ประติมากรรมที่มาจากตำนานที่มีชื่อว่า Red Hill หรือ Bukit Merah
ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ก่อนการระบาดรอบใหญ่ของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอน (ซึ่งต่อมาช่วงเดือนมีนาคมผมก็ติดจนได้) ผมได้มีโอกาสบินไปเยี่ยมน้้องสาว ซึ่งทำงานอยู่ที่่ประเทศสิงคโปร์ ในช่วงคลายล็อกดาวน์ ด้วยความอัดอั้นที่ไม่ได้ เดินทางไปต่างประเทศ เลยวางโปรแกรมเสียแน่นเท่าที่จะแน่นได้ แม้ว่าประเทศ สิงคโปร์จะเป็นประเทศเล็ก ขับรถวันเดียวก็รอบเกาะแล้วก็ตาม โปรแกรมที่แน่นนั้น ส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปทางของกินเป็นส่วนใหญ่ เรียงคิวที่จะไปกินอย่างเต็มที่ไม่ว่า จะเป็นบักกุ๊ดเต๋ ปูผัดพริก ซาลาเปาทอด หรืออาหารที่เป็น Michelin Guide ต่าง ๆ
ในระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวกันนั้น มีช่วงหนึ่งที่ผมได้เข้าไปที่ บริเวณย่านการค้าที่มีชื่อว่า Red Hill ด้วยจุดประสงค์คืออยากไปหา ของกินอร่อย ๆ และแวะผ่านดูู MRT Station ของที่นี่ด้วย เพราะกล่าวกันว่า MRT ของที่นี่เป็นสีชมพูและตกแต่งคล้ายโผล่ออกมาจาก มิวสิควิดีโอ K-Pop ของประเทศเกาหลี แต่ในระหว่างที่เดินทางไปนั้น ผมเห็นประติมากรรมที่เป็นประติมากรรมเหมือนปลาดาบหรือ ปลากระโทง ปักอยู่กับต้นไม้บางอย่าง เหมือนเป็นการแสดงออก ซึ่งสัญลักษณ์บางอย่าง ปรากฏให้เห็นผ่านตาอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งพอไปที่บริเวณใจกลางเมืองก็ปรากฏให้เห็นเป็นประติมากรรมขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ให้เห็นเด่นชัด
ผมสงสัยว่าประติมากรรมนี้คืออะไร จึงได้รับคำตอบจากน้องเขยว่า ประติมากรรมดังกล่าวมีชื่อ เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษง่าย ๆ ว่า “Wisdom of the boy” ซึ่งมีที่มาจากตำนานที่มีชื่อว่า Red Hill หรือ Bukit Merah ในภาษามลายูอันเป็นตำนาน โบราณตั้งแต่สมัยประเทศสิงคโปร์ ยังใช้ชื่้อแคว้นเดิมว่า “สิงหปุระ” เรื่องราวที่น่าสนใจนี้เป็นเหตุให้ผมได้ไป ค้นหาเรื่องราวจนพบเป็นตำนานที่น่าสนใจครับ และมีการอ้างอิงบุคคลในอดีตที่มีตัวตนจริงเสียด้วย โดยในอดีตเมื่อนานมาแล้ว บริเวณชายฝั่งทะเล ทางใต้ของเมืองสิงหปุระหรือสิงคโปร์ในปัจจุบัน ได้มีฝูงปลากระโทงยักษ์ หรือปลานากที่มีขนาดใหญ่โตดุร้ายเข้าโจมตีหมู่บ้าน และประชาชนที่เข้าใกล้บริเวณ ชายฝั่ง โดยปลากระโทงยักษ์เหล่านี้ มีปากแหลม ยื่นคล้ายดาบเป็นอาวุธ พุ่งเข้าแทงร่างกายผู้คนที่เข้ามาในบริเวณน้ำชายฝั่งจนได้รับบาดเจ็บ โดยจำนวนผู้บาดเจ็บนั้นมีเป็นจำนวนมาก และบางรายถึงขั้นเสีย ชีวิตซึ่งเหตุดังกล่าว ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับ ชาวบ้านและชาวประมงในแถบนั้นเป็นอย่างมาก ในสมัยนั้น เป็นสมัยของกษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งเมือง สิงหปุระ นามว่า ปาดูกาเสรี มหาราชา เห็นสภาพความเดือดร้อนดังกล่าวตนเองที่เป็นกษัตริย์ก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้จึงได้สั่งการให้ทหารเข้าไปแก้ไข จัดการฝูงปลากระโทงดังกล่าว ซึ่งวิธีที่เข้าไปจัดการ
คือ วิธีการแบบ ปะ ฉะ ดะ ให้ทหารตั้งแถวแนวกำแพงถือฉมวก ลงไปในน้ำบริเวณชายฝั่ง สู้กับฝูงปลากระโทงยักษ์ ซึ่งผลที่ได้คือ ความพ่ายแพ้ย่อยยับทหารบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถต้านทานฝูงปลาที่ดุร้ายได้เลย ในระหว่างที่กำลังหาทางแก้ไขกันอยู่นั้นได้มีเด็กชายคนหนึ่งมีชื่อว่า ฮัง นาดิม ได้เสนอหนทางแก้ไขต่อพระราชาว่า ให้ใช้ต้นกล้วยต่อเป็นแนวกำ แพง ในช่วงน้ำลดแล้วไปตั้งไว้บริเวณชายฝั่งเมื่อปลากระโทงยักษ์เข้ามาโจมตีมันจะติดอยู่กับต้นกล้วย ไม่สามารถเคลื่อนย้ายหนีไปไหนได้ เพียงเท่านี้เรา ก็จะสามารถจัดการกับปลายักษ์เหล่านี้ได้หมด ชาวบ้านและทหารต่างพากันเห็นด้วยกับความคิดของเด็กชาย ซึ่งในขณะนั้นเองพระราชาก็ไม่มีทางเลือกใดมากนัก จึงได้สั่งให้ทหารตัดต้นกล้วยวางเป็นแนวกำแพงไว้ตลอดชายหาดในช่วงน้ำลด ตามความคิดของ ฮัง นาดิม และเมื่อน้ำขึ้นอีกครั้งเหล่าฝูงปลาดุร้ายก็มาโจมตีกำำแพงต้นกล้วยและปากของปลา เหล่านี้นั้นก็ติดกับต้นกล้วยดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุดจริงตามคำของฮังนาดิม ซึ่งในที่สุดทหารก็สามารถฆ่าปลาเหล่านี้ได้จนหมดฝูง จากเหตุุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความยินดีให้้กับชาวบ้าน ชาวประมง และชาวเมืองเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างชื่นชมในความฉลาดของ ฮัง นาดิม เสียงแซ่ซ้อสรรเสริญโด่งดังไปทั่ว ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้กลับไปกระทบใจพระราชา ปาดูกา เสรี มหาราชา เป็นอย่างมาก
แต่ทำให้เกิดความอิจฉาริษยา และวิตกกังวลว่าในภายภาคหน้าเด็กคนนี้จะเติบโตขึ้นมามีชื่อเสียงและอาจเป็นภัยต่อตำแหน่งพระราชาของตน ในค่ำคืนนั้นเองพระราชาจึงได้้สั่งการให้ทหารไปกำจัดเด็กชาย ที่อาศัยอยู่ที่กระท่อมบนเนินเขา กว่าเด็กจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว ในวันต่อ ๆ มาไม่มีใครได้พบเห็นเด็กชาย ฮัน นาดิม แต่สิ่งที่ปรากฏ จนเป็นภาพประหลาดใจก็คือ เนินดินบริเวณรอบ กระท่อมนั้น กลายเป็นสีแดงคล้ายเลือดทั่วไปทั่วเนิน เหมือนเป็นการฟ้องถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้น ภายหลัง บริเวณเนินเขาแห่งนั้นได้ถูกเรียกว่า บูกิต เมราห์ หรือเนินสีแดงในภาษาของมลายู อันเป็นที่มา แห่งตำนานเรื่องนี้นั่นเอง แม้ว่าจะไม่มีใครได้พบเห็นเด็กชายผู้นั้นอีก แต่เนินสีแดงแห่งนั้นได้ถูกพัฒนาโดยเป็นแหล่งย่านการค้าที่สำคัญ ไม่ปรากฏดินสีแดงให้เห็นอีกต่อไป ส่วนเรื่องราวความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้น และความฉลาดเฉลียว ของเด็กชาย ฮังนาดิม ยังคงได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นประติมากรรมสืบเนื่องสะท้อนออกมาจนถึงทุกวันนี้