The Legend : 5 อันดับ โรคระบาดร้ายแรงในอดีต | Issue 160
มีคำกล่าวที่ว่า คนเราอัดอั้นอะไร ให้ปล่อยมันออกมา และใช้สภาวะกดดันที่เป็นอยู่ ผลักดันตนเองให้เกินขีดขั้นสูงสุด ทั้งสมองและกำลังกายให้ทำงานไปพร้อม ๆ กัน ให้งานประสบผลสำเร็จ และพ้นสภาวะความกดดัน แต่ตอนนี้ผมอยู่ในสภาวะกดดันจากฝุ่น PM2.5 ที่กระจายอยู่แทบทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย เอาจริง ๆ คือผมเองก็แทบจะไม่ไหวกับสภาพอากาศที่เกิดขึ้น เพราะตนเองเป็นโรคภูมิแพ้ฝุ่นอย่างหนัก แต่ด้วยภาระลูกเมียที่เป็นอยู่ ยังไงก็เลี่ยงการทำงานปะทะฝุ่นไม่ได้ ฉบับนี้ผมเลยขออนุญาตเขียนตำนานเรื่อง “ฝุ่นล้างโลก” เอาซะเลย และผมคิดว่าผมเองน่าจะเขียนได้ดีทีเดียวล่ะ เพราะออกมาจากความอัดอั้นตันใจล้วน ๆ จริง ๆ
ประเทศไทยในปีนี้เหมือนประสบอุบัติเหตุร้าย มีรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่อัดแก๊สติดไฟลุกไหม้เข้ามาวิ่งชนอย่างจังทั้งข่าวเหตุสะเทือนขวัญ เรื่องราวการเมืองที่น่าปวดหัว ฝุ่น PM2.5 ที่มาแล้วมาอีกหลายรอบไม่ไปสักที ข่าวการ Lay off ขายรถเชฟโรเลต ที่กระทบธุรกิจอื่นเป็นลูกโซ่ และหนักที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องราวของไวรัส โควิด-19 หรือที่เรารู้จักในนามของ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่
ไวรัสโควิด-19 ตัวนี้นับเป็นไวรัสตัวที่ 6 ในสายพันธุ์ตระกูลโคโรน่า ซึ่งก่อนหน้านี้คือ MERS และ SAR ความน่ากลัวของโรคนี้คืออัตราการแพร่ระบาดของมัน ที่สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและสามารถคงทนอยู่ได้ในสภาวะของเหลวนานถึงสองชั่วโมงในสภาพอากาศปกติ โดยความร้ายแรงของโรคแล้วไม่ได้ส่งปัญหาถึงชีวิตของผู้ป่วยในฉับพลัน โรคร้ายยังพอปรานีให้กับผู้ติดเชื้อมีเวลาในการรักษาตัวอยู่บ้าง เว้นแต่ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหรือโรคแทรกซ้อนหรือที่มีอายุเกิน 50 ปี ที่อาจจะเสียชีวิตลงเนื่องจากภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ
ทางการสหประชาชาติ ได้ตั้งระดับการแพร่กระจายในแต่ละประเทศออกเป็นสามระดับ โดยไล่จาก 1 น้อยสุดไปยังอัตราที่ 3 คือมีความเสี่ยงมากสุด แน่นอนครับประเทศไทยในปัจจุบันนี้ได้ถูกยกระดับไปเป็นระดับที่ 3 ที่มีความเสี่ยงและต้องเฝ้าระวังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หากให้ประเมินว่าไวรัสโควิด-19 มีโอกาสเป็นไวรัสล้างโลกหรือไม่นั้น ตอนนี้ตอบได้เพียงว่ามีโอกาส ไม่ใช่ว่าวิทยาการแพทย์ก้าวไม่ทันโรค แต่เป็นเพราะจำนวนบุคคลากรทางการแพทย์อาจไม่เพียงพอต่อการรับมือผู้ติดเชื้อที่เพิ่มเยอะมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน จนรักษาไม่ทันนั่นเอง
ในอดีตนั้นโลกได้เผชิญกับปัญหาโรคระบาดมาแล้วจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน แต่มีโรคระบาดร้ายแรง 5 ชนิด ที่ได้อุบัติขึ้นบนโลกและก่อให้เกิดการเสียชีวิตของประชากรโลกจำนวนหลักล้านอย่างน่าใจหาย โรคภัยไข้เจ็บดังกล่าวทั้ง 5 อันดับประกอบไปด้วย
1. กาฬโรค The Black Death (ค.ศ.1346-1353)
หนึ่งในเหตุการณ์โรคระบาดที่ร้ายแรง และโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ประเมินผู้เสียชีวิตกว่า 200 ล้านคน นับเป็น 1 ใน 3 ของประชากรโลกในขณะนั้น สาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย เยอซิเนีย แพสทิซ (Yersinia pestis) ซึ่งแพร่ระบาดอยู่ในสัตว์จำพวกหนูในแถบตอนกลางของเอเชีย จุดเริ่มต้นนั้นเชื่อว่ามาจากขบวนคาราวานที่เดินทางมาจากเอเชีย เข้ามาถึงท่าเรือซิซิลี ในอิตาลีประมาณปี 1347 ก่อนที่จะแพร่ต่อไปทั่วทั้งทวีปยุโรป ลักษณะของอาการผู้ป่วยจะมีฝีมะม่วงขึ้นมาบริเวณขาหนีบ คอ และรักแร้ ซึ่งเมื่อผ่าออกมาจะมีทั้งหนองและเลือดผสมอยู่ในนั้น ผู้ป่วยจะมีไข้สูงอาเจียนเป็นเลือด และเสียชีวิตภายใน 2-7 วัน ความน่ากลัวคือ แม้คนตายไปแล้วเชื้อยังอยู่กับศพ และจำนวนศพผู้ตายนั้นกองเป็นภูเขาเลากา เผาทำลายไม่ทัน ทำให้เชื้อแพร่กระจายลงสู่ดิน และแม่น้ำ ทำให้เกิดผู้ติดเชื้อจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ส่วนคำเรียก Black Death นั้นมีความหมาย 2 อย่าง นั่นคืออาการขั้นสุดท้ายของผู้ป่วยจากกาฬโรค ร่างกายจะกลายเป็นสีดำเพราะมีเลือดออกใต้ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า และอีกความหมายนั้นสื่อถึงความน่าสะพรึงกลัวของโรคร้ายนี้ และอารมณ์เศร้าหมองของผู้คนในยุคสมัยนั้น
2. ไข้หวัดใหญ่สเปน Spanish Flu (ค.ศ.1918)
เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่มีต้นตอมาจากสัตว์ปีก มีจำนวนผู้เสียชีวิตรวมทั่วโลกประมาณถึง 50 ล้านคนในปีนั้น นับเป็นโรคติดต่อที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดนับจาก กาฬโรค Black Death โดยแท้จริงแล้วการระบาดของโรคในขณะนั้น ได้ระบาดไปหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส และ อเมริกา แต่เพราะประเทศเหล่านั้นเพิ่งเข้าร่วมสงครามโลก จึงไม่อยากรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตในปริมาณมาก แต่ประเทศสเปนไม่ได้เข้าร่วมในสงครามด้วย จึงสามารถรายงานยอดผู้เสียชีวิตได้ จึงดูเหมือนสเปนมีผู้เสียชีวิตเยอะที่สุดจึงได้ชื่อว่า “ไข้หวัดใหญ่สเปน” ผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะมีไข้ จาม คลื่นไส้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และท้องเสีย ซึ่งเป็นอาการแรกเริ่มของไข้หวัดใหญ่ทั่วไป แต่หลังจากนั้นช่วงปี 1918 เชื้อก็กลายพันธุ์ และมีความร้ายแรงกว่าเก่า การระบาดของไข้หวัดสเปนนี้กินอาณาเขตทั้งในอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น อินเดีย และหมู่เกาะซามัวร์ ภายในเวลาสามปีมียอดผู้เสียชีวิตถึง 100 ล้านคน มากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 หลายเท่า และสุดท้ายการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนก็ค่อย ๆ ลดลง และหายไปอย่างลึกลับช่วงปี ค.ศ.1919
3. อหิวาตกโรค First Cholera Pandemic (ค.ศ.1817)
การอุบัติขึ้นครั้งแรกของเชื้ออหิวาตกโรค เกิดขึ้นในรัสเซีย มีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 1 ล้านคน ก่อนจะแพร่ไปยังอินเดีย เอเชียกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกไกล แอฟริกาตะวันออก และแน่นอนครับเมื่อมีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ประเทศไทยก็ไม่พลาดเช่นกัน เชื้อแพร่กระจายผ่านทางน้ำ อาหาร และเป็นครั้งแรกที่เชื้อสามารถแพร่กระจายไปใกลถึงครึ่งขอบโลก จำนวนผู้เสียชีวิตประเมินได้ประมาณ 1 ล้านคนในยุโรป และอีกหลายล้านคนในเอชียและแอฟริกา ประเทศไทยเองก็มีผู้เสียชีวิตมากนับในเฉพาะพระนครกรุงเทพฯ มีถึง 3 หมื่นคนเลยทีเดียว อหิวาตกโรคเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ กินอาหารไม่สุก น้ำไม่สะอาด ผู้ป่วยจะท้องเสียอย่างรุนแรง อาเจียน มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งหากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาร่างกายจะขาดน้ำและเกิดอาการช็อคเสียชีวิตได้ในที่สุด แม้ว่าแพทย์จะสามารถผลิตวัคซีนขึ้นมาเป็นผลสำเร็จในปี 1885 แต่การแพร่ระบาดของเชื้อนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป
4. วัณโรค Tuberculosis
โรคติดเชื้อที่พบบ่อย และถึงแก่ชีวิตของผู้ป่วยในหลายกรณี ที่เกิดจากไมโครแบคทีเรียหลายสายพันธุ์ วัณโรคโดยปกติก่อให้เกิดอาการป่วยที่ปอด แต่ยังสามารถส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นของร่างกายได้โรคสามารถแพร่ผ่านอากาศเมื่อผู้ที่มีการติดเชื้อไอ จาม หรือส่งผ่านน้ำลายผ่านอากาศ การติดเชื้อในมนุษย์ส่วนมากส่งผลให้เกิดไร้อาการโรค การติดเชื้อแฝง และราวหนึ่งในสิบของการติดเชื้อแฝงท้ายที่สุดพัฒนาไปเป็นโรคมีฤทธิ์ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิตมากกว่า 50% ในอดีตนั้น วัณโรคเป็นโรคระบาดรุนแรงในทวีปยุโรป ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ประชากร 1 ใน 4 ของยุโรปเสียชีวิต ชนชั้นสูง และบุคคลมีชื่อเสียงของยุโรปหลายคนต่างเสียชีวิตด้วยโรคนี้เช่นกัน จึงทำให้โรคนี้ไปปรากฎอยู่ในวรรณกรรมหลาย ๆ เรื่อง อาทิ Moulin Rouge เป็นต้น
5. โรคเอดส์ AIDS
เอดส์ หรือ เชื้อไวรัส HIV เป็นเชื้อที่ทำให้ระบบภูมิต้านทานบกพร่อง จนสุดท้ายก็เสียชีวิตจากภาวะโรคแทรกซ้อน คาดกันว่าเชื้อนั้นกลายพันธุ์มาจากไวรัส ที่ทำให้เกิดโรคในสัตว์ประเภทลิง เช่น ชิมแปนซี หลังจากนั้นไวรัสเหล่านั้นอาจติดเข้ามาในคน (กล่าวกันว่าเกิดจากทหารนายหนึ่งไปประจำการในป่าที่แอฟริกา และได้ไปสัปดี้สัปดนกับลิงเข้า และมาบ๊ะจ้ำบ๊ะกันต่อกับทหารกันเองในกองทัพ) โดยเริ่มแรกเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในคนเท่านั้น ต่อมาจึงกลายพันธุ์เป็นโรคเอดส์เชื้อ HIV สามารถติดต่อได้ทาง เลือด อสุจิ สารคัดหลั่งในช่องคลอด หรือน้ำนม สาเหตุใหญ่ของการแพร่กระจายเชื้อคือ การมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้ป้องกัน เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อน การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกผ่านทางการให้น้ำนม เลือดที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส HIV จากการบริจาคให้ธนาคารเลือด HIV ยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตทางโรคติดต่อที่รุนแรงมากที่สุดอีกเหตุการณ์หนึ่ง มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 25 ล้านคน จากการสำรวจในปี ค.ศ.1981 และปัจจุบันก็ยังไม่มีผู้คิดค้นยารักษาชนิดนี้ได้ มีเพียงยาต้านไวรัส ที่ช่วยลดปริมาณเชื้อ HIV ในร่างกายและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้นนั่นเอง