The Legend : Solar Eclipse ตำนานสุริยุปราคา | Issue 158
ในช่วงส่งท้ายปีที่ผ่านมาท่านผู้อ่านหลาย ๆ ท่านอาจจะกำลังยุ่งกับการรีบเร่งทำงานให้แล้วเสร็จเพื่อที่จะได้รีบทำตัวให้ว่าง เพื่อจะได้มีเวลาเยอะ ๆ ในการใช้ชีวิตในช่วงวันหยุดยาวได้อย่างเต็มที่ แต่ทุกท่านก็คงทราบดีใช่ใหมครับว่าเมื่อ ในวันที่ 26 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมานั้น ได้เกิดเหตุการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า สุริยุปราคา เกิดขึ้นมาในประเทศไทย หลายคนดูตื่นเต้นกับเหตุการทางธรรมชาตินี้เป็นอย่างมาก โหราจารย์ชื่อดังต่างดูดวงเมืองและฟันธงกันไปต่าง ๆ นานา ว่าจะเกิดเหตุนั้นเหตุนี้ขึ้นในปี 2563 ข้างหน้า ดังนั้นในเรื่องเล่า Legend ฉบับนี้เราจะมาไขกันว่า ทำไมสุริยุปราคานั้นจึงถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ และจะนำมาซึ่งเหตุการณ์อะไร ติดตามกันได้เลยครับ
สุริยุปราคาเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อ 1.ดวงอาทิตย์ 2.ดวงจันทร์ และ 3.โลก โคจรมาเรียงอยู่ในแนวเดียวกันโดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง เกิดขึ้นเฉพาะในวันที่ดวงจันทร์มีวิถีตรงกับวันจันทร์ดับ ส่วนอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า จันทรุปราคานั้น จะเกิดขึ้นเมื่อมี 1. พระอาทิตย์ 2. โลก และ 3. ดวงจันทร์ โคจรมาเรียงอยู่ในแนวเดียวกัน โดยมีโลกอยู่ตรงกลาง
สุริยุปราคานั้น แบ่งออกเป็น 4 ประเภท แบ่งออกเป็น
• สุริยุปราคาเต็มดวง (Total Eclipse) : ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์หมดทั้งดวง
• สุริยุปราคาบางส่วน (Partial Eclipse) : มีเพียงบางส่วนของดวงอาทิตย์เท่านั้นที่ถูกบัง
• สุริยุปราคาวงแหวน (Annular Eclipse) : ดวงอาทิตย์มีลักษณะเป็นวงแหวน เกิดเมื่อดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากโลก ดวงจันทร์จึงปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์
• สุริยุปราคาผสม (Hybrid Eclipse) : ความโค้งของโลกทำให้สุริยุปราคาคราวเดียวกันกลายเป็นแบบผสมได้ คือ บางส่วนของแนวคราสเห็นสุริยุปราคาเต็มดวง ที่เหลือเห็นสุริยุปราคาวงแหวน บริเวณที่เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์มากที่สุด
ซึ่งในแต่ละปีนั้นโลกของเราสามารถเกิดสุริยุปราคาบนโลกได้อย่างน้อย 2 ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 5 ครั้ง ในจำนวนนี้อาจไม่มีสุริยุปราคาแบบเต็มดวงเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะโอกาสในการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงนั้นมีอยู่น้อยมาก
การเกิดสุริยุปราคาในประเทศไทยนั้นนับแต่อดีตที่มีการบันทึกมีเพียงไม่กี่ครั้ง โดยครั้งแรกที่มีการบันทึกถึงเกิดขึ้นในสมัยพระนารายณ์มหาราช ในตอนสายของวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2231 เป็นสุริยุปราคาเต็มดวงที่แนวคราสมืดไม่ได้พาดผ่านสยามประเทศ จึงสังเกตเห็นเป็นชนิดบางส่วน แต่สำหรับสุริยุปราคาแบบเต็มดวงที่มีการบันทึกในประเทศไทยนั้นมีดังนี้
ครั้งที่ 1 เกิดสุริยุปราคาแบบเต็มดวง 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ตรงตามเวลาที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณไว้ แนวพาดผ่านที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทย
ครั้งที่ 2 เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2418 โดยเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งแรกที่เห็นได้ในกรุงเทพมหานครนับตั้งแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา โดยกินหมดดวงเวลา 14:31:29 น. - 14:35:21 น. ตามเวลามาตรฐานประเทศไทยในปัจจุบัน
ครั้งที่ 3 เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2472 เห็นได้ที่จังหวัดสตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทอดพระเนตรที่จังหวัดปัตตานี โดยมีคณะนักดาราศาสตร์จากต่างประเทศขนอุปกรณ์มาศึกษาสุริยุปราคาด้วย
ครั้งที่ 4 เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ในหลายจังหวัด เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2498 นับเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งที่สองที่เห็นได้ในกรุงเทพมหานคร
ครั้งที่ 5 เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ในเขตแนวพาดผ่าน 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตาก จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดลพบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสระแก้ว จังหวัดพิจิตร และ จังหวัดชัยภูมิ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2538
ส่วนที่เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมานั้น เป็นเพียงสุริยุปราคาชนิดบางส่วน ไม่ใช่แบบเต็มดวงแต่อย่างใด
มีตำนานที่กล่าวถึงการเกิดสุริยุปราคาอยู่หลากหลายแบบ แต่ละประเทศก็มีตำนานที่แตกต่างกันออกไป อย่างของประเทศจีนนั้นเชื่อว่ามีสัตว์ร้ายที่มากลืนกินพระอาทิตย์ ซึ่งก็คือสุนัขสวรรค์, ของเวียดนามเป็นกบ, ทางแถบอเมริกาใต้ชาวมายันเชื่อว่าเป็นเสือพูม่า ทางแถบยุโรปตอนเหนือแสกนดิเนเวียนเชื่อว่าเป็นหมาป่าพี่น้องสองตัวที่ชื่อ สโคลล์ และ ฮาตี ส่วนประเทศไทยเรานั้นเชื่อว่าเป็น พระราหู นั่นเอง ซึ่งทุกอารยธรรมของทุกประเทศ มีความเชื่อที่คล้ายคลึงกันนั้นก็คือ พระอาทิตย์หรือดาวฤกษ์นั้นเปรียบดั่งเทพ และการที่มีสัตว์ร้ายหรืออสูรมาไล่กัดกลืนกินนั้นถือได้ว่าเป็น ลางร้าย ที่จะบอกถึงเหตุไม่ดีในอนาคต ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์สุริยุปราคาทุกประเทศที่มีความเชื่อในเรื่องดังกล่าวก็มักจะทำการส่งเสียง ตีฆ้อง ยิงปืนจุดพลุ หรือทำการโห่ร้องให้เสียงดังเพื่อทีจะไล่สัตว์ร้ายหรือปีศาจให้คายดวงอาทิตย์ออกมาดังเดิม
มีคำกล่าวมากมายที่กล่าวว่าการเกิดสุริยุปราคานำมาซึ่ง ลางร้าย หรือ โชคร้าย แต่เมื่อศึกษาจากในบันทึกประวัติศาสตร์ในการเกิดสุริยุปราคานั้นมีอยู่มากมายหลากหลายแนวทางที่ปรากฎด้วยกัน ที่เลื่องลือที่สุดคือ เมื่อครั้งเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง วันที่ 28 พฤษภาคม 585 ปีก่อนคริตกาล ท้องฟ้าสว่างไสวในตอนกลางวันกลายเป็นกลางคืนไปชั่วขณะหนึ่ง เป็นเหตุให้สงครามเปอร์เซียที่นานยืดเยื้อถึง 6 ปี ระหว่างชาวลิเดียกับชาวเมเดสยุติลงได้ด้วยการเจรจาสันติภาพ เพราะต่างก็คิดว่าเทพเจ้ากำลังพิโรธเนื่องจากไม่พอใจที่ทั้งคู่ต้องมาประหัตประหารกัน และเกรงต่ออำนาจสิ่งศักสิทธิ์ที่ได้สำแดงให้เห็น แต่ในความเป็นจริงครั้งนั้น เทลิส (Thales) นักดาราศาสตร์และนักปรัชญาชาวกรีกได้ทำนายการเกิดสุริยุปราคาไว้ก่อนแล้ว แต่ทั้งสองชนชาติอาจไม่รู้ถึงการทำนายนั้น อย่างไรก็ตามในเหตุการณ์ครั้งนี้ทุกอย่างจบลงด้วยดี
อีกครั้งหนึ่งในสมัยพระเจ้าหลุยส์ จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนยุโรป ได้พบกับ ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติสุริยุปราคา ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 1383 จากนั้นพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ เล่ากันว่าเป็นเพราะความตกใจ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เกิดศึกแย่งชิงบัลลังก์ยาวนานถึง 3 ปี มายุติลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพ (Treaty of Verdun) ซึ่งแบ่งยุโรปออกเป็นดินแดน 3 ประเทศ ที่เรารู้จักกันทุกวันนี้คือ ฝรั่งเศส, เยอรมัน และอิตาลี นั่นเอง
บันทึกมีมากมายหลากหลายแต่ทั้งนี้กลับไม่มีบันทึกของชาวอียิปต์โบราณ สักเท่าใดอาจจะด้วยเหตุผลที่ว่าชาวอียิปต์โบราณนับถือดวงอาทิตย์ (ราห์) เป็นเทพเจ้าสูงสุด การอับแสงของดวงอาทิตย์ จึงเปรียบเสมือนความวุ่นวาย ที่พวกเขาไม่อยากให้เกิดขึ้นและไม่อยากพูดถึง หนึ่งในความเชื่อเกี่ยวกับสุริยุปราคาที่ชัดเจนที่สุดของชาวอียิปต์โบราณก็คือ พวกเขาเชื่อว่าสุริยุปราคาจะเกิดขึ้นเมื่องูยักษ์อโพฟิส (Apophis) เอาชนะเทพเจ้าราห์ (Ra) ได้ในการเดินทางหลังความตายยามราตรี ซึ่งนอกจากนั้นแล้ว ก็ไม่ค่อยพบหลักฐานเกี่ยวกับสุริยุปราคาในอียิปต์โบราณสักเท่าใดนัก
แต่ทั้งนี้เราจะสังเกตได้ว่า การเกิดสุริยุปราคานั้นไม่ได้หมายความว่าจะก่อให้เกิดแต่ลางร้ายเสมอไป เหตุการณ์ที่เกิดมีทั้งดีและร้าย แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง มันคือเหตุการณ์ทางธรรมชาติที่หมุนเวียนตามรอบการหมุนของดวงดาว ได้แก่ โลก ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ เพียงแต่คนเรานั้นเอาความเชื่อและดวงชะตาของตนเองและบ้านเมืองไปผูกกับการหมุนของดวงดาวมาโดยตลอดและมองว่าการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบเป็นลางร้ายให้กับตนเท่านั้นเอง
ทุกอย่างในปัจจุบันนั้นสามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ และสำหรับปรากฎการณ์นี้ผมเองก็อยากให้ทุกคนมองว่ามันเป็นเพียงปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่ปรากฎให้เราได้ดู ซึ่งคนเราเองก็สามารถคำนวณวิถีของการปรากฎของมันได้ อยากจะให้ทุกคนนั้นเฝ้ารอดูด้วยความตื่นตาตื่นใจในความสวยงามที่ปรากฎมากกว่าการที่จะมาคาดเดา หวาดกลัว ถึงรางล้ายที่จะเกิดขึ้น แต่ทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ไม่สามารถไปบังคับใครได้นะครับ สำหรับ Legend ในฉบับบนี้ ก็ขอลาไปก่อน สวัสดีครับ