พัน พันธวัจน์ นาวิก : No Music No Life ขับเคลื่อนเสียงดนตรี ด้วยวิถีแบบ Grace Moon

พัน พันธวัจน์ นาวิก : No Music No Life ขับเคลื่อนเสียงดนตรี ด้วยวิถีแบบ Grace Moon

 

Grace Moon คือโปรเจกต์-กลุ่มศิลปินที่ก่อตั้งขึ้นโดย พัน พันธวัจน์ นาวิก ศิลปินหนุ่มผู้สั่งสมประสบการณ์คนเบื้องหลังมาอย่างยาวนาน ภายใต้แนวคิดในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่มีทั้งความปัจเจก เปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึก เรียบเรียงทุกองค์ประกอบอย่างประณีตผ่านคำร้องและท่วงทำนอง มอบประสบการณ์ และแรงบันดาลใจที่ดีให้กับกลุ่มผู้ฟังทุกท่าน ในทุก ๆ ผลงานเพลงที่เขาและเหล่าคนดนตรีได้ร่วมทำกันมา

Intro : No Music No Life

พัน Grace Moon : ผมอยู่กับดนตรีมาตั้งแต่เด็กครับ เริ่มจากอยู่วงโยฯ เป่าแคลริเน็ต พอช่วงมัธยมต้นก็หัดตีกลอง แต่งเพลง ทำวงประกวดกับเพื่อน ๆ ตอนนั้นเราอยากเป็นศิลปิน อยากออกเทป มันมีโอกาสหลายอยู่ครั้งแต่ก็ไม่เคยไปสุดเลยสักที ช่วงมหาวิทยาลัย ผมเรียนดนตรีที่วิทยาลัยดุริยศิลป์ มหาวิทยาลัยพายัพ ปริญญาโทก็มาเรียนดนตรีต่อที่กรุงเทพฯ พอเรียนจบก็มีโอกาสได้กลับบ้าน กลับไปเป็นอาจารย์สอนอยู่ในคณะที่เราเคยเรียน ผมไม่เคยทำอาชีพอื่นเลย ไม่เคยจริง ๆ ทั้งชีวิตผมอยู่กับดนตรีมาตลอดเลยครับ

Track 1 : Profile

พัน พันธวัจน์ นาวิก ชายผู้เป็นทั้งครูสอนดนตรี และศิลปินท่านหนึ่งที่โลดแล่นอยู่บนเส้นทางสายนี้มาอย่างยาวนาน เปี่ยมล้นด้วยประสบการณ์จากการประกวดแข่งขันในหลาย ๆ เวที ดีกรีแชมป์ทั้งในและนอกประเทศ ด้วยทักษะที่มีบวกกับความตั้งใจที่จะถ่ายทอดเรื่องราวและเสียงดนตรีในแบบฉบับของตน Grace Moon จึงได้ถือกำเนิดขึ้นโดยมีเขาเป็นแก่นกลาง ผู้เป็นทั้งมือกลอง โปรดิวเซอร์ และคอมโพสเซอร์ให้กับวง

พัน Grace Moon : Grace Moon เริ่มมาจากตัวผมครับ ด้วยความที่เราเป็นนักดนตรี ผมตีกลองชุด เล่นดนตรีมานาน ชอบแต่งเพลงมานานแล้ว เราเล่นดนตรีเป็นอาชีพ เล่นให้กับศิลปินท่านอื่น แต่ว่ายังไม่มีโอกาสที่จะทำเพลงของตัวเอง ทีนี้พอเราอยากจะมีผลงานเป็นของตัวเองก็เลยเริ่มศึกษาและสร้างผลงานเมื่อประมาณ 3 ปีก่อนครับ

จากการพูดคุยกันเบื้องต้น คุณพันได้เล่าว่า Grace Moon เปรียบได้กับโปรเจกต์ที่มีเขาเป็นแก่นกลาง ทำหน้าที่ควบคุมการผลิตทุกอย่าง ควบคู่ไปกับการชักชวนนักร้องและเหล่าศิลปินที่มองเห็นแล้วว่าเหมาะสมกับบทเพลงที่เขาประพันธ์ เปิดโอกาสให้กับเหล่าคนดนตรีได้ร่วมกันแสดงฝีมือ แต่งแต้มสีสันเฉพาะตัวให้กับผลงานต่าง ๆ ในนามของวง

พัน Grace Moon : ตอนทำอัลบั้มแรก Debut มีทั้งเพลงบรรเลง เพลงภาษาไทย และเน้นที่เพลงภาษาอังกฤษ ซึ่งอัลบั้มนี้มันมีโอกาสหลายอย่างเกิดขึ้น เช่น เพลงRain ขึ้นไปติดชาร์ต Cat Radio นาน 5 สัปดาห์ ไต่ขึ้นไปสูงสุดได้ถึงอันดับที่ 2 และเพลงCircle ได้เข้าไปชิงรางวัลสาขาเพลงยอดเยี่ยมของรายการ คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 17 มันทำให้ผมรู้สึกมีพลังและมองเห็นความเป็นไปได้หลายอย่างเลยครับ

Track 2 : Debut

พัน Grace Moon : ช่วงแรกในการเริ่มทำอัลบั้ม Debut มันคล้ายกับการค้นหาตัวเอง เรารู้ตัวว่าชอบดนตรี ชอบงานศิลปะ ผมเลยอยากทำผลงานเพลงที่ตัวดนตรีมันมีความเป็นศิลปะ คือฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังดูรูปภาพ สามารถจินตนาการได้ถึงรูปภาพนั้น ๆ ซึ่ง 9-10 เพลงในอัลบั้มเปรียบเสมือนรูปภาพที่จัดแสดงอยู่ใน Grace Moon แกลเลอรี่

ส่วนเนื้อร้องที่มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ผมมองว่าแต่ละเพลงมันจะมีกลิ่นอายแตกต่างกันนะ เนื้อร้องเป็นเหมือนวัตถุดิบชิ้นหนึ่ง เรารู้สึกว่าเพลงนี้คำร้องน่าจะเหมาะกับภาษาอังกฤษนะก็แต่งเป็นภาษาอังกฤษ

สำหรับนักร้องที่ร่วมงานมีด้วยกัน 3 คน คือ หมิงหมิง, ทีเจ และ รัสมี อีสานโซล ที่มาแจมกันในเพลง Circle เพลงที่ได้เข้าชิงรางวัลคมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 17 ซึ่งถือเป็นเกียรติครับ

Track 3 : Grace Moon Symphony

พัน Grace Moon : จริง ๆ ผมเริ่มทำอัลบั้มที่สองก่อนอัลบั้มแรกนะ อัลบั้มนี้มันคือความฝัน เรียกได้ว่าสนองความต้องการเลย ด้วยความที่เราชอบฟังดนตรีคลาสสิกก็เลยอยากที่จะแต่งเพลงแบบนี้ให้ได้สักครั้งในชีวิต

ความที่เพลงบรรเลงมันมีความซับซ้อน ทั้งในเรื่องของการแต่ง การเรียบเรียง บันทึกเสียง ซึ่งยากกว่าเพลงที่มีเนื้อร้อง แล้วบางเพลงมีความยาวเกือบ 10 นาที มันเลยใช้เวลาในการทำค่อนข้างเยอะ ผมเริ่มทำอัลบั้มที่สองก่อนอัลบั้มแรก แต่กว่าจะเสร็จมันก็ใช้เวลาครับ

Track 4 : แก่นหลักของ Grace Moon

พัน Grace Moon : ผมชอบความหลากหลายของแนวดนตรีอยู่แล้ว เราฟังทั้งดนตรีคลาสสิก ดนตรีร็อก ดนตรีป๊อป และสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกท้าทายคือการทำดนตรีป๊อปครับ รู้สึกว่าจะทำยังไงให้ดนตรีของเราเข้าถึงคนฟังได้ง่าย เนื้อหาถูกใจคนมากขึ้น ไม่ได้มีเนื้อหาปรัชญามาก เป็นเรื่องราวทั่วไปที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน

ช่วงโควิดที่ผ่านมา ผมเลยศึกษาเกี่ยวกับดนตรีป๊อปเพิ่มเติม เพื่อดูว่าความเป็นเรากับดนตรีที่เข้าถึงคนได้ง่ายมันจะออกมาเป็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้ภาพรวมดนตรีของ Grace Moon จึงมีทั้งความป๊อป ดนตรีร็อก และดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในแต่ละเพลงจะมี 3 อย่างนี้เป็นแก่นหลักผสมผสานมากน้อยแตกต่างกันไป เริ่มที่ จินตนาการ ซิงเกิลแรกจากเพลงเซ็ตใหม่ของเราที่มีภาพรวมทั้ง 3 แก่นนี้อยู่ในเพลงครับ

Track 5 : จินตนาการ

พัน Grace Moon : ก่อนหน้านี้ผมมีโอกาสได้ดู “The Secret Life of Walter Mitty” ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่มักหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของจินตนาการ ผมรู้สึกว่าบางทีเราก็ชอบหลุดเข้าไปอยู่ในโลกจินตนาการ อยู่ในโลกของตัวเอง ผมก็เลยเอาเรื่องนี้มาเล่าเป็นเพลง “จินตนาการ” เขียนเรื่องราวที่น่าจะเกิดขึ้นกับใครหลายคน อย่างการแอบชอบใครคนหนึ่ง คนที่ความเป็นจริงเราแทบไม่รู้จักกัน แต่ว่าในโลกที่คิดฝัน เราไปเดท ไปกินข้าว ไปดูหนัง มีความสุขด้วยกัน พอรู้ตัวอีกที อ้าว นี่มันไม่ใช่นิ ผมหยิบโมเมนต์เหล่านั้นมาเล่าในเพลง โดยมี น้องพอ ลูกสาวของ ครูเต๊ะ อิทธินันท์ อินทรนันท์ มือกีต้าร์แจ๊สระดับประเทศ มาร่วมทำหน้าที่ขับร้องให้ในเพลงนี้ครับ

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ผมบังเอิญเจอกับน้องพอที่ North Gate เชียงใหม่ วันนั้นผมไปที่ร้าน น้องมาร้องเพลงแจมกับวงของพี่ชายเขาพอดี ผมได้ยินได้ฟังเสียงครั้งแรกก็ว้าว น้องคนนี้น่าประทับใจมาก รู้สึกเลยว่าคนนี้แหละที่จะต้องเชิญมาร้องเพลงของเรา

ด้านพาร์ทดนตรี ผมออกแบบให้มีความโมเดิร์น อย่างจังหวะกลองเราใช้เป็นเสียงอิเล็กทรอนิกส์ เสียงสังเคราะห์ มีการเล่นกับจังหวะ ร่วมกับเสียงกีต้าร์ที่มันลอย ๆ ฟุ้ง ๆ มีเสียงกีต้าร์ที่แตก ใส่เทคนิคให้มีความน่าสนใจ ร่วมกับเสียงซินธิไซเซอร์เสียงเบส เรียบเรียงซาวด์ให้ฟังแล้วไม่ดูซับซ้อนแต่มีดีเทลต่าง ๆ อยู่ในนั้นครับ

Track 6 : เสียงร้องที่แตกต่าง

พัน Grace Moon : หมิงหมิง, ทีเจ และ รัสมี ทั้ง 3 คนมีคาแรกเตอร์เสียงร้องที่ต่างกันอยู่แล้ว มีเสียงที่ทรงพลัง มีเอนเนอจี้ มีเอกลักษณ์ที่เป็นของเขา แต่สำหรับ น้องพอ สิ่งที่เขาเสริมเข้ามาให้กับ Grace Moon ก็คือความสดใสครับ ผมรู้สึกว่าด้วยเสียง ด้วยบุคลิก มันเหมาะกับเพลงป๊อป เหมาะกับเพลงที่มีความน่ารักอยู่ในนั้น ผมรู้สึกว่านี่แหละตัวตนของเขาเลย

Track 7 : CEO

พัน Grace Moon : สำหรับผม คนเบื้องหน้ากับเบื้องหลังมันมีความท้าทายแตกต่างกันไป เราเล่นดนตรีเบื้องหลังให้กับนักดนตรีมืออาชีพหรือศิลปิน หน้าที่ตรงนั้นคือการทำยังไงก็ได้ให้เราผลิตเสียงออกมาให้ได้ดีที่สุด ซัพพอร์ตคนข้างหน้าให้เพอร์เฟคที่สุด ผิดพลาดน้อยที่สุดในพาร์ทของเรา

ส่วนการที่เรามาทำตรงนี้เอง นอกจากหน้าที่มือกลอง โปรดิวเซอร์ คอมโพสเซอร์ มันก็จะมีพาร์ทอื่น ๆ เพิ่มขึ้นมาครับ เช่น เราต้องมองภาพรวมของงาน หรือว่าการที่เราต้องออกแบบโชว์เอง ต้องติดต่อประสานงานกับคน มันก็จะมีความแตกต่างกันไป

พาร์ทของการสร้างงาน ตำแหน่งมือกลอง โปรดิวเซอร์ และคอมโพสเซอร์ สำหรับผมสามหน้าที่นี้มีความต่างกัน แต่ก็เหมือนได้ฝึกฝนตัวเองครับ อย่างตอนแต่งเพลงเราจะมองว่าเนื้อหา เมโลดี้ ดนตรี มันน่าจะประมาณนี้นะ เราเป็นมือกลองเราก็จะดีไซน์จังหวะให้เป็นแบบนี้ แต่พอเป็นโปรดิวเซอร์ เราต้องมองภาพรวม ไม่ได้มองแค่เฉพาะจุด เพลงนี้มันมีความพอดีแล้วหรือยัง ลงตัวหรือยัง เราก็ต้องมาดูว่าตรงนี้พอนะ แค่นี้นะ เหมือนได้คุยกับตัวเอง ประชุมกันตัวเอง

ตอนนี้เราทำหน้าที่คล้าย ๆ กับซีอีโอของบริษัทครับ เราต้องมองว่าทิศทางของ Grace Moon จะไปทางไหน ต้องมีการวางแผน ถามว่ายากไหม สำหรับผมเพลงคืองานศิลปะ จริง ๆ ความยากของการสร้างงานศิลปะคือมองหาว่าความพอดีอยู่ที่ตรงไหนในความรู้สึกเรา บางทีก็รู้สึกว่ามันได้อีกนะ แต่ได้อีกนะอาจเยอะเกินไปก็ได้ ถือเป็นความท้าทายครับ

Track 8 : ศิลปะของ Grace Moon

พัน Grace Moon : ผมชอบคำที่ อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี เคยพูดไว้ว่างานศิลปะต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง มันมีทั้งหมด 6 อย่าง ผมอาจจำไม่ได้ทั้งหมด แต่หนึ่งเลยศิลปะต้องมีความเป็นปัจเจกส่วนบุคคล สองต้องมีเทคนิคที่ยอดเยี่ยม สามต้องมีอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ อยู่ในนั้น ซึ่งผมจะคอยดูตลอดว่างานของเราเข้าข่าย 6 อย่างนี้ไหม ผมถือเป็นแนวทางในการสร้างผลงานของ Grace Moon ครับ

Track 9 : เอกลักษณ์และความศิลปิน

พัน Grace Moon : ศิลปินบางคนแค่เป็นตัวเองก็มีเอกลักษณ์แล้วครับ สำหรับผม ถ้าให้มองตัวเองเรารู้สึกว่าเอกลักษณ์มันเริ่มชัดเจนแล้วนะ มีซาวด์ มีคาแรกเตอร์ที่ฟังดูแล้วไม่ซ้ำใคร แต่ทีนี้เอกลักษณ์ของเราจะเข้าถึงคนฟังได้อย่างไร นี่คือโจทย์ที่ต้องเก็บไปคิด ไปศึกษาดู ถือเป็นมุมมองในฐานะลีดเดอร์ว่าเราจะพา Grace Moon ไปสู่คนฟังได้อย่างไรครับ

Track 10 : รสนิยมและการสร้างงาน

พัน Grace Moon : ผมมองรสนิยมมีผลต่อการสร้างงานมากครับ ศิลปินบางคนอาจรู้สึกว่าการได้แสดงตัวตนแบบเรียลร้อยเปอร์เซ็นต์คือสิ่งที่ดีที่สุด ผมไม่ได้บอกว่าถูกหรือผิด แต่สำหรับผม ผมเอารสนิยมวางไว้ตรงกลางแล้วลองนึกภาพดูว่าคนฟังเขาจะรู้สึกอย่างไร ความเป็นเรากับเขาจะมาพบเจอกันได้อย่างไร นี่คือแนวคิดของผมครับ

Outtro : ฝากทิ้งท้าย

พัน Grace Moon : ขอขอบคุณ MiX Magazine มากเลยนะครับที่ให้โอกาสผมได้มาอธิบายความเป็น Grace Moon ให้ทุกคนฟังครับ ฝากติดตามผลงานของ Grace Moon ด้วยนะครับ ผมจะทำสิ่งที่ดีที่สุดมอบให้กับผู้ฟังอย่างแน่นอน สำหรับการมากรุงเทพฯ ในครั้งนี้ เรามีโปรเจกต์ดี ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย เป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันมาตลอด และน่าจะขยับขยายความเป็น Grace Moon ได้ด้วย ไว้รอทุกอย่างสรุปเรียบร้อยแล้วจะมาเล่าสู่กันฟังนะครับ”

Hidden Track : Playlists

พัน Grace Moon : ศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผมมีหลายคนครับ มีตั้งแต่รุ่นพี่ที่เคารพนับถือกัน เป็นไอดอล เป็นตัวอย่างที่ดี ผมจะผูกพันกับวง ETC. มากครับ รู้สึกว่าพวกเขาเก่งมาก แล้วเราก็อยากที่จะเป็นแบบนั้น

ส่วนศิลปินอื่น ๆ ก็มีทั้งศิลปินไทยและสากล ซึ่งปัจจุบันมีคนเก่ง ๆ มากมาย ยกตัวอย่าง Bowkylion เขาเป็นคนที่ผลิตงานเพลง สร้างเพลงแทบจะทั้งหมด หรือศิลปินต่างชาติก็มี Daft Punk, DJ Khaled, DJ Snake ที่เป็นเหมือนโปรดิวเซอร์ มีศิลปินคนอื่น ๆ มาร่วมฟีทเจอริ่งในเพลง

อย่าง DJ Khaled หรือ DJ Snake ผมมองว่าเขาเป็นศิลปินที่เหมือนเป็นนักธุรกิจ เป็นเจ้าของบริษัท ผมชอบโมเดลของเขาครับ รู้สึกว่าอยากที่จะทำแบบนั้น หรือถ้าไม่ใช่วงการเพลง ผมชอบโมเดลของ Studio Ghibli เป็นสตูดิโอที่สร้างผลงานจากแนวคิดหลักของคนที่เป็นหัวเรือ แล้วทีมงานก็สร้างมันออกมาเป็นแอนิเมชั่นที่สุดยอดมากครับ ประมาณนี้

Did you know : สมาชิกวงและนักร้องที่เคยร่วมงานกับ Grace Moon ประกอบด้วย
- พัน พันธวัจน์ นาวิก : กลอง, โปรดิวเซอร์ และคอมโพสเซอร์
- แตง กฤตธิ์ สุวรรณธาดา : กีต้าร์
- เบน ชมพูวงศ์ : กีต้าร์
- จิ๊บ เอกรัฐ กันทะวงศ์ : เบส
- ที นที สีทองบูรณ์ : คีย์บอร์ด
- หมิงหมิง กัญญาภัค คาน : นักร้อง
- ทีเจ ฐานิศวร์ จารุจิตรานนท์ : นักร้อง
- แป้ง รัสมี เวระนะ : นักร้อง
- พอ นารา อินทรนันท์ : นักร้อง

Follow Him
Facebook : Grace Moon (Grace Moon Studio)
Instagram : grace_moon_band
Youtube : Grace Moon

Photo by : Ajarin Duangchaemsai

Photo : Ajarin Duangchaemsai

ขอบคุณสถานที่ NOXX CAFÉ


 

 

พัน พันธวัจน์ นาวิก : No Music No Life ขับเคลื่อนเสียงดนตรี ด้วยวิถีแบบ Grace Moon