที่ยวพิเศษที่จะไปจังหวัดภูเก็ต จะจับแอร์โฮสเตสใส่บิกินี (หัวเราะ)ผมบอกว่าเอางั้นเลยหรือ ก็คุยเล่นๆ สนุกๆ กันเพราะความเป็นจริงมันทำไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าบนเครื่องบินมีแต่หนุ่มๆ สาวๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีลุงๆ ป้าๆ ถ้าเขารับไม่ได้ มันก็จะเป็น แง่ลบ เป็นผลเสียไป

 

“เราบอกว่าเราคิดได้ แต่ทำจริง เราต้องถอยมา 2 ก้าว แต่วิธีทำงานของเรา เราคิดออกไปนอกโลก ทำได้หรือไม่ได้ไม่รู้ เราอาจทำได้ 80% หรือ 50% ที่เราคิด อย่างน้อยเราได้คิด พอนกแอร์เกิดขึ้นมา เราต้องแตกต่างด้วยสายการบินโลว์คอสต์แอร์ไลน์หรือสายการบินประหยัด เราเป็นอะไรที่ง่าย ทันสมัย เหมาะกับคนรุ่นใหม่ ชอบหาอะไรที่แตกต่างเป็นอะไรที่มีสีสัน เป็นไลฟ์สไตล์ ธุรกิจการบินไม่ใช่เป็นพิธีการอีกต่อไปแล้ว เราพยายามดีไซน์แบรนด์ของเราออกมาให้ลูกค้า มีความรู้สึกในทุกมุมของสร้างแบรนด์ว่าเรามีความเป็นมิตรนะ เราใกล้ชิดกับคุณ คุณไม่จำเป็นจะต้องเกร็ง เดินขึ้นเครื่องบินเหมือนเดินขึ้นรถทัวร์ แต่ก่อนเดินขึ้นเครื่องบินต้องใส่สูท มีเครือญาติเดินทางมาส่งกันทั้งหมู่บ้าน เดี๋ยวนี้ถือเป้ใบเดียวเดินไปซื้อตั๋วเสร็จ แล้วเดินขึ้นเครื่องบินเลยก็ได้ เพียงแต่นั่งเครื่องบินถึงจุดหมายภายในประเทศเพียง 1 ชั่วโมงเศษๆ แต่นั่งรถทัวร์ใช้เวลา 10 ชั่วโมง เครื่องบิน 1 ลำถ้าอยู่กับสายการบินทั่วๆ ไป ใน 1 วัน เครื่องบินหากินได้เพียง 14 ชั่วโมง เพราะตั้งแต่ 4 ทุ่มถึง 6 โมงเช้า คนเขาไม่นั่งเครื่องบินกัน เพราะเป็นเวลานอน เขาคิดว่าตื่นมาบินตอนเช้าก็ได้ แต่เมื่อเครื่องบินมาอยู่กับเรา เราอาจจะมองว่าเครื่องบินเป็นเครื่องจักรมันต้องถูกใช้งานอย่างเต็มที่เท่าที่โรงงานผลิตออกมา โบอิ้งเขาการันตี 14 ชั่วโมงบินได้เลย ไม่มีปัญหา รับรองความปลอดภัยเราก็ใช้เครื่องบินของเราอยู่ที่ 9 ชั่วโมงต่อวัน เหมือนกับเครื่องจักรตัวเดียวปั๊มลูกบาสเกตบอลออกมาได้ 100 ชิ้นกับ 1,000ชิ้น ต้นทุนเฉลี่ยต่างกัน 10 เท่า นี่คือหลักการเดียวกันของเครื่องจักร โปรดักชั่นของเราคือเก้าอี้ของผู้โดยสารใน 1 วัน ถ้าเราบินแค่ 14 ชั่วโมง เครื่องบิน 1 ลำมี 150 ที่นั่ง เราจะมีที่นั่งของผู้โดยสารเต็มที่แค่ 600 ที่นั่ง ถ้าเราใช้มัน 9 ชั่วโมง เราต้องผลิตเก้าอี้ให้ผู้โดยสาร 1,000 กว่าที่ ไม่ต่ำกว่า 2 เท่า เพราะฉะนั้นเราจะมีรายได้เข้ามามากกว่า

 

“เครื่องบินไม่เหมือนรถยนต์ รถยนต์เสียแล้วถึงจะซ่อม เครื่องบินไม่เสียคุณก็ต้องซ่อม เมื่อถึงอายุใช้งาน อะไหล่ชิ้นนี้ยังบินได้หรือบินไม่ได้ คุณก็ต้องเปลี่ยนโยนทิ้ง สมมุติยาง 1 เส้น ใช้ได้แค่ 80 แลนดิ้ง ดอกยางยังใช้ได้อยู่ แต่คุณห้ามใช้ มันเป็นมาตรฐาน เราจะต่ำกว่ามาตรฐานกรมการขนส่งทางอากาศไม่ได้ เพราะกรรมการขนส่งทางอากาศเขาตรวจควบคุมเราอยู่ หากเราทำผิด เขาก็จะยึดใบอนุญาต แต่เราทำสูงกว่ามาตรฐาน เพราะมาตรฐานทุกอย่างเราใช้มาตรฐานการบินไทย ฉะนั้นเครื่องบินนกแอร์ลำนี้ เราเช่าเครื่องบินมาจากการบินไทย ก่อนที่จะบินกับเรา เครื่องลำนี้เป็นเครื่องบินสีขาวของการบินไทย เราแค่นำมาเพ้นท์ใหม่ให้เป็นตัวนกสีเหลือง”

 

นักมวยเก่ง...ยังถอยเป็น

“ตอนนี้ ถ้าไม่มีนกแอร์เกิดขึ้นในโลก เครื่องบินลำนี้ก็ยังเป็นเครื่องสีขาวของการบินไทย ใช้บินอยู่การบินไทย เขาแบ่งสิทธิ์มาเขาไม่ได้โละเครื่องบินเก่า เขาแบ่งมาให้เราเช่า การบินไทยมีเครื่องโบอิ้ง 737 อยู่ 12 เครื่อง เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ 1 เครื่องแบ่งมาให้เราเช่า 4 เครื่อง ยังเหลืออีก 7 เครื่องเขายังบินอยู่ มันเป็นเครื่องบินลีกเดียวกัน ถ้าเขาจะโละเขาก็โละ 7 เครื่องนั้นด้วย เพราะอายุเท่ากันหมด อีก 7 เครื่องยังใช้บินอยู่ เพราะเราก็เห็นๆ กันอยู่ว่า เครื่องการบินไทยนั้นปลอดภัย เพียงแต่ด้านนอกมันเปลี่ยนสี แต่ภายในยังเป็นสีม่วง เหมือนคุณเดินขึ้นเครื่องบินการบินไทย มันจะต่างกันตรงไหน

 

“สำหรับแพ็กเก็จทัวร์อวกาศที่เคยออกข่าวไปก็มีหลายอย่าง ทั้งเที่ยวบินเจ็ตทดสอบสภาพไร้น้ำหนักและความเร็วเหนือเสียงเที่ยวบินรอบวงโคจรย่อย เที่ยวบินรอบวงโคจรสู่สถานีอวกาศนานาชาติ ภารกิจโคจรรอบดวงจันทร์ มีบริษัทที่ทำได้จริง แต่หน้าที่ของนกแอร์คือตัวแทนการตลาดจำหน่ายในประเทศไทยและภูมิภาคเท่านั้น บริษัทที่ดำเนินการจริงๆ คือ บริษัทสเปซ แอดเวนเจอร์ส ประเทศสหรัฐอเมริกา ถามว่าคนไทยมีเงินมั้ย มี ถ้าไปอยู่ในขอบอวกาศคุณซื้อค่าใช้จ่ายไม่กี่ล้านบาท เหมือนคุณซื้อรถเบนซ์คันเดียว เศรษฐีพวกนี้จ่าย 4 ล้านบาทไม่มีความรู้สึกหรอก แต่ถ้าคุณอยากไป ยังไปไม่ได้ ต้องรออีก 2 ปี เฉพาะตลาดเศรษฐีญี่ปุ่นนี่จองไปไม่รู้กี่ร้อยที่นั่ง เพราะเขารวยกว่าเรา ของเราถ้าให้รออีก 2 ปี เขาบอกงั้นเอาไว้ก่อน 2 ปีค่อยมาคุยกันใหม่นิสัยของคนไทยส่วนหนึ่ง เมื่อฉันมีเงินจ่าย ฉันต้องได้เดี๋ยวนี้ แต่ว่าการขายมันมีปัญหา เราเลยขายไม่ได้ เรื่องไม่ถูกใจเศรษฐี(หัวเราะ) แต่หากจองแพ็กเก็จเรียบร้อย ลูกค้าจะเริ่มใช้บริการได้ในปี พ.ศ.2552 ซึ่งจะขึ้นเที่ยวบินที่กรุงมอสโค ประเทศรัสเซียและที่รัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา นกแอร์เป็นตัวแทนการตลาดจำหน่ายในกลุ่มของสหรัฐอเมริกา

 

“ผมเป็นคนที่ไม่ทะเยอทะยาน ขึ้นไปอยู่บนยอดดอยแล้วลงไม่ได้ ผมอยากจะเลิกในวันที่ผมจะลงได้ ถ้าผมไปไกลมากกว่านั้นผมอาจจะไปเป็นเบสิกของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับหมื่นล้าน เมื่อถึงตรงนั้นผมลงไม่ได้แล้ว เพราะว่ามันไม่มีบันไดให้ผมลง มันเหมือนขึ้นหลังเสือ แล้วลงไม่ได้ ผมต้องมีสติ ยอดเขาเอเวอร์เรสมันยังมีหลายเลเวล ผมอาจจะอยู่แค่ตีนเขาก็ได้ แต่ในอนาคตผมอาจจะไปเป็น CEO องค์กรไหนก็ได้ ผมอาจจะเป็นเลเวล 1 ไม่ใช่เลเวล 8 เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งผมอยากจะเกษียณตอนอายุ 50ปี ในขณะที่มีกำลัง มีสุขภาพดี แล้วจะอยู่กับครอบครัว บางคนวางเป้าหมายผิด จะต้องเป็นมหาเศรษฐี แต่ผมไม่ ผมอยากมีร้านขายกาแฟเล็กๆ ขายหนังสือ เพราะทุกวันนี้ชีวิตมันวุ่นวายมาก ผมอยากใช้ชีวิตกับลูกเมียในขณะที่ยังมีพละกำลัง ในวันนั้นลูกสาวของผมจะอายุ 20 กว่าปี เขาก็ไปมีชีวิตของเขากับเพื่อนกับครอบครัวของเขา ที่เหลือผมกับภรรยาก็เป็นตาเป็นยาย เดินต๊อกแต๊กๆ ผมจึงอยากมีชีวิตไปท่องเที่ยวในช่วงที่ยังมีกำลัง ไปเที่ยวกับครอบครัว เพราะทุกวันนี้การทำงานบริหาร เวลาที่จะมีกับครอบครัวเราต้องจัดเป็นรายวัน ผมไม่อยากให้คนอื่นเจ็บเพราะเราตั้งใจ หมายมั่นปั้นมือแล้วเราทำพังเพราะภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ

 

“สำหรับวิกฤตในปัจจุบัน บางครั้งเราอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันกันสูง แล้วเผอิญเกิดพายุอีกลูกหนึ่งเข้ามาซ้อนกันเราต้องคิด ต้องรู้ที่จะแก้วิกฤต เหมือนกับนักมวยต่อให้เป็นไฟท์เตอร์ขนาดไหนก็ต้องรู้จักการถอยเป็น ถ้าคุณเป็นไฟท์เตอร์ คุณถอยไม่เป็น คุณก็ต้องถูกสวนด้วยหมัดน็อก บางครั้งการถอยไม่ได้หมายความว่าพ่ายแพ้ ทุกวันนี้นกแอร์เราถอยมา 2 ก้าว เพื่อที่จะปักหลักยืนให้มั่นคงก่อน ยืนให้แน่นๆ แล้วเดินกลับไปใหม่ ไปยืนอยู่จุดเดิมและไกลกว่าเดิม แต่ถ้าเราเดินๆ ไม่ถอยเลย บุกไปอย่างเดียว ในขณะที่ปริมาณในตลาดลดลง เพราะสภาพเศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ แต่ก่อนลูกค้าผมบินเดือนละ 4 ครั้ง แต่ตอนนี้เหลือ 2 ครั้ง ที่นั่งบินของผมก็น้อยลง เปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานไปเลย”

 

“ครอบครัวผมเป็นครอบครัวนักบิน ภรรยาทำงานการบินไทย คุณแม่อยู่แอร์ฟรานซ์ ได้นั่งเครื่องบินฟรีตลอด ผมเป็นคนที่ชอบเขียนหนังสือ อ่านหนังสือ ถ่ายภาพ ท่องเน็ต ลูกสาวผมจึงเจริญรอยตามพ่อในเรื่องของอินเทอร์เน็ต เขาอยู่โรงเรียนอินเตอร์เกรด 9 เดี๋ยวนี้พ่อแม่จะสอนการบ้านลูกไม่ได้แล้ว เพราะหน้าที่การงานผมก็จะเปิด MSN สำหรับนั่งทำงาน นานๆ ทีเราก็จะคุยไปว่า พ่อถึงบ้านแล้ว ทำการบ้านข้อไหนไม่ได้ ก็ถามมา ถ้าเรามีเวลา ก็หาให้แล้วส่งไปให้ นี่เป็นการใช้เทคโนโลยีในการบริหารระบบครอบครัว (หัวเราะ) เวลาเดินทางไปที่ไหน ก็ออนไลน์เห็นหน้ากัน มีความรู้สึกว่าอยู่ใกล้กันตลอด ลูกสาวผมเขาจะมีครูอยู่คนหนึ่งที่สนิทกันคือ Google (หัวเราะ)

 

“คนเราต้องมีสติอยู่เสมอว่าเราทำงานเพื่ออะไร ถ้าเราทำงานไม่ลืมหูลืมตาเอาแต่ทำงานเพื่อวิ่งไปสู่จุดสูงสุดอย่างเดียว เมื่อกลับมามองข้างหลังมันแตกออกหมดแล้ว ความสุขมันอยู่ตรงไหน อยู่ที่พ่อแม่ลูกนอนดูทีวีด้วยกัน อยู่ที่ได้เล่นกีฬาหรือท่องเที่ยวด้วยกัน บางคนบอกว่าอยู่ที่ได้ทำงานแล้วขึ้นไปรับรางวัลแล้วได้ลงหนังสือเชิดชู ผมว่าเขาหลอกตัวเอง สำหรับผมคือครอบครัวมีกินมีใช้ ไม่รวยแต่ไม่จน อยากกินอะไรกิน อยากทำอะไร อยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตาแค่นี้ก็มีความสุขได้”

 

Nok Gives Life

ปัจจุบันมีเด็กไทยด้อยโอกาสมากกว่า 3,000 คนที่รอคอยความช่วยเหลือในการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ ทางสายการบินนกแอร์จึงร่วมกับ “มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ” ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์จัดตั้งโครงการ Nok Gives Life ขึ้นมา

 

“Nok Gives Life มีที่มาและเหตุผลลึกซึ้งกว่าที่เห็น มันเหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว ข้อแรก สายการบินเราเป็นบริษัทคนไทย เราจะไม่ทำงานที่เป็นการค้าอย่างเดียว ต้องมีการคืนกลับให้กับประเทศไทย เราก็ต้องไปเลือก เพราะมีคนที่ต้องการความช่วยเหลือตรงนี้เยอะ ทีนี้ทีมงานไปหาข้อมูลเจอ มีมูลนิธิอยู่หนึ่งที่ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงก็คือ มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ มีเด็กที่เกิดมาพร้อมกับเป็นโรคหัวใจตั้งแต่เกิด อยู่มากกว่า 3,000 คนในประเทศไทยแล้วสะสมขึ้นทุกปี ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ หมอที่จะผ่าตัดหัวใจเด็กในประเทศไทยมีน้อยมาก เพราะหมอส่วนมากเรียนผ่าตัดหัวใจผู้ใหญ่กันหมด ผ่าตัดหัวใจผู้ใหญ่รายได้ดีกว่า ผ่าตัดหัวใจเด็กไม่ค่อยได้สตางค์ แต่ทว่ามีหมออยู่กลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มเล็กๆ ในประเทศเราที่จะคอยผ่าตัดหัวใจเพื่อให้เด็กกลับมาเป็นเด็กปกติ แต่ก็ต้องรอคิวและต้องใช้เงินโดยส่งเงินผ่าน “มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ” ราวรายละ 20,000 บาท คุณสามารถซื้อชีวิตเด็กได้ 1 คน เรานำเงินที่ได้จากการขายพวงกุญแจ Nok Gives Life ราคาพวงละ 50 บาทบนเครื่องบินนกแอร์หรือเคาน์เตอร์สนามบินเพื่อนำเงินไปช่วยเหลือเด็กเหล่านี้

 

“จากการขายพวงกุญแจและรับบริจาค เรามีรายได้ปีละ 2 ล้านบาท เพราะคนไทยเป็นคนชอบทำบุญ วิธีทำบุญของเราคือ เราไม่ต้องเอางบประมาณทางการตลาดไปลง แต่เราใช้วิธีด้วยการชวนผู้โดยสารช่วยกันร่วมกันทำบุญ ในหนึ่งปีเราสามารถบริจาคให้กับมูลนิธิได้ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท สามารถช่วยเหลือเด็กได้ถึง 100 ชีวิต เราทำมา 3 ปีแล้ว ช่วยชีวิตเด็กมาแล้ว 300 ชีวิต มันสะท้อนถึงอะไร เด็กคนหนึ่งเป็นที่รักของครอบครัว เขาได้ชีวิตลูกหลานเขากลับคืนมา แล้วเราไปสร้างความสุขให้กับคนกี่คนไม่ใช่แค่คนๆ เดียว เพราะเด็กอาจจะไม่ได้รับรู้ความรู้สึกเพราะขณะผ่าตัด เขาอายุแค่ 1-2 ขวบ แต่คนเหล่านี้ได้คนที่เขารักกลับคืน ความสุขของพวกเราอยู่ตรงไหน มันเป็นความสุขใจกันทั้งบริษัท เพราะเราคือผู้ให้ เราคือธุรกิจบริการ ฉะนั้นการฝึกและการขัดเกลาจิตใจของคน ต้องฝึกคนของเราให้มีจิตใจที่เมตตากรุณาอ่อนโยน พนักงานทุกคนถูกปลูกจิตสำนึกในเรื่องของการพูดดีคิดดี ทำดี การสร้างคนในงานบริการผ่านมุมมองที่มี เราอยากจะให้ คนไทยภาคภูมิใจที่เขามีสายการบินนกแอร์เป็นของเขา นึกภาพว่ากลุ่มครอบครัวของเด็กที่รอดชีวิตเขาจะรักนกแอร์ขนาดไหน

 

“มีแม่เด็กท่านหนึ่งเดินมาหาผม แล้วพาเด็กคนนั้นที่เราผ่าตัดหัวใจให้เขาแล้วมาแถลงข่าวเมื่อปีที่แล้ว เพื่อที่เราจะสานโครงการต่อในปีต่อไป เขาบอกว่าถ้าวันนั้นไม่มีนกแอร์ วันนี้เขาจะไม่มีลูกเขามาด้วย ยังมีพ่อแม่และตัวเด็กเองเขียนจดหมายมาขอบคุณนกแอร์ จดหมายกองเป็นตั้งๆ เนื้อหากินใจมาก เป็นจดหมายของเด็กๆ ชาวบ้านหลังเขา หัวใจพวกเขาบริสุทธิ์จริงๆ เขียนออกมาจากความรู้สึก ไม่มีอะไรแปดเปื้อน พวกเราอ่านแล้วน้ำตาซึม อย่างบอกว่า ‘นกแอร์ช่วยชีวิตผมไว้ ผมสัญญาว่าเมื่อผมโตขึ้นผมจะเป็นคนดี’ อีกฉบับเขียนว่า ‘ย่าเล่าให้ผมฟังว่า ผมตายไปแล้ว แต่มีสายการบินนกแอร์มาบริจาคเงินผ่าตัดหัวใจให้ผม ช่วยชีวิตผมไว้ ผมจึงเขียนจดหมายมาขอบคุณพี่ๆ นกแอร์ ผมสัญญาว่าผมจะเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือ’ แค่นี้ผมก็สุขใจแล้วครับ”

หนุ่มใหญ่ไฟแรง อ่อนน้อมด้วยบุคลิก มุ่งมั่น