The Darkest Romance : One Word Can Mean A Lot of Sentences Part.1
เมื่อปลายปีที่แล้ว The Darkest Romance วงดนตรีร็อกคุณภาพได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการภายใต้สังกัดใหม่ Gene Lab ด้วยซิงเกิล “ความเยาว์ (Youth)” ซึ่งนี่ถือเป็นก้าวที่กล้าและน่าสนใจเป็นอย่างมาก สำหรับการปล่อยผลงานเพลง 10 นาทีที่ท้าทาย ขีดจำกัดในการทำงานของพวกเขาไปพร้อมกับ ประสบการณ์ที่เหนือการคาดเดาสำหรับคนฟัง และถือเป็นการเฉลิมฉลองปีที่ 10 ของวงอย่างสมภาคภูมิ ตอนนี้พวกเขาพร้อมแล้วที่จะ แสดงให้คนฟังได้เห็นถึงความทะเยอทะยาน ที่ไม่เหมือนใคร ด้วย “WORDS” ผลงานอัลบั้มเต็มชุดที่ 4 อัลบั้มที่จะบอกเล่าให้เราทุกคน ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วคำหนึ่งคำอาจมีความหมายมากมายกว่าที่เราเคยเข้าใจ
บอกเล่าความรู้สึกหลังจากที่อัลบั้ม WORDS เสร็จสมบูรณ์
เต้ : ก่อนปล่อยอัลบั้มออกมา ตอนแรกคิดว่าไม่มีอะไรจะเสียเพราะเราเลือกทำในเวย์นี้ หมายความว่าอัลบั้มมันคงได้รับการยอมรับแค่เฉพาะกลุ่มเล็ก ๆ แต่พอปล่อยออกมากระแสตอบรับดี ดีเกินคาดจากที่คิดไว้มาก ดีใจมากครับ
ก้อง : โล่งครับ เพราะตอนที่เริ่มทำอัลบั้มนี้เราไม่รู้ว่ามันจะไปจบในรูปแบบไหนครับ เพราะว่าไม่เคยทำเพลงที่มีลักษณะความยาวแบบนี้ แล้วหลาย ๆ อย่างมันก็ใหม่อยู่ คือเราไม่เคยได้เข้าห้องอัดแบบจริง ๆ จัง ๆ ปกติจะอัดกันเอง อัดที่บ้านแม็ก ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ครับ
คูเกม : พูดทีละอย่างแล้วกัน อย่างการเข้าห้องอัดที่ก้องพูดคือ มันค่อนข้างใหม่สำหรับเรา วงไม่เคยทำงานกับ Sound Engineer คนอื่นเลย พอเจอพี่กร มหาดำรงค์กุล ครั้งแรก ความรู้สึกมันแบบเขาจะเอาด้วยกับเราป่าวนึกออกมั้ย แต่เขาเอาด้วยกับพวกเรา การทำงานเลยกลายเป็นเหมือนเราไปเล่นซะมากกว่า ไปทดลองหยิบนู่นจับนี่ มันกลายเป็นความสนุกในขั้นตอนทำงาน แล้วค่อยมาตื่นเต้นอีกทีตอนจะปล่อยอัลบั้ม แบบไม่ได้คิดว่าคนฟังเขาต้องชอบชัวร์ แต่มันเป็นความตื่นเต้นแบบคนฟังเขาจะมีฟีดแบคยังไง แต่พอปล่อยออกมาแล้วมันก็แบบ โอ้ เขารับว่ะ
แม็ก : เอาจริง ๆ ความรู้สึกแรกตอนที่ทำเสร็จคือ เราทำสิ่งที่ตั้งใจจะทำให้ได้จริง ๆ ว่าเราทำอัลบั้มนี้มาเพื่อก้าวข้ามตัวเอง เราไม่อยากทำเพลงเหมือนกับตอนที่ทำกันเอง มันไม่ใช่ว่าแบบนั้นมันไม่ดี แต่รู้สึกว่าถ้าทำแบบเดิมเหมือนเดิมมันจะตัน ในมุมที่เราเป็นคนเขียนเพลง เขียนวิธีการสร้าง รู้สึกว่าเราไม่อยากเป็น One Trick Pony ไม่อยากทำท่าซ้ำเดิม ถ้าเกิดเรามาทำเพลงที่ยาวและประหลาดขนาดนี้ นอกจากจะสร้างความลำบากให้กับวง วงไม่เคยเล่นเพลงแบบนี้กันจริง ๆ วงไม่เคยเข้าห้องอัด ยิ่งการมาทำงานกับค่ายเพลงใหม่ คือเราเพิ่งได้ย้ายเข้ามาอยู่กับ Gene Lab แค่ชุดแรกที่มาเข้า Major Debut ก็สร้างความหนักใจเลย กับเพลงที่ดูไม่น่าจะเป็นมิตรกับตลาดขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ ว่ากันตามตรงอย่างเพลงอันเดอร์กราวที่มีว้าก สัดส่วนความยาวผิดจากเพลงตลาดทั่วไป ไม่มีการทำ Radio Edit ออกมา มันชวนให้รู้สึกว่าเพลงมันจะพาเราไปถึงจุดไหน เป็นแค่คำถามที่ตั้งไว้กราย ๆ
แต่พอมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวผมนะ ผมคิดว่าเราชนะตัวเองแล้ว มันก้าวข้ามได้สำเร็จแล้ว ส่วนที่ได้กลับมาอย่างเช่นยอดวิว ยอดขาย ผลตอบรับคำวิจารณ์ ฟิดแบคที่กลับมามันมีแต่คำว่าขอบคุณ มันเหนือคาดทั้งนั้นเลย
คูเกม : คือเราไม่คิดว่ามันจะต้องได้ พอได้รับมาเราก็มีแต่ความรู้สึกแบบขอบคุณครับ
คอนเซ็ปต์ของอัลบั้ม WORDS
แม็ก : WORDS เป็นอัลบั้มเต็มชุดที่ 4 ของ The Darkest Romance เราจะใช้คำว่าเป็นอัลบั้มเต็มเสมอ ไม่ว่าคนจะเรียกเป็น LP หรือ EP ยังไงก็ตาม คอนเซ็ปต์ของการตั้งชื่ออัลบั้มนี้คือ ทุกคนลองสังเกตชื่อเพลง มันจะนำด้วยความคำว่า “ความ” ทุกเพลงจะเป็นคำนามทั้งหมด ประกอบไปด้วย ความรับผิดชอบ (Responsibility), ความโดดเดี่ยว (Loneliness), ความรู้สึกผิด (Guilt), ความรุนแรง (Violence) และ ความเยาว์ (Youth) ทุกคำถ้าตัด “ความ” ออกแล้วไปใส่อะไรอย่างอื่นมันจะกลายเป็น คำกริยาวิเศษณ์บ้าง เป็นคำคุณศัพท์บ้าง พอมาใส่ “ความ” มันจะกลายเป็นคำนามหมดเลย โดยคอนเซ็ปต์หลักของอัลบั้มนี้คือ คำหนึ่งคำอาจมีความหมายยาวได้เป็นประโยค
สมมุติเรายกตัวอย่างเป็นเพลง ความโดดเดี่ยว (Loneliness) เวลาที่คนเรารู้สึกโดดเดี่ยว เราจะตีความว่าเป็นยังไงบ้างครับ มันจะเหงา มันจะไม่มีใครใช่มั้ย ความโดดเดี่ยวถ้าเราลองมองมันเป็นเหมือนปีรามิด มองเป็นภูเขาน้ำแข็ง ให้ความโดดเดี่ยวอยู่ที่ยอด มันโผล่พ้นน้ำมาแค่นี้ ส่วนที่อยู่ข้างใต้เราจะมองไม่เห็น ภายใต้ความโดดเดี่ยวมันจะมีความโกรธจากการโดนแอนตี้โดนแบนจากสังคม มีความเหงาเกิดขึ้นจากการไม่สามารถไปหาใครได้ มีความต้องอดทนเอาไว้เพราะว่าเราต้องอยู่คนเดียวให้ได้ ต้องยอมรับความจริงที่น่าขมขื่นประมาณหนึ่ง คือคนบางคนเขาไม่ชอบอยู่คนเดียว แต่เขาเข้าไปหาสังคมแล้วยังไงก็ไม่ถูกรับสักทีอะไรประมาณนั้น มันเป็นหลาย ๆ ความที่ซ้อนอยู่ภายใต้ความโดดเดี่ยวคำเดียว ทุกความเป็นแบบนี้หมด ดังนั้นเลยรู้สึกว่าคำหนึ่งคำที่เราเห็นเป็นชื่อเพลง มันจะมี Hidden Massage อื่น ๆ ที่ซ่อนเอาไว้อยู่ใต้คำนั้น มันไม่ได้แปลว่าคำหนึ่งคำมันจะมีแค่หนึ่งความหมาย
อัลบั้มนี้สิ่งที่ตั้งใจอยากจะสื่อก็คือพวกความรู้สึกด้านลบตรงนี้มันมีอยู่จริง ในแต่ละคนมากน้อยไม่เท่ากัน เราแค่อยากนำเสนอออกมาว่า บางครั้งเราพูดอะไร เราทำอะไร เราคิดอะไร เราอาจจะไปทำร้ายคนเหล่านี้ที่มีปมโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราได้ลองเข้าใจเขาสักนิด ได้ลองมองคนที่โดดเดี่ยวจัด ๆ อยู่ มองคนที่รับผิดชอบโดยไม่เต็มใจอยู่ มองคนที่รู้สึกผิดจากการกระทำที่ไม่เต็มใจ ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง หรือหลงทางในชีวิต ขอแค่เข้าใจเขารับฟังเขาบ้างสักนิด เรารู้สึกว่าถ้าเพลง 5 เพลงนี้เป็นเพื่อนของเขาได้บ้าง มันจะเป็นเป้าหมายสูงสุดประมาณหนึ่งของอัลบั้มชุดนี้ครับ
Track 1 :ความรับผิดชอบ (Responsibility)
เต้ : ส่วนตัวเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมชอบมาก จริง ๆ ชอบทุกเพลงนะครับ แต่เพลงนี้ผมชอบพาทดนตรี มันเล่นกับริทึ่มที่แข็งแรง บุกตะลุยดี เรื่องเนื้อเพลงมันเข้ากับชีวิตคนทำงานดี เพราะผมก็ทำงานออฟฟิศด้วย มันมีความรู้สึกต้องแบกรับอะไรหลาย ๆ อย่าง มันมีอารมณ์ที่แบบไม่อยากทำแต่เราต้องทำ ต้องอดทน เพื่อครอบครัว เพื่อภาระ เพื่ออะไรต่าง ๆ มันเป็นเหมือนหน้าที่ จากที่เป็นหน้าที่มันเริ่มกลายเป็น Routine มันเริ่มเป็นทางวน ๆ
แม็ก : เสริมจากที่พี่เต้พูด ความรับผิดชอบมันกลายเป็น Routine จนชีวิตหายไป เราอยู่เพื่ออะไร เราอยู่เพื่อใคร ค่าของคนมันอยู่ที่ผลของงานจริง ๆ หรือเปล่า คือคนทำงานดีไม่ได้แปลว่าขยัน หรือคนทำงานดีไม่ได้มาจากจิตที่แบบดีขนาดนั้น แต่มันจำเป็นต้องทำงานให้ดีให้ได้เพื่ออะไรอย่างอื่น
คูเกม : เสริมในเรื่องของดนตรี เนื้อหาด้วยความว่ามันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบ เราต้องทำ ทำทำไมบางทีก็ไม่รู้ด้วย แต่มันเริ่มกลายเป็นเหมือนหุ่นยนต์ กลายเป็นเครื่องจักร ดนตรีมันก็จะเป็นอารมณ์นั้น อย่างพาทกลองที่ผมคิด มันจะมีความเป็นเสียงเครื่องจักร เหมือนเป็นโรงงานผลิตตัวอะไรสักอย่างออกมา กลายเป็นเหมือนทุกคนทำเพราะเป็นหน้าที่ ทำเพราะถูกโปรแกรมให้ทำ โดยอะไรก็ไม่รู้ โดยค่านิยมนู่นนี่ ดนตรีก็ส่งให้เนื้อหาของเพลงมันชัดขึ้น ให้ความรู้สึกมันเด่น
Track 2 :ความโดดเดี่ยว (Loneliness)
ก้อง : ถ้าในด้านดนตรี เพลงนี้มันค่อนข้างมีความซับซ้อนมากที่สุด มีทั้งความหนักเบาไปจนถึงเงียบไปเลย ในด้านเนื้อหามันพูดถึงชีวิตคนคนหนึ่ง บางคนอาจจะชอบที่อยู่โดดเดี่ยว บางคนอาจไม่ชอบ แต่สุดท้ายถ้ามันจำเป็นเราก็ต้องอยู่ให้ได้
แม็ก : อิงทางพุทธศาสนาได้นะที่เคยได้ยินว่าเราเกิดมาลำพัง จากไปแบบลำพัง เสริมต่อจากที่ก้องพูด ใช่ครับ แต่บางครั้งคนเรามันไม่ได้อยากอยู่คนเดียวจริง ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม โดนสังคมผลักไสบ้าง เข้ากลุ่มไปก็โดนเพื่อนแบน มันเป็นเหมือนแรงสะท้อนมาหาเรา ว่าความโดดเดี่ยวมันเหงานะ มันมืดนะ ที่ดนตรีมันซับซ้อนมาจากบางครั้งคนเรามันมีความขึ้น ๆ ลง ๆ คล้ายผีเข้าผีออก มันเหมือนว่าจะทำใจได้แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่โอเคอยู่ดี การอยู่คนเดียวแบบเหงา ๆ หรือการที่ต้องถูกทิ้งให้อยู่แบบลำพังแบบไม่สามารถหาคนอื่นมาช่วยเหลือได้มันทรมานกว่าที่คิด คุยกับใครก็คุยไม่ได้ ปรึกษาใครก็ไม่รู้จะปรึกษายังไง พูดออกไปก็ไม่รู้ว่าคนฟังเขาจะหนักใจหรือเปล่า มันกลายเป็นว่า Depress ตัวเองถึงขั้นซึมเศร้าได้เลย
คูเกม : เสริมก้องเรื่องดนตรี เพลงนี้มีความซับซ้อนที่สุด ท่อนก็เยอะ จริง ๆ มันก็ยังเป็นฟอร์มเพลงปกติอยู่ แต่รายละเอียดปลีกย่อยเยอะ คือมันไม่ใช่เป็นเซ็ต Standard แบบเวิร์ส-พรี-ฮุก แต่มันจะเป็นแบบค่อย ๆ ไปของมันเรื่อย ๆ แต่มีฮุกให้ฟังนะ เสริมที่แม็กพูด ด้วยความรู้สึกของความโดดเดี่ยวมันจะมีความขึ้น ๆ ลง ๆ ตอนแรกเราอาจจะไม่โอเคที่ต้องอยู่คนเดียว พอถึงฮุก "เป็นหรือตายรักแค่ไหนก็ไม่อาจรั้งไว้" เวลาคนเขาพูดกันมันเหมือนกับว่าเราเข้าใจแล้วนะ ก็ถูกแล้วไง เราไปรั้งเขาเอง มันเป็นเหมือนความเข้าใจแต่จริง ๆ เปล่า แล้วมันก็โดนทุบด้วยท่อนต่อไป ค่อย ๆ เละขึ้นเรื่อย ๆ อย่างท่อนเมทัลที่มีโซโล่ มันเหมือนเป็นระเบิดเลย กูไม่โอเคหรอกที่พูดมาทั้งหมด กูเข้าใจแต่กูไม่โอเคอยู่ดี ประมาณนี้
Track 3 :ความรู้สึกผิด (Guilt)
แม็ก : ถ้าเทียบเพลงทั้งหมดในอัลบั้ม ความรู้สึกผิดเป็นเพลงที่มีเนื้อหาคอนเซ็ปต์พูดตรงไปตรงมามากที่สุด คนหนึ่งคนจะรู้สึกผิดไปได้ไกลแค่ไหนแล้วจะรู้สึกผิดไปได้ไกลแค่ไหน เราจะไม่ใช่คำว่ารู้สึกผิดมากแค่ไหนนะ คือมันรู้สึกผิดได้ แต่ว่าความรู้สึกผิดนั้นจะนำพาใจเราไปได้แค่ไหน โศกเศร้าดำดิ่งไปได้ไกลขนาดไหน ซึ่งแต่ละคนมันไม่เท่ากัน เพลงนี้เป็นเพลงที่รู้สึกว่าเรื่องเนื้อหาและเมโลดี้เข้าถึงคนหมู่มากได้ง่ายประมาณนึง สำหรับพวกเรา 4 คน เราเคยได้ฟังเพลงที่มีเนื้อหาประมาณว่า คนนี้รักคนนี้ คนนี้รักกับอีกคน หนึ่งคนผิดหวัง มีเพลงอกหัก มีเพลงเขาทรยศความรักเรา มีเพลงที่ถูกหักหลัง แต่ท้ายที่สุดแล้วเรามองว่าเวลามันเกิดเรื่องอะไรที่ผิดขึ้นมา เราจะรู้สึกผิดกันทั้งหมด การขอโทษกันมันมีในเพลงอยู่แล้ว แต่ไอความรู้สึกผิดในใจคนกลับไม่ค่อยเห็นเพลงไหนพูดหรือขยายให้มันชัดมากเท่านี้มาก่อน
ผมในฐานะคนเขียนเนื้อเพลง มีการไปค้นคว้าเพิ่มว่าความรู้สึกผิดมันก่อให้เกิดอะไรได้บ้าง มันเกิดมาจากอะไร และมันสามารถสร้างผมกระทบให้กับชีวิตคนได้มากขนาดไหน ที่น่าสนใจคือคนที่รู้สึกผิดกลับเป็นคนที่รู้สึกผิดชอบชั่วดี เขาจะรู้ว่าตัวเองมีสติ เขาจะรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ การที่เขาทำอะไรบางอย่างแล้วมันเกิดความเสียหายต่อใจและกายของคนอื่น เขาจะโทษตัวเองชะมัดเลย มันรู้สึกว่าไม่น่าทำอย่างนั้นเลย ผิดไปแล้ว ขอโทษได้ไหม การที่คนบางคนอาจทำอะไรก็ตามที่รู้สึกว่าไม่อยากให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต มันคือความรู้สึกแย่นะ มีถึงขั้นซึมเศร้า มันจะดึงดิ่งไปเรื่อย ๆ แล้วคนเราจะหลุดจากความรู้สึกผิดนี้ได้ยังไง ก็มีเรื่องของการปล่อยวาง การเข้าใจตัวเอง การให้อภัยตัวเองให้ได้ ซึ่งเรื่องนี้แทบจะไม่มีใครช่วยได้ได้เลย
คูเกม : ทุกคนน่าจะเคยได้ยินประมาณนี้ โดนคำพูดพวกนี้มาตลอดว่าปล่อยวางไปได้แล้ว ให้อภัยตัวเองได้แล้ว คือรู้แต่ความรู้สึกมันไม่ปล่อยไปไง เพลงมันพาเรื่องราวไปในทิศทางนั้น
แม็ก : ถ้าบอกว่าเพลงนี้คือเพลงที่หนักที่สุดในด้านเทคนิคการเล่นคงต้องบอกเลยว่าไม่ใช่ แต่ถ้าบอกว่าเป็นเพลงที่ดนตรีนำพาอารมณ์บีบคั้นลากยาวไปจนจบ เรา 4 คนมองว่าเพลงนี้หนักสุด เพราะมันเริ่มจากความรู้สึกเบา ๆ เสียงคลีนเครื่องน้อย ๆ จนกระทั่งโตไปเป็นซิมโฟนิคแบล็คเมทัลมีคอรัสที่ใหญ่ มีออเคสตร้าใหญ่มีกีต้าร์ที่สับคอร์ดกระจาย แล้วว้ากถมเข้าไปด้วย เราได้อ่านในฟีดแบคนะ บางคนตีความประมาณว่าเหมือนเรากำลังพาไปสู่ประตูนรกเลย
คูเกม : ใช่ ๆ หลายคนชอบพูดนะ ว่าท่อนนี้เหมือนกำลังเปิดประตูนรก
แม็ก : ซึ่งในวงไม่ได้คิดถึงตรงนี้เลยนะตอนที่ทำ มันเป็นแค่ความรู้สึกที่เราอยากขยายให้เห็นว่าเวลาคนรู้สึกผิดมันรู้สึกผิดแบบจริง ๆ มันหนักจริง ๆ แล้วมันจะมีสักเสี้ยวที่กลับมาคิดได้อีกทีว่าถ้าเรายังอยู่อย่างนี้เราจะอยู่ไม่ได้ สักวันมันต้องผ่านไปให้ได้ และเราเองที่ต้องผ่านมันไปให้ได้
Track 4 :ความรุนแรง (Violence)
คูเกม : จริง ๆ เพลงนี้เป็นอีกเพลงที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่แพ้ความโดดเดี่ยวเหมือน แต่ไม่ซับซ้อนเท่า เป็นเพลงเดียวในอัลบั้มที่ไม่มีเครื่องสาย พาทดนตรีมีความตรงไปตรงมาที่สุด กลองปกติ กีต้าร์ปกติ เป็นเพลงที่มีความน้อยที่สุดแต่เหมือนโดนทุบ ฟังแล้วมีความรู้สึกถึงแรงกระแทกมากที่สุด
แม็ก : เพลงนี้ตั้งแต่ตอนทำเดโม่ เราคุยกันว่าจะทำมันอย่างตรงไปตรงมาให้สมกับชื่อ เป็นเพลงที่เราไม่เอาเทคนิค มันคือการซัดอย่างเดียว มันคือการใช้กำลังนำความรู้สึกเพลงไปเรื่อย ๆ บุกอย่างเดียว รุนแรงอย่างเดียว กระแทกอย่างเดียว แล้วเบรก
ก้อง : ตั้งแต่เริ่มเพลงมามันให้อารมณ์เหมือนคนคนหนึ่งที่โดนซัดเรื่อย ๆ หนักเรื่อย ๆ จากคนที่เคยอยู่เฉย ๆ โดนกระทำ เริ่มกลายเป็นคนที่ตอบโต้ทั้ง ๆ ที่ใจไม่อยากทำ พอทำมาก ๆ เข้า สุดท้ายคนที่รู้สึกแหลกสลายมันก็คือตัวเขาเอง ท่อนที่เงียบไปมันคือการบอกให้รู้ว่าเขาก็ไม่ได้อยากทำรุนแรงแบบนี้เลย
แม็ก : ด้านเนื้อหาก็ตรงไปตรงมาเหมือนกัน คิดหลายอย่างเลยเรื่องความรุนแรง ในแง่ของการหาเรื่องมาเขียน เพลงนี้หายากสุด พอเราพูดถึงความรุนแรงมันมองได้หลายมิติมาก เช่นความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากเราสู่คนอื่น จากคนอื่นสู่เรา เราเสพติดความรุนแรง เราชอบทำร้ายคนอื่น หรือเราชอบโดนคนอื่นทำร้าย มันจึงยากมากเลยที่จะเขียน แต่สุดท้ายมันลงตัวตรงที่แล้วจุดเริ่มต้นของความรุนแรงมันคืออะไร ถ้าคนหนึ่งคนไม่ได้เป็นคนรุนแรงขนาดนั้น ไม่ได้อยากใช้กำลังตอบโต้ ไม่ได้อยากร้ายกาจ แต่ถูกกดขี่ ถูกกดดัน ถูกทำร้าย ถูกนั่นนี่มาก ๆ คนหนึ่งคนที่คิดว่าตัวเองดี ๆ เนีย สุดท้ายแล้วก็ต้องมาใช้กำลังตอบโต้กลับ เหมือนอยู่ ๆ ก็เดินขึ้นเวทีมวยไปต่อยกับเขา พอใช้ความรุนแรงแล้วมันได้ผล ใจตัวเองเผลอไผลไปกับความรุนแรงนั้นหรือเปล่า กลายเป็นปีศาจตัวใหม่ที่จะไปทำความรุนแรงกับคนอื่นต่อหรือเปล่า ตอนท้ายเพลงเราใช้พุทธภาษิต “ในกาลก่อนเวรไม่ระงับด้วยการจองเวร เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” มาส่งที่ท้ายเพลง คือไม่มีใครอยากใช้ความรุนแรงหรอก ไม่มีใครอยากเสพติดการใช้กำลังหรอก ไม่มีใครอยากทำร้ายคนอื่นถ้าไม่ถูกเริ่ม ถ้าไม่โดนก่อน สังเกตมั้ยว่าหลาย ๆ ครั้งคนที่เป็นอันธพาลต้องโดนอะไรมาก่อน หรือคนที่ทำตัวแข็งแกร่งตลอดเวลาก็แค่ไม่ได้อยากให้คนเห็นว่าตัวเองอ่อนแอหรือเปล่า เหตุผลมันอาจแค่นั้นจริง ๆ
Track 5 :ความเยาว์ (Youth)
แม็ก : ความเยาว์ เป็นซิงเกิลแรกที่ปล่อยออกมา อันนี้เนื้อน้อยสุด ร้องน้อยสุด ดนตรีถือว่าเข้าใจง่ายนะถ้าเทียบกับทุกเพลงหลังจากที่อัลบั้มออกมาแล้ว
คูเกม : ดนตรีมีความตรงไปตรงมา ค่อย ๆ ไป เริ่มจากเรียบก่อน แล้วค่อยกระโดดขึ้นมา
แม็ก : เป็นการไล่กราฟขึ้นไปจุดที่สูงที่สุดที่สุดที่สุด จนถึงจุดหนึ่งที่คนคิดว่าสูงที่สุดจริง ๆ แล้ว เราไปอีก เป็นเพลงแรกในอัลบั้มนี้ที่เขียนขึ้นมาได้สำเร็จ แล้วก็ให้วงฟัง ได้ทำงานด้วยกัน เหมือนเป็นไกด์ไลน์ในการทำอัลบั้มนี้เหมือนนะครับ พวกเราต้องการจะเล่นกับความเหนือความคาดหมายด้วย เวลาคนฟังเพลงเขาจะรู้สึกว่า เห้ย ท่อนนี้อารมณ์มันที่สุดแล้ว มันอยู่เท่านี้แน่ ๆ เลย แต่พวกเราแบบไม่ เราหนีจากสิ่งนั้น ทำให้คนฟังรู้สึกว่านี่มัน Beyond Expectation ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ ผมมีเรื่องนึงที่ไม่น่าจะเคยเล่าให้ใครฟัง เล่าให้ทุกคนฟังเลยแล้วกัน คือตอนความเยาว์ออกใหม่ ๆ มีคนพูดคนแชร์ไปประมาณว่า คิดว่าเพลงมันสุดแค่ตรงนี้แล้วนะ ยังมีไปต่ออีกหรอ กีต้าร์ก็สับไปอีก อัด Dub เข้าไปอีก มีท่อนว้ากเข้าไปอีก เพลงนี้เลยเป็นเหมือนการแนะนำตัวของเรากับบ้านหลังใหม่ด้วยส่วนหนึ่ง ผลลัพธ์เพลงนี้ออกมาสวยงามเกินคาดสำหรับพวกเรามาก ๆ ครับ
เต้ : มากจริง ๆ มากจนน่าตกใจตัวผมเองก็อินกับเพลงนี้เหมือนกัน เคยเสียน้ำตาให้กับเพลงนี้มาแล้ว เคยมีบางวันเหนื่อย ๆ แล้วมานั่งฟังมันแบบนั่งคิดถึงตัวเองตอนเด็ก ๆ รู้สึกว่าทำไมโตมามันเหนื่อยจังวะ แล้วเมื่อไหร่มันจะถูกที่ถูกทาง ที่ทำอยู่มันใช่หรือเปล่านะ มันเป็นเพลงที่แบบอะไรนะ ศัพท์วัยรุ่นเขาว่าอะไรนะ มันทัชใจหรอ แบบเพลงนี้ทัชมากค่ะ
ทุกคน : ฮา
เต้ : อ่านคอมเมนต์ของแต่ละคน เขามีภาพตอนฟังเพลงนี้ไม่เหมือนกันนะ เขาก็มาแลกเปลี่ยนกันในยูทูปนะ อ่านเพลินมากเลย ความเยาว์ของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะพอโตมา ด้วยวิถีที่ต่างกัน เจอเรื่องต่างกัน เขามาแลกเปลี่ยนให้กันฟัง มันเป็นปลายเปิดที่กระแสตอบรับดีมาก ขอบคุณมากครับ
HiddenTrack
แม็ก : ไม่บอกครับ
ทุกคน : ฮา
คูเกม : อันนี้เคยคุยกันไว้ว่าสำหรับเพลงนี้เราจะไม่บอกอะไร
ก้อง : พวกเราจะไม่พูดถึงเลยครับ
คูเกม : ตอนนี้สิ่งเดียวที่บอกได้เลยคือมันมี
แม็ก : นี่เป็นการใจร้ายที่สุดครั้งนึงของวงในการตอบคำถามคนเลยนะ คือวงไม่เคยทำ HiddenTrackแบบจริงจัง แล้วเวลาใครถามก็ไม่บอก
ก้อง : ตอนนี้นอกจากวงก็คือไม่มีใครรู้ชื่อเพลงครับ
เต้ : อันนี้คือความลับสุดยอด
ทำไมความพอดีของเพลงในอัลบั้ม WORDS ถึงเฉลี่ยอยู่ที่ 10 นาที
คูเกม : อืม เรื่องนี้ไม่เคยคิดเลยนะ
แม็ก : รู้สึกว่าที่เราเคยคุยกันถ้าเพลงนานกว่านี้มันเกินไปแล้วสำหรับการเล่าเรื่องแบบนี้ สำหรับวิธีการเล่าเรื่องที่เราจะสื่อแบบนี้ พอมันเป็น 10 นาที ทุกคนในวงเห็นด้วยตรงกันว่ามันพอดีแล้ว พอมันเป็นเลข 10 นาทีมันไม่ใช่แค่ท้าทายตัวเรา แต่ยังท้าทายคนฟัง มันน่าจะเป็นเรื่องเดียวกันที่เราเจอว่าคนไทยอ่านหนังสือไม่เกิน 7-8 บรรทัด บางคนเพลงยาวแค่ 3 นาทีก็ยังไม่อยู่จนจบเพลงด้วยซ้ำ แต่พอเราเลือกที่จะท้าตัวเองด้วยการทำ 10 นาที แล้วเราไม่ได้ทำแบบว่ายืดให้มันถึงเวลาเท่านั้นด้วยนะ ในแง่ของตัวศิลปินที่สร้างงานขึ้นมา เราต้องสร้างคอนเซ็ปต์ สร้างโครงพิมพ์เขียวของเพลง ให้ 10 นาทีมันมีความหมายมากที่สุด ขณะเดียวกันเรารู้สึกว่า 10 นาทีเป็นเวลาที่เพียงพอต่อเพลงหนึ่งเพลงในการรับรู้ทั่วไปของคนฟังในประเทศไทย เพราะว่าอย่างแรกเลยเพลง 10 นาที คนไทยจะเปิดฟังกันน้อย หรือแทบไม่เจอเพลงแบบนี้ทั่วไปในท้องตลาด เราอยากที่จะรู้ว่า 10 นาทีนี้ถ้าคนฟังจบ พาร์ทต่าง ๆ ให้ความรู้สึกยังไงกับเขา เราอยากรู้ว่าท่อนต่าง ๆ ของเพลงฉายภาพอะไรไว้ในใจเขาบ้าง เพราะแต่ละคนจะมองเห็นภาพไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ในอีกด้านมันจะต้องมีคนที่ฟังไม่จบแน่ ๆ ซึ่งเราไม่ว่าเลย ฟังไม่จบ ไม่เป็นไร ฟังไม่ไหวไม่เป็นไร หรือเบื่อแล้วไม่เป็นไร เพราะนั่นคือความรู้สึกอีกแบบ ฟีดแบคอีกแบบ คือ 10 นาทีมันเพียงพอแล้ว เราไม่มีเหตุผลหรือว่าความจำเป็นที่ต้องยาวกว่านั้น ถ้าเราเล่ามากกว่า 10 นาทีมันจะกลายเป็นพยายามยัดเรื่อง พยายามใส่ ไอนั่นไอนี่ ซึ่งมันไม่โอเค มันเกินพอดี แล้วก็อันนี้คือเหตุผลกิ๊กก๊อก เลขไม่สวยครับ
ทุกคน : ฮา
คูเกม : นึกถึงหนังนะ หนังทั่วไปเรื่องมันจะไม่เกิน 2 ชั่วโมงหรอก แต่มันจะมีหนังบางเรื่องที่มันดันอยาก 3 เราเป็นประมาณนั้นแหละ ลองคิดอีกแบบถ้าหนังมัน 4 ชั่วโมงล่ะ อันนั้นน่าจะเริ่มอ้วกแล้ว มันจะล้นจริง ๆ แล้ว
แม็ก : พูดยาวมาทั้งหมดสรุปมันเป็นความเหมาะสมแหละ เป็นความเหมาะสมที่วงลงความเห็นร่วมกันว่ามันพอดีแล้ว เลขสวย และบรรลุโจทย์ที่ตั้งเอาไว้คือความท้าทาย นอกจากท้าทายตัวเองแล้วยังท้าทายคนฟังด้วยแบบพอเหมาะพอดี
จากบทสัมภาษณ์นี้ทำให้เราได้รู้จักกับตนตน วิธีการทำงานของวง รวมไปถึงเรื่องราวของอัลบั้ม WORDS กันพอสมควร แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่พาร์ทแรกของบทสัมภาษณ์ครับ ในฉบับหน้าเราจะมาพูดคุยถึงถึงวิธีการทำงานเพิ่มเติม ตลอดจนเรื่องราวกว่า 10 ปีบนเส้นทางสายดนตรีที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบของพวกเขา The Darkest Romance
บทสัมภาษณ์ The Darkest Romance เพิ่มเติม
- แม็ก The Darkest Romance : ตัวตนคนดนตรี
- The Darkest Romance : จาก ‘ความเยาว์’ สู่ ‘ความโดดเดี่ยว’ ผลงาน 10 นาทีกับการท้าทายความสามารถของพวกเขา ไปอีกขั้นในฐานะศิลปินคุณภาพ
- The Darkest Romance : One Word Can Mean A Lot of Sentences Part.2
Photo : Satchaphon Rungwichitsin