จงกลณี  สถิรอัศวนันท์

จงกลณี สถิรอัศวนันท์

กว่า 6 ปีที่คุณติ๊ก จงกลนี ได้ผันตัวเองในฐานะ ‘คนเบื้องหลัง’ สู่การเป็น ‘คนเบื้องหน้า’ เพื่อสานต่อความตั้งใจของคุณวีระในฐานะพิธีกรสาวในรายการ ‘ผจญภัยไร้พรมแดน’ แบบเต็มตัว เธอบุกป่าฝ่าดงมีความกล้าไม่แพ้ผู้ชาย ปัจจุบันรายการนี้ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 21.40 น. ทางช่อง 5

 

จุดประกายเล็กๆ ที่ทำให้ชีวิตคือชีวิต

ชีวิตก่อนหน้านี้ ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นเลย ดิฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาทำหน้าที่ ณ ตรงนี้ เพราะไม่ได้มีพื้นฐานเกี่ยวกับการทำสารคดีเพื่อการท่องเที่ยวมาก่อน ที่มาอยู่ตรงนี้โดยบังเอิญมากกว่า แต่เราก็ต้องทำมันไปให้ได้

 

เมื่อก่อนจะเป็นไลฟ์สไตล์ที่ต่างไปจากตรงนี้ ก่อนหน้านี้จะเป็นคนเรียบร้อย อยู่ในโอวาทคุณพ่อคุณแม่ ไม่ค่อยไปไหน เป็นคนไม่ค่อยเที่ยว ด้วยความเคยชินที่เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ก็จะติดครอบครัว แต่พอมาอยู่ตรงนี้ เราได้เจอความแปลกใหม่ สังคมมันกว้างมากขึ้น มีโอกาสไปต่างประเทศ ได้เห็นอะไรใหม่ๆ มันเปลี่ยนประสบการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราได้รู้ว่านี่มันคือชีวิตอย่างแท้จริงนะ เพราะชีวิตแบบนี้มันจะมีสีสันมากกว่า จึงรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่จุดประกายเล็กๆ ในใจว่าชีวิตมันต้องเป็นแบบนี้สิ ก็เก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจ ว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ

 

วันที่ต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ

ตอนแรกเลยไม่ได้คิดอะไร ก็เดินตามทางที่คุณวีระวางไว้ให้ แต่ด้วยบุคลิกของเราที่ไม่เหมือนเขา ทั้งวัย เพศที่แตกต่างกันบุคลิกส่วนตัวก็แตกต่างกันจึงทำให้ทุกอย่างออกมาแตกต่าง รายการก็ไม่เหมือนกับที่คุณวีระทำ แต่ก็ยังยึดแนวเดิมนะคะ คือเน้นเนื้อหาสาระ ความรู้ ความเป็นธรรมชาติ ชีวิตจริงในพื้นที่ห่างไกล สรุปแล้วงานของเรามันออกมาในแนวสนุกสนาน แล้วก็เป็นผู้หญิงมากกว่า 

 

เบื้องหน้า เบื้องหลัง

ตอนแรกก็คิดกันว่าจะไปจ้างคนอื่นเขามาทำตรงนี้แทนดีไหม เพราะการทำหน้าที่ตรงนี้ไม่เหมือนกับพิธีกรรายการอื่นๆ ทั่วไป เราต้องลำบากจริงๆ ถ้าจะปีนเขาก็ต้องปีนจริงๆ คือพิธีกรต้องทำทุกอย่างเองทั้งหมด ต้องลุย แก้ปัญหาทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นให้มันผ่านไปให้ได้ ทั้งติดต่อสถานที่ เช่าโรงแรม วางแผนการเดินทาง คือคนที่จะมาทำกับเราจะต้องทำทุกอย่างให้ได้หมด เพราะถ้าจะไปจ้างใครที่เขาทำได้ทั้งหมดก็คงยาก แต่เพราะที่ผ่านมาอยู่เบื้องหลัง เห็นการทำงานของคุณวีระมาก่อน พอจะรู้ว่าขั้นตอนทุกอย่างในการทำงานนั้นเป็นอย่างไร ทุกๆ คนเลยลงความเห็นว่าเราน่าจะทำหน้าที่ตรงนี้ ก็เลยได้จับพลัดจับผลูทำมาจนถึงวันนี้ ก็ 6ปีแล้วล่ะค่ะ แต่ไม่นับที่เป็นเบื้องหลังนะ ก็ได้กำลังใจจากน้องๆ ก็ช่วยๆ กัน และผลักดันกันไปเรื่อยๆ จนลืมไปว่าเรามาทำตรงนี้ด้วยความจำเป็นจนมาวันหนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่าเราไม่สามารถนั่งโต๊ะทำงานได้ เราต้องออกไปเดินทางเรื่อยๆ ถ้าไม่ได้ไปไหนก็จะรู้สึกหงุดหงิด กลายเป็นว่านี่แหละคือสิ่งที่เป็นตัวเรา เป็นสิ่งที่น่าจะเป็นความสุขของตัวเราแล้ว ได้ค้นพบตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่เราได้มีความสุขอยู่ทุกวันเท่านั้นก็น่าจะพอแล้ว

 

ทริปที่ประทับใจที่สุด

ตอบยากนะ เพราะประทับใจในทุกทริป เป็นคนที่จะตื่นเต้นหรือกระตือรือร้นกับทุกสิ่งที่จะทำ หรือทุกที่ที่จะไป ตื่นเต้นไปหมดจินตนาการไว้ก่อนว่าเราจะเจออะไรบ้าง วาดภาพไว้อย่างฝันหวาน อยากรู้อยากเห็นจนหูหนวกตาบอด จนบางครั้งไม่ได้นึกถึงว่าไปเจออันตรายไหม เป็นเพราะความลุ่มหลงในสิ่งที่เราจะไปเจอ เพราะฉะนั้นทุกที่ที่ไปจึงประทับใจหมดเลย แต่ละสถานที่ก็มีเสน่ห์ดึงดูดความน่าสนใจที่แตกต่างกันไป เราก็จะประทับใจในแต่ละลักษณะเฉพาะของเขา แต่ทริปที่อันตรายก็มีแทบทุกทริปแต่เราจะมานึกถึงความอันตรายของมันก็ต่อเมื่อเรากลับมาแล้ว มานั่งนึกทีหลังว่าทำไปได้อย่างไร แต่ส่วนหนึ่งก็คิดว่าชีวิตเราคงจะเป็นแบบนี้ ในการเดินทางแต่ละครั้งเราจะไม่มีแบบแผนตายตัวเป๊ะๆ เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบให้มีการบังคับ ทำอะไรที่ขัดใจหรือ
วางกรอบใดๆ ไว้ อยากเป็นตัวของตัวเองให้ได้มากที่สุด ทำอะไรก็ได้ที่เราทำแล้วชอบ ทำแล้วรู้สึกดี มีความสุข มีความสบายใจก็เลยไม่ค่อยเตรียมอะไรมากมายเท่าไร แต่ขณะเดียวกันบางคนเขาก็อาจต้องมีการเตรียมตัวเยอะ เพื่อป้องกันการผิดพลาด แต่รู้สึกว่าเราพลาดตลอดอยู่แล้วเลยชินกับมัน ไม่จำเป็นจะต้องถูกต้อง หรือเพอร์เฟคหมดก็ได้ เพราะนี่แหละคือชีวิต ทำให้ทุกที่ที่เราไปมันเลยมีเรื่องตื่นเต้นท้าทายให้ได้เจอ แล้วได้สนุกไปกับมัน อย่างเช่นที่ไปแคชเมียร์กับลาดัค ก็ตั้งใจจะไปแคชเมียร์ก่อนแล้วค่อยไปต่อกันที่ลาดัค ซึ่งทั้งสองแคว้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินเดียที่อยู่ทางตอนเหนือ ลาดัค นี่จะมีวัฒนธรรมประเพณีและภูมิประเทศคล้ายๆ กับทิเบต ซึ่งเราก็เลือกที่จะไม่ไปในเส้นทางที่คนอื่นไปกัน เราก็จะไปทางที่อยากไป ชอบอะไรที่มันแปลกๆ เราจึงไปทางลัดกัน ถ้าทางปกติที่ไปกันก็จะไปจากเดลี ขับรถขึ้นไปทางบันดาลีย์ แต่เราก็ไม่ไป เราก็หาเส้นทางใหม่ไปซึ่งตอนนั้นใครก็บอกว่าจะเป็นเส้นทางที่ลำบาก อันตราย ไม่มีใครไปกัน อีกทั้งยังมีสงคราม เพราะมันเป็นชายแดนที่เขาแย่งดินแดนกันระหว่างปากีสถานกับอินเดีย แต่เราก็ยังจะไป ซึ่งตลอดทางเราก็จะเจอด่านตรวจตลอด ก็ตื่นเต้นดี ซึ่งในที่สุดก็ผ่านมาได้

 

ใช้ชีวิตการทำงานให้มีความสุข 

ชอบที่จะใช้ชีวิตเรื่อยๆ ไม่ค่อยวางแผนอะไรให้มาเป็นกรอบกำหนดตัวเอง อยากจะทำอะไรก็ทำ ซึ่งในการทำงานเราก็ต้องมีบ้างที่ต้องควบคุมด้านเวลา ก็จะมีการเผื่อเวลาไว้แบบกว้างๆ เพราะถ้าเผื่ออะไรไว้แคบๆ มันจะอึดอัด เครียด และไม่มีความสุข เมื่อเราไม่มีความสุข เราก็ได้รับผลแต่ในแง่ลบจากสิ่งที่ทำ จึงพยายามที่จะไม่สร้างข้อจำกัดใดๆ เพื่อมาทำลายความสุข ณ ปัจจุบันของเรา อยากให้ทุกๆ สิ่งที่ตัดสินใจทำลงไป และทำอยู่ในทุกๆ วันนี้คือสิ่งที่มีความสุขแล้ว เราจะยินดี และชื่นชมกับทุกๆ อย่างที่อยู่รอบๆ ตัว

 

ด้วยความที่เป็นคนง่ายๆ สบายๆ ใครให้มาทำอะไรมากกว่านี้ก็ไม่ทำแล้ว เพราะกลัวตัวเองไม่มีความสุข อย่างเช่นที่ผ่านมาก็มีหลายท่านเช่นให้เราช่วยเขียนหนังสือหรือเป็นคอลัมนิสต์ให้ ก็ไม่เอา เพราะไม่อยากทำอะไรที่เป็นการบีบบังคับตัวเอง ไม่อยากสร้างความผิดหวังให้คนอื่น ถ้าอยากทำก็ทำ แต่ต้องเป็นแบบเรื่อยๆ สบาย 

 

หลายประเทศ ร้อยความประทับใจ 

ไปเกือบร้อยประเทศแล้วมั้งคะ แต่ก็ยังมีอีกหลายที่ที่ไม่เคยไป มีอีกหลายแห่งที่ยังอยากไปอีก และอยากจะบอกว่าสำหรับการเดินทางความแตกต่างทางด้านภาษานั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย จากการที่ไปมาหลายประเทศนั้นทำให้เราได้รู้ว่า จริงๆ แล้ว ก็ใช้เพียงแค่ภาษาอังกฤษ แต่สำหรับบางประเทศที่เราไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับเขา เราก็ใช้ภาษาความเป็นมิตรไมตรีนี่แหละ เพราะไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเองให้สมบูรณ์แบบก่อนที่จะก้าวไปข้างหน้า เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าต้องเรียนกี่ภาษากันแน่ถึงจะออกไปท่องโลกได้ อย่างเรื่องอาหารก็เช่นกัน ในแต่ละที่ที่ไปก็ต้องลองกินให้ได้ เพราะเชื่อว่าไม่มีอะไรไม่น่ากิน คือถ้าอร่อยก็กินต่อ ถ้าไม่อร่อยก็คำเดียวจบแค่นั้น ถือเป็นครั้งเดียวในชีวิต เรากล้าที่จะทดลองตราบใดที่แน่ใจแล้วว่ามันจะไม่เป็นอันตรายเราก็สามารถลองทำดูได้นี่คะ

 

คิดบวกให้กับชีวิตเสมอ

บางคนอาจจะมองว่าการคิดบวกมันจะทำให้คุณประสบความสำเร็จในอนาคต แต่ถ้ามองว่าการที่เราคิดบวก ณ ปัจจุบันที่เราคิดบวกอยู่ ก็มีความสุขแล้ว เมื่อเรามีความสุข ใจเราก็มีความสุขไปด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมันก็จะเป็นผลดีตามมาด้วย ไม่ได้หมายความจะต้องไปตั้งเป้าหรือคาดหวังอะไรมากมาย แต่แค่ทุกวันนี้มีความสุขก็พอใจแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะมีชีวิตที่มีความสุขอย่างนี้ไปถึงเมื่อไร ไม่เช่นนั้นเราจะมานั่งยากลำบากไปทำไมกับวันนี้ เราควรจะมีความสุขในทุกๆ วันที่มีอยู่ อะไรก็ได้ ไม่ได้หมายถึงสิ่งมีค่า แต่ก็สามารถชื่นชมยินดีกับสิ่งรอบๆ ตัวได้ เช่นอันนี้ก็สวย อันนี้ก็งาม คนนั้นก็ดี คนนี้ก็น่ารัก เราควรมองแต่มุมที่ดีๆ เรื่องที่ดีๆ ในบางสิ่ง เพราะอย่างไรก็ตามคนเราก็มีดี ไม่ดี ด้วยกันทั้งนั้นแหละค่ะ

 

อย่างในด้านการทำงานก็เอามุมคิดบวกมาใช้บ้างในบางเรื่อง แต่ในความเป็นจริงก็คงนำมาใช้ด้วยไม่ได้ทั้งหมด หากมีปัญหาก็มองว่าแล้วมันก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผ่านไป เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น พรุ่งนี้มันก็เป็นอดีตไปแล้ว ให้กำลังใจตัวเองว่าเราก็ผ่านปัญหามาตั้งเท่าไร ไม่เห็นจะตายไปกับมันเลย ยังนั่งอยู่ ยังยืนอยู่ได้ ซึ่งถามว่าคิดแบบนี้แล้วช่วยอะไรได้ไหม ก็ช่วยได้ตรงที่ทำให้เตรียมพร้อมยอมรับกับปัญหา แต่บางครั้งมันก็ทำให้กลายเป็นโรคเครียดโดยไม่รู้ตัว เพราะได้แต่กดความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ บอกตัวเองว่าไม่ได้เครียด แต่การเก็บทุกอย่างไว้กับตัวนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้กลายเป็นโรคเครียดโดยไม่รู้ตัวมาก่อน เราจึงต้องผ่อนมัน
เสียบ้าง

รายการ “ผจญภัยไร้พรมแดน” จะต้องมีคุณ วีระ นุตยกุล