ดร.เสรี วงษ์มณฑา
และวันนี้ ดร.เสรี เปิดเรือนให้เราเยือนบ้าน “วจีนฤมิต” ย่านซอยทองหล่อ อันร่มรื่นด้วยแมกไม้ โปร่งโล่งสบาย ภายในประดับประดาตกแต่งสไตล์หลุยส์ เพื่อถอดสลักกลอนแง้มชมซอกหลืบก้นบึ้งหัวใจดวงน้อยๆ ของเขา ที่ฉลาดหลักแหลม หัวไว ปากกรรไกร มีพรสวรรค์น่าทึ่ง มีศิลปะการพูดที่คมคาย เชี่ยวชาญในการถ่ายทอดความรู้เพื่อนำมาพัฒนาศักยภาพของวิชาชีพ ทั้งด้านสังคม การเมือง การตลาด โฆษณา ประชาสัมพันธ์ มีจิตสำนึกในการทำความดีแก่ประเทศชาติอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ทั้งหมดเป็นสมบัติติดตัวของ ดร.เสรี ที่ใช้ในการทำงานทุกอย่างที่รับผิดชอบมาจนถึงปัจจุบัน
หยิบเพศมาผิด
“พื้นเพเดิม พี่เกิดที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก พ่อกับแม่เป็นคหบดีประจำอำเภอ ถือได้ว่าครอบครัวมีฐานะครอบครัวหนึ่ง เพราะที่บ้านค้าขาย เป็นเจ้าของตลาดสดด้วย แต่แม่มีลูกชายมาแล้วถึง 5 คน เราเป็นคนที่ 6 ซึ่งแม่ก็หวังอย่างยิ่งว่าคนที่ 6 จะต้องเป็นลูกผู้หญิง แต่แล้วแม่ก็ได้ลูกผู้ชายทั้ง 6 คน แต่ด้วยความที่อยากได้ลูกผู้หญิงมาก แม่จึงจับเราแต่งตัวเป็นผู้หญิง แต่งหน้าทาปากมัดจุก สอนให้ทำกับข้าว ทำงานบ้าน ให้นั่งพับเพียบเรียบร้อย ไม่ดื้อไม่ซน เราก็ชอบนะ รู้สึกว่าตัวเองสวย แม่จึงเลี้ยงไปแนวนั้นเลย เพื่อนๆ ก็เรียกเราว่า ‘อีแต๋ว’ (หัวเราะ) ทันสมัยดี ถึงแม้ว่าตอนนั้นยังไม่ได้มีการบัญญัติศัพท์เรียกกะเทยว่า ‘แต๋ว’ก็ตาม เหมือนกับคนที่พยายามเก็บความเป็นกะเทยไว้ วันใดวันหนึ่งเกิดเก็บไม่อยู่เขาก็เรียกว่า ‘แต๋วแตก’
“การเป็นเกย์ของเราก็ไม่ได้รับการยอมรับในช่วงต้นๆ อยู่ที่การต่อสู้ของเราในช่วงที่ผ่านมา อย่างกรณีมีผู้ชายอยู่ 2 ชนิด เกิดมาแล้วมีเมีย แล้วตอนหลังมารู้ตัวเองว่าเป็นเกย์ กับเกิดมาแล้วเป็นเกย์เลย มันไม่จริงหรอก การมีลูก มีเมีย ผู้ชายคนนั้นรู้ตัวเองตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นเกย์ ก็เลยแต่งงาน ไม่มีหรอกที่แต่งงานแล้วเพิ่งจะค้นพบ คนเราเริ่มตั้งแต่อดีตอายุสิบกว่าขวบแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเขาต้องการเพศไหน เขาดูผู้หญิงแล้วตื่นเต้นหรือดูผู้ชายแล้วตื่นเต้นเพียงแค่นี้ก็รู้แล้ว คนเรามันใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือในการที่จะทำให้คนไม่สงสัย
“เป็นความโชคดีของเราอย่างหนึ่งที่ครอบครัวของเรายอมรับ อาจจะเป็นเพราะว่าตั้งแต่เริ่มต้น เราเป็นลูกที่ไม่เคยสร้างปัญหาอะไรเลย การเรียนก็ดี นิสัยการเที่ยวเตร่ก็ไม่มี บุหรี่ เหล้ายายิ่งไม่มีเลย เราก็เหมือนลูกที่ดี ถึงแม้ครอบครัวจะมารับรู้เรื่องนี้ เขาก็ตกใจนิดๆ แต่ความรู้สึกที่ดี เขามองเราว่าเราไม่ได้สร้างปัญหาอะไร แต่เด็กบางคนที่อาจจะไม่ได้รับการยอมรับ อยากเป็นแค่ลูกธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้มีอะไรเสียหาย หรือบางคนอาจจะรู้ตัวแล้วไม่สบายใจ เก็บกดแล้วกลายเป็นผลเสียหายได้ เช่น กินเหล้าสูบบุหรี่ เที่ยวเก่ง ก็กลายเป็นลูกที่มีปัญหา เพราะว่ามีผู้ชายบางคนแอบอยู่หลังเหล้า หลังบุหรี่ เป็นที่รำคาญของพ่อแม่ แต่ไม่รู้ว่าลูกใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นการอำพรางความเป็นเกย์ เพื่อจะบอกว่าฉันเป็นผู้ชายนะ ฉันเข้มแข็งนะ จึงกลายเป็นลูกที่สร้างปัญหาตั้งแต่ต้น
“ส่วนตัวเรานั้น กว่าพ่อแม่จะรู้อายุก็ปาไป 22 ปีแล้ว ซึ่งตอนนั้นชีวิตมีความสำเร็จในด้านการศึกษาอะไรต่างๆเป็นนักเรียนทุนมาเยอะแยะแล้ว และเป็นคนที่เอาใจใส่พ่อแม่ เราเป็นคนที่ขยันเรียน รู้ว่าพ่อแม่ชอบอะไร ด้วยความที่เราเป็นคนช่างพูด เราจึงอธิบายให้ท่านเข้าใจได้ อีกทั้งเราชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ จึงทำให้คนเข้ามาหาเยอะ มาถามการบ้าน เราก็จะเจอเด็กเกเรห้องท้ายๆ แกล้ง ชอบล้อเลียน เขาจะรังเกียจหรือไม่ตอนนั้นไม่รู้ เนื่องจากคำว่ารังเกียจ มันอาจจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราพยายามที่จะเข้าใกล้เขา เราก็จะรู้แล้วว่าเขารังเกียจหรือไม่ ซึ่งเราก็ไม่ได้ไปวอแวอะไรกับเขา แต่เวลาเดินผ่านก็อาจจะมีบ้างที่ถูกล้อเลียน แต่เขาจะไม่มีโอกาสแสดงความรังเกียจเรา เพราะเราไม่ได้เข้าไปหาเขา
“ตอนนั้นที่เข้ามาศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ จำได้ว่าอายุประมาณ 13-14 ปี เรียนอยู่ที่โรงเรียนประจำที่กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยต้องตื่นนอนพร้อมกัน ต้องมีระเบียบวินัย เข้าห้องท่องหนังสือด้วยกัน เอาการบ้านมาทำพร้อมกัน จึงมีโอกาสได้ช่วยเพื่อนๆ ทำให้เราเป็นคนที่มีคุณค่าสำหรับคนที่ตั้งใจเรียน ถึงแม้เราจะเป็นคนที่โดนล้อเลียนจากคนเกเรแต่ลักษณะประจำตัวก็คือเราไม่เป็นคนโหวกเหวกโวยวายใส่ใครทั้งสิ้น แทนที่เราจะถูกรังเกียจ เรากลับเป็นคนที่มีคนเข้ามาหอมแก้ม มีคนโน้นคนนั้นมาจับเนื้อต้องตัว”
อัตลักษณ์ตัวตน
“เราเป็นคนที่ไม่ชอบตอบโต้และไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเด็กเกเร บางคนมาจับก้น บางคนจับเป้า บางคนพูดจีบปากจีบคอล้อเลียนบางคนเอางูเขียวตัวเป็นๆ มาแอบใส่กระเป๋านักเรียนให้เราร้องกรี๊ด แต่เราก็เฉยๆ แต่มีอยู่วันหนึ่งที่โกรธมาก ตอนนั้นกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ที่โรงอาหาร ไอ้พวกนี้ก็ล้อเลียนไม่ยอมเลิกรา เราบอกให้หยุดก็ไม่ยอมหยุด เราก็เลยเอาก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ สาดใส่หน้าเขา แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ไม่สบายใจคือตัวเราเอง เสร็จแล้วเราก็ร้องไห้จนเป็นลมตกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน นอนรักษาตัวอยู่หลายวัน จึงได้กลับ จากนั้นมาเรากลายเป็นคนอารมณ์ดี ไม่โกรธง่าย เพราะกลัวว่าโกรธแล้วจะเป็นอันตรายกับคนอื่นและตัวเองอีก
“เวลาโกรธจะไม่นับ 1 ถึง 10 แต่จะนับถึง 100 ถึง 1,000 ในที่สุด มันก็ทำได้อย่างนั้นจริงๆ จนกระทั่งเรียนจบ ตอนนั้นสอบติดอักษรศาสตร์จุฬาฯ และธรรมศาสตร์ พี่ก็เลือกเรียนที่จุฬาฯ ได้ 7 วันแต่ในที่สุด ก็เลยไปมอบตัวที่ธรรมศาสตร์ สุดท้ายมาเลือกเรียนคณะศิลปศาสตร์อยู่ที่นี่ พี่สอบได้ที่ 1 ตลอด และยังช่วยติวให้กับเพื่อนๆ ที่ตั้งใจเรียนด้วย
“สิ่งที่ทำให้ประสบผลสำเร็จ อันดับแรกก็คือการปลูกฝังจากพ่อแม่ ในแง่ที่ท่านทั้งสองเรียนเก่ง ท่านจึงพูดเสมอว่าอยากให้ลูกๆเรียนเก่งๆ อันดับที่สอง ก็คือเมื่อเราชนะแล้วเราจะฮึกเหิม ไม่อยากให้ใครแซง ไม่อยากเสียตำแหน่ง อันดับสุดท้ายก็คือเราดีใจกับรางวัลและคำชม มันทำให้เรารู้ว่าเราต้องพยายามเพื่อให้ได้ปัจจัยทั้ง 3 ข้อ เราจึงไม่ลดละความพยายาม
“เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ถือว่าเราเป็นนักวิชาการคนเดียวที่ได้แหวกม่านประเพณีของคำว่า เกย์และกะเทย ทำให้สังคมกลับมายกย่องยอมรับในความสามารถมากกว่าความเป็นตัวตน เพราะมันมีประสบการณ์หลายอย่างที่เราจำเป็นจะต้องเปิดเผยมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยู่ในโรงเรียนเป็นผู้ชายล้วน เราก็จะเต็มที่ แต่พอต้องจอยกับโรงเรียนที่มีผู้หญิง เรามีความรู้สึกว่าเวลานี้เจ้าของเพศตัวจริงเขามาแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรจะไปทำอะไร เราก็จะไม่ไปวิ่งเล่นเกม เราก็จะไม่พูดมาก ซึ่งถ้าพูดเดี๋ยวคนเขารู้ แต่ถ้าผู้ชายอยู่ด้วยกันฉันไม่แคร์ เราก็จะเป็นสาวสวยอยู่คนเดียว
“ทีนี้พอมาเป็นครูบาอาจารย์ เราก็พยายามระมัดระวังตัว แต่ปรากฏว่ามีเด็กนักศึกษาผู้หญิงคนหนึ่งมาหลงรัก จากนั้นเขานำเรื่องราวของความรักมาเขียนไว้ในไดอารี่ ทีนี้พี่สาวเขามาอ่านเจอ จึงเขียนจดหมายมาบอกว่า ‘อาจารย์ช่วยทำให้น้องสาวเขาเข้าใจอะไรบางสิ่งบางอย่างหน่อยสิ รู้สึกว่าเขาหลงรักอาจารย์มาก’ ตอนนั้นพี่สาวเขาไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร รู้แต่ว่าน้องสาวเขาเขียนเรื่องราวความรัก เขียนชื่อเราเต็มไดอารี่ไปหมด
“มีอีกครั้ง ตอนนั้นไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยหอการค้า ก็จะมีผู้ชายเขามาขับรถให้ ปรากฏว่ามีนักศึกษาผู้หญิงมาหลงรักอีกเขาบอกว่า ‘ถ้าอาจารย์ไม่อยากขับรถเอง ให้หนูขับรถให้ก็ได้นะ อาจารย์ไม่ต้องเอาเขามาขับหรอก’ แล้วเราจะไปบอกตัวตนของเราอย่างไร เราต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้อีกนานเท่าไร ก็เลยบอกว่าโอเคให้มันชัดเจนไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดมาก ถ้าเกิดผู้หญิงเขามาหลงรักเรา แล้วเราไม่สามารถตอบสนองอะไรเขาได้ ถึงขนาดตามเราไปเรื่อยๆ แล้วเราจะทำอย่างไร
“เมื่อเราออกมาบรรยายข้างนอก เวลาไปบรรยายตามต่างจังหวัด พวกเจ้าภาพ ออร์กาไนเซอร์หรือฝ่ายเครือข่ายของบริษัท เขาก็มักจะชอบบอกว่า ‘อาจารย์ข้างล่างมีนวดนะ จะลงไปมั้ย เดี๋ยวจะจัดให้ หรืออาจารย์จะเอาน้องๆ ไปนวดข้างบนมั้ย อาจารย์ต้องการสเปกแบบไหนบอกมาเลย เดี๋ยวจัดให้’ ตามลักษณะของคนไทย คือเลี้ยงดูแล้วปูเสื่อ เราก็ขี้เกียจปั้นแต่งเรื่อง ตอบว่าเราเหนื่อยแล้ว ไม่เอาแล้ว ขอพักผ่อน เราก็ต้องคอยปั้นเรื่องเป็นประจำ รู้สึกมันเหนื่อย รู้สึกไม่ดี แล้วบางทีเจอคนที่อาวุโส เป็นเพื่อนๆ แม่ เขาเห็นเราอายุมาก 26-27 ปีแล้ว ก็จะถามว่าเมื่อไรจะแต่งงาน เมื่อไรจะบวช นี่คือสิ่งที่เราได้ยินมาเป็นประจำ
“สมัยตอนจบใหม่ๆ เป็นอาจารย์ ก็พยายามเก๊กแมน ก็ต้องเก็บแขนเก็บขาอะไรต่างๆ มันเหมือนสมองถูกแบ่งครึ่ง ครึ่งหนึ่งคือเราจะพูดอะไร อีกครึ่ง ต้องระวังมือ ระวังขา ระวังเสียง มันทำให้ความสามารถในการสอนไม่สนุก จึงตัดสินใจประกาศออกไปเลยเวลาไปบรรยายในงานว่าฉันเป็นเกย์นะ รู้สึกสบายทางจิตใจขึ้นเยอะ หนึ่ง เราไม่มีเรื่องสาวๆ มาหลงรักอีก สอง เรา
อยากไปไหน เราอยากสนุกอย่างไร เราก็สนุกได้ไม่ต้องมานั่งคอยแอ๊บ คอยเก๊ก แล้วก็ไม่มีใครมาคอยถามอีก แล้วว่าจะเอาสเปกไหน อ้วน ผอม ดำหรือขาว ตอนนั้นอายุ 22 ปี เพิ่งจบปริญญาโทจากเมืองนอกมา เริ่มบรรยายตามที่ต่างๆ จะเจอปัญหาตั้งแต่ก่อนจบปริญญาเอกแล้ว ไม่ชอบเลยผู้หญิงมาหลงรัก”
เปลือยใจ
“ทีนี้พอเปิดเผยตัวเองว่าเป็นเกย์ปั๊บ มันก็ทำให้เราโดนต่อต้านในเรื่องเพศที่สามตามมาทันที บางคนไม่อยากให้ไปสอนด้วยซ้ำตอนเป็นคณบดีคนแรกของคณะวารสารศาสตร์และสื่อมวลชนที่ธรรมศาสตร์ ก็ไม่อยากให้เป็น พอไปทำรายการโทรทัศน์ก็ไม่อยากให้เราออกโทรทัศน์ นั่นคือสิ่งที่เราถูกต่อต้าน ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ไปต่อว่าต่อขาน แต่เราพยายามเข้าใจเขามากกว่า เมื่อเราเข้าใจ เราก็ไม่ได้ไปต่อว่าต่อขานกับสิ่งที่เขาว่า อันนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่เราพยายามพิสูจน์
“มีคนเขาบอกว่าการเรียนไม่ได้ช่วยอะไร เราก็บอกเขาว่าความฉลาดมันไม่ได้ฉลาดด้วยเนื้อหาสาระ มันต้องฉลาดแยกแยะผิดชอบชั่วดี ต้องฉลาดว่าเราเรียนรู้อะไร ไม่ใช่เรารู้เคมี ฟิสิกส์ยอดเยี่ยมกว่าเพื่อนเราเลยฉลาด แค่นี้ยังไม่พอ ต้องฉลาดแยกแยะผิดชอบชั่วดี ฉลาดตัดสินและเลือกการกระทำที่เหมาะสม ฉลาดเหล่านั้นสำคัญ ฉะนั้นการที่เราไม่แว๊ดๆ ใคร ก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นที่รักใคร่และเป็นที่พอใจของเพื่อนฝูงที่เคยรังเกียจเกย์ รังเกียจกะเทย หรือการที่เราไม่ไปเรียกร้องสิทธิ์ด้วยอาการเหมือนเกย์บางพวก หลายคนที่เรียกร้องสิทธิ์ว่าฉันควรจะได้ไอ้โน่น ฉันควรจะได้ไอ้นี่ เราจะไม่เรียกร้อง แต่ขอเพียงโอกาสก็พอให้เราได้ทำอะไรให้ดู แล้วก็เริ่มทำการบรรยายต่างๆ นานา ทำงานเพื่อสังคม ให้คำแนะนำ ในขณะเดียวกัน เวลาที่จะทำอะไรในแง่ของเรื่องส่วนตัว เราจะมองดูความเป็นไปได้ เราจะศึกษาก่อน จนกระทั่งเรามั่นใจว่าคนๆ นั้นทีเล่นทีจริงได้ มันก็เลยทำให้เราไม่มีชื่อเสียงเสีย
“ตั้งแต่เล็กจนโตจนกระทั่งถึงวัยเกษียณ ไม่มีใครมาบอกว่าเราไปคุกคามใคร เราไปหลอกใคร เราไปฉวยโอกาสของเรากับใครหากมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ป่านนี้ความลับไม่มีในโลกหรอก แม้แต่คนที่เค้ายอมกันในตอนหลัง เมื่อไม่พอใจกัน ก็ไปฟ้องร้อง ถ้าเราทำแบบนั้นมา มันต้องมีเรื่องยาว ถ้าหากเราปิ๊งใครเราก็ลองคุยทีเล่นทีจริงกับเขาดู ถ้าไม่มีแววก็เลิกกันไป เราก็ไม่โทรหาไม่ตามตื๊อ แต่ไม่มีเรื่องที่ว่าเราไปทำอะไรที่เขาไม่พอใจ เพราะตัวตนไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ถ้ามีลู่มีทางไปปั๊บ เราจะพูดกับเขาตรงๆว่า ‘รู้ใช่มั้ยว่าพี่คบกับเธอเรื่องอะไร รู้ใช่มั้ยที่พี่ชวนไปดูหนังด้วยเพราะอะไร’ เราไม่ชอบให้ใครมาว่าเราหลอกลวงใคร เราจะบอกเขาตรงๆ แต่ถ้าเขาบอกว่าเขาไม่ชอบเรื่องนี้ เราก็จะไม่รุกต่อ
“เพื่อนผู้ชายบางคน อยากให้เราเป็นผู้ชาย เคยพยายามให้เรามีความสัมพันธ์กับผู้หญิง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เราก็บอกว่า เห็นหรือยังว่าไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้”
สุขกันเถอะเรา
“อย่างเมื่อตอนสมัยที่เรียนช่วงสุดท้ายของการเป็นดอกเตอร์ที่ต่างประเทศ เพราะปัญหาดังกล่าวที่ทำให้เราคิดอยากจะเปลี่ยนตัวเอง ทางมหาวิทยาลัยเขามีฝ่ายจิตแพทย์ ที่เราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เขาให้เรานอนดูหนังเซ็กซี่ ดูดาราฉากต่างๆ หลายฉาก แล้วก็นอนคุยกันกับหมอ ซึ่งทางนั้นเขาก็พยายามจะช่วยเราแก้ปัญหา มีการสัมภาษณ์กันหลายครั้ง เพื่อค้นหาจิตใจส่วนลึก จนในที่สุดก็มีการบ้านให้เราทำ เขาบอกว่าให้หยุดมาพบจิตแพทย์ 1 สัปดาห์ แต่เขาให้บันทึกว่าตลอดสัปดาห์นั้นเราไปไหนมาบ้าง เจอผู้หญิงคนไหนที่คิดว่าสวยเซ็กซี่จนทำให้เราเกิดอารมณ์บ้าง เช่น ไปร้านอาหาร ไปโรงยิม ไปสระว่ายน้ำ ไปตามที่ต่างๆ เราก็พยายามมอง เราต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองนะ ไม่ใช่ไปโกหกหมอ
“พอครบสัปดาห์ เรากลับไปหาหมอด้วยสมุดที่ว่างเปล่า เราบอกเขาว่าเราเห็นผู้หญิงสวยหลายคน น่ารักอีกหลายคน แต่ที่เซ็กซี่แบบที่ทำให้เราเกิดอารมณ์นั้นไม่มีเลย เขาเลยบอกว่าถ้าเช่นนั้นเขาจะเปลี่ยนการรักษาเรา เขาจะรักษาอีกแบบหนึ่ง คือไม่รักษาให้เราหาย แต่จะรักษาให้เรายอมรับตัวเอง ชื่นชมตัวเอง นับถือตัวเอง ไม่ดูถูกตัวเอง ไม่รันทดกับความเป็นตัวของเราเอง ให้เราเป็นเกย์ที่มีความสุข ไม่เก็บกด ไม่โกรธ ไม่โมโหสังคม เข้าใจคนอื่นที่อาจจะไม่เข้าใจเราและให้เรามั่นใจว่าถึงแม้เป็นเกย์ เราก็เป็นคนดีที่มีคุณค่าได้ เราสามารถเป็นเกย์ ที่ทำดีให้คนอื่นมองข้ามความเป็นเกย์ของเราได้
“และนี่คือความเป็นตัวตนของเรา ที่มีความสุขกับความเป็นตัวเรามาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะหมอคนนั้นนั่นแหละที่บอกว่าให้ไม่รังเกียจตัวเอง ไม่เจ็บช้ำกับความเป็นตัวเอง ทำให้มีความสุข เพื่อจะได้ทำดีง่าย พอเราเองเป็นสุข เราก็ทำดีกับใครด้วยความสบายใจตลอด ฉะนั้นเวลามีใครเลิกกับเรา เรามีความรู้สึกว่าในเมื่อเขาต้องการจะไป เราจะรั้งเขาไว้เพื่ออะไร ให้เขาไปดีกว่า เราจะไม่ดูถูกตัวเอง เรามีคาถาอยู่ 2 ข้อ คือ หนึ่ง ฉันจะอยู่คนเดียวไม่ได้โดยไม่มีเขา ข้อนี้เราจะไม่คิด เราจะคิดตลอดเวลาว่าก่อนเราจะมีเขา เราเคยอยู่คนเดียว เราก็อยู่คนเดียวได้ สอง แล้วถ้าเขาไปจากเรา เราจะหาใหม่ได้ไหม เมื่อก่อนเราไม่มีเขา เรายังหาใหม่ได้เลย พอเราคิดถึง 2 ข้อนี้ มันจะทำให้เราไม่เสียดาย และอีกอย่าง อาจจะเป็นเพราะห่วงในเรื่องชื่อเสียงและการงานด้วยเรารู้ว่าอารมณ์รันทดจากความรักจะทำให้ทำงานไม่ดี เพราะฉะนั้นเราจะไม่ยอมรันทดจากความรัก จนกระทั่งเสียการเสียงาน จะเขียนหนังสือก็ไม่มีสมาธิ สร้างสรรค์งานอะไรไม่ได้ คนจะสั่งงานยังป้ำๆ เป๋อๆ เราไม่ต้องการอย่างนั้น เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกระเทยหรือเกย์ ไม่ว่าจะเป็นชายจริงหญิงแท้ก็ผิดหวังจากความรักทั้งนั้น ต่างก็เคยคิดฆ่าตัวตาย มันมาจาก 2 ข้อที่ว่านี้ทั้งนั้น ฟังดูง่ายๆ แต่มันลึกซึ้ง
“สำหรับเรื่องงาน เราเป็นคนที่บ้างานคนหนึ่ง ทำงานไม่มีวันหยุด เราใช้ชีวิตแบบ ‘ปฏิทินดำ’ มาหลายปี คือปฏิทินดำที่เราใช้มันไม่มีสีที่บอกว่ามีวันหยุด เราตื่นเช้าทุกวันโดยไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุก จิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบอยู่ที่หน้าที่การงานที่ปลุกให้เราตื่นทุกวันและทำงานดึกทุกวัน เรามีพนักงาน 3 คนเปลี่ยนกัน เพื่อให้ทุกคนทำงาน 5 วันหยุด 2 วัน ถ้าไม่ใช้วิธีนี้จะมีคนทำงาน7 วัน คนหนึ่งทำงานวันอังคาร-เสาร์ อีกคนทำงานวันอาทิตย์-พฤหัสบดี คนสุดท้ายทำงานวันศุกร์-จันทร์
“นอกจากเราทำงานสนุกมีความสุขแล้ว เรายังมีเวลาดูหนังชุดอีก เพราะเราเอนจอยกับชีวิต ตอนนี้เรามีบริษัทห้างหุ้นส่วน กู้ดคอมมิวนิเคชั่น จำกัด เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ทำรายการโทรทัศน์ มีบรรยาย รับเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาด 3 อย่างหลักๆ ส่วนงานนอกบริษัทก็จะมีสอนหนังสือ คิวมันเยอะ ส่วนละครเวทีที่เราทำมา ยังไม่มีใครเคยลบสถิติเรื่อง ‘ฉันไม่ใช่ผู้ชาย...นะยะ’ ได้เลย ถ้ามีโอกาสก็จะนำเอาเรื่องนี้กลับมารีมิกซ์ใหม่ เพราะว่าเราหายไปจากวงการนี้นานมาก ดังนั้นหากเราจะเอาละครใหม่มาทำเราอยากจะสร้างความน่าเชื่อถือให้ได้ ตอนนี้กำลังคำนวณเรื่องจำนวนรอบ เราอยากจะเอาเรื่องละครเกย์มาทำใหม่ ถือว่าเราเป็นคนทำละครเกย์เรื่องแรกของประเทศไทย”
ตัวตน..คนแตกต่าง
“อย่างไรเราก็ยังเป็นนักวิชาการที่มีความแตกต่างจากคนอื่นๆ คือ หนึ่ง มีลีลาในการนำเสนอที่ค่อนข้างเป็นแบบ AM ซึ่งนักวิชาการหลายคนไม่อยากทำ AM คือตรงๆ พูดง่ายๆ เข้าถึงเร็ว สอง ประสบการณ์ตรงไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามไปเป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน การตลาด อันนี้เป็นความแตกต่าง สาม เราเป็นคนบูรณการหลากหลายวิชาเข้าด้วยกัน ซึ่งตรงนี้เราเชื่อว่านักวิชาการหลายคนทำไม่ได้ เพราะสมัยที่เราเรียนหนังสืออยู่ เราโดนน้องๆ เพื่อนๆ พี่ๆ มาขอความช่วยเหลือทุกสาขาวิชา ทั้งรัฐศาสตร์นิติศาสตร์ การตลาด นิเทศศาสตร์ เราต้องมานั่งอ่านหนังสือพวกเขาเพื่อสรุปติว แล้วพอเราช่วยพวกนี้ไปหนึ่งคน ก็จะมีพวกเพื่อนๆ เขามาอีก 10 คน มาขอให้เราช่วยวิชานี้ วิชานั้น ยังมีเด็กๆ เคยบอกว่า เวลาเราอธิบายอะไร ดูเหมือนเราจบเมเจอร์นั้นๆพอเราพูดถึงเรื่องการเมือง เหมือนเราจบรัฐศาสตร์ พอเราพูดถึงธุรกิจ ทุกคนก็จะบอกว่าเราจบการตลาด เราพูดเรื่องเศรษฐกิจทุกคนก็จะบอกว่าเราจบมาทางด้านเศรษฐศาสตร์
“อย่างเราสอนเรื่องการตลาด ก็จะเปรียบเทียบว่าดูอย่างประเทศญี่ปุ่น ที่นั่นเขาไม่มีการเปิดสอน MBA มาร์เกตติ้ง แต่ทำไมเขาถึงเก่งด้านนี้ เราก็อธิบายว่ามันเป็นวัฒนธรรมของเขา เขาเป็นคนรักงาน ถ้าเราไปประเทศญี่ปุ่นตอนเย็นๆ เราจะเห็นเขายังเปิดไฟทำงาน 1 ทุ่ม 2 ทุ่มไฟที่ทำงานยังเปิดอยู่เลย เขาเป็นคนที่มุ่งมั่นทำงานเก่ง และเป็นนักวิเคราะห์ เป็นคนที่มีวิมังสา ความไตร่ตรองความพิจารณาที่สูงมาก เมื่อทำอะไรสำเร็จหรือทำอะไรไม่สำเร็จ เขาจะวิเคราะห์เสมอ อย่างตอนนี้ใครจะทำธุรกิจกับญี่ปุ่นเขาบอกให้ทำสัญญา เพราะเขาวิเคราะห์จากการที่เขาเคยผิดพลาดจากการพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถึงกับต้องปิดประเทศมาแล้ว แล้วคนญี่ปุ่นทำงานแบบชั่วชีวิต เพราะฉะนั้น ความรัก ความคิดเพื่อองค์กรจะมีมาก สมมุติเราเป็น
ผู้จัดการบริษัท แล้วไปกู้เงินมาทำธุรกิจ ถ้าไม่มีทรัพย์สินของ CEO ค้ำ เขาไม่ให้กู้
“ฉะนั้นคนญี่ปุ่นเขาจึงเป็นนักคิด เป็นนักปฏิบัติ เป็นคนรักองค์กร เป็นคนสะสมความชำนาญ ทำงานแบบชั่วชีวิต แล้วจะเป็นคนที่มีความกดดันจากความรับผิดชอบสูงมาก เพราะว่าเขาต้องเอาสมบัติเขากลับคืนมา อีกอย่างคนญี่ปุ่นเป็นนักอ่าน ถ้าเราไปนั่งรถไฟที่นั่น จะเห็นคนญี่ปุ่นยืนอ่านหนังสือนั่งอ่านหนังสือเป็นแถว ไม่มีนั่งหลับเหมือนบ้านเรา เขาเป็นคนที่อุทิศมาก เขาทำงานจริงจังเป็นพวกโอแถมมากกว่าโอที (หัวเราะ) ไม่ได้คิดสตางค์แบบบ้านเรา เขารู้ว่าหากงานไม่เสร็จเขาจะเลิกได้อย่างไร”
แต่งแต้ม...เติมเต็ม
“งานสำคัญๆ ต่างๆ เราทำมาหมดแล้ว แต่ที่อยากทำจริงๆ ก็คืออยากทำรายการในช่วงไพรม์ไทม์ จะเป็นช่องไหนก็ได้ เราไม่แคร์หรอก เพราะอายุ 60 ปีแล้ว มันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เราเก็บกลับไปนรกหรือสวรรค์ก็แล้วแต่ เพราะที่อยากทำอะไรก็ได้ทำไปหมดแล้ว
“ทุกวันนี้แฮปปี้กับชีวิต ตื่นนอนตอนเช้าออกกำลังกายชั่วโมงครึ่ง จากนั้นก็จะมาทำกับข้าว ทำเองทุกอย่าง ใช้เวลาที่เขาจัดอาหารไปอาบน้ำแต่งตัว หลังจากนั้นก็จะทำงานไปเรื่อยๆ ถ้ามีเวลาว่างตั้งแต่ 2 ชั่วโมงขึ้นไปก็จะเข้า Slim Up Center เพราะเราเป็นพรีเซนเตอร์ด้วย ส่วนการสอนหนังสือจะเสร็จช่วง 3 ทุ่มแทบทุกคืน ตอนนี้จะสอนที่ ม.นเรศวร สอนที่จุฬาฯ
มศว. ม.สวนดุสิต ม.เกริก ม.ศรีปทุม ก็หลายแห่ง แล้วแต่ตารางสอน จากนั้นก็จะกลับมาดูข่าว ถ้าดึกหน่อยจะดูทีวีอย่างเดียวหากมีงานเขียนบทความก็จะเขียนและเตรียมการเรียนการสอนของวันรุ่งขึ้น เป็นอย่างนี้ทุกวัน
“ที่อยู่มาทุกวันนี้ก็ไม่ผิดหวัง เพราะเราไม่หวังอะไรเกินเลยกับการที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว อีกอย่างเราจะไม่โกรธคนที่ร้ายกับเราด้วย เราเป็นคนปลงง่ายกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ประการสุดท้าย โต๊ะทำงานต้องไม่หนัก ทำให้เราอยู่ในฐานะ อยากกินได้กินอยากเที่ยวได้เที่ยว อยากแต่งตัวก็ได้แต่ง โดยไม่จำเป็นต้องกระเบียดกระเสียด เป็นการสลายความเครียดอย่างหนึ่ง แค่นี้ก็สุขใจแล้ว
“คนเราถ้าจิตใจดีก็จะมีความสุข มันจะสร้างผลงานได้ คนส่วนใหญ่สร้างผลงานไม่ได้ เพราะไม่มีความสุข เพราะมีความกังวล มีความผิดหวังรันทด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราขจัดออกจากหัวใจเราไปนานแล้ว”