The Darkest Romance : ผลงาน 10 นาที กับการท้าทายความสามารถของพวกเขา | Issue 161
นับตั้งแต่ที่ The Darkest Romance วงดนตรีร็อก Emotronic คุณภาพ ได้ตบเท้าก้าวเข้าสู่การเป็นศิลปินภายใต้สังกัด GENE LAB พวกเขาได้เริ่มปล่อย ความเยาว์ และ ความโดดเดี่ยว ผลงานความยาวกว่าสิบนาที กับประสบการณ์ระหว่างฟัง ที่นำพาให้เราย้อนกลับไปสำรวจความเยาว์ในวันวาน พร้อมเชิญชวนให้เราขบคิดถึงเรื่องชีวิต และยังนำพาเราไปสัมผัสห้วงอารมณ์ที่ดำมืด กับสภาวะโดดเดี่ยวขั้นสุดอันเป็นสัจธรรมที่เราทุกคนต้องอยู่กับมันให้ชิน ถือเป็นความท้าทายที่ไม่ใช่แค่คนฟังเพียงเท่านั้น แต่ยังท้าทายความสามารถของพวกเขาในฐานะศิลปินอีกด้วย
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เราเคยมีโอกาสได้ร่วมพูดคุยกับ แม็ก ธิติวัฒน์ รองทอง ศิลปินผู้มากด้วยความสามารถ นักร้องนำและมือเบสแห่งวง The Darkest Romance กันมาแล้ว (สามารถอ่านบทสัมภาษณ์ได้ใน MiX Magazine ฉบับที่ 139) ซึ่งในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราได้กลับมาพูดคุยกับเขาอีกครั้ง พร้อมด้วยสมาชิก The Darkest Romance กันแบบครบถ้วนสมบูรณ์ ประกอบด้วย แม็ก ธิติวัฒน์ รองทอง (ร้องนำและเบส), ก้อง ก้องอุดม ใจทัศน์กุล (กีต้าร์), เต้ ปัฏฐสิทธิ์ ห้วยห้อง (กีต้าร์) และ ซีเกม ธณัตชัย เหลือรักษ์ (กลอง)
ความรู้สึกที่มีต่อบ้านหลังใหม่อย่าง GENE LAB
ซีเกม : ไม่มีอะไรนอกจากขอบคุณจริง ๆ ครับ ขอบคุณที่กล้ารับพวกเรา (หัวเราะ) โอกาสนี้ทำให้งานของเราถูกส่งไปหาคนฟังมากขึ้น ทำให้เราได้ Feedback จากกลุ่มคนฟังหลากหลายมากขึ้น และตรงนี้เป็นแรงผลักดันอย่างดีให้กับพวกเราที่จะสร้างสรรค์ผลงานต่อไปได้
แม็ก : การได้มีโอกาสมาร่วมงานกับ GENE LAB ถือเป็นโชคดีของพวกเราทุกคนในวง รู้สึกประทับใจในความเปิดกว้าง และการสนับสนุนจากทีมงานทุกคน และเพื่อนศิลปินท่านอื่น ๆ ก็น่ารักและเก่งมากครับ
พูดถึงสองซิงเกิ้ลที่เพิ่งปล่อยออกมา ความเยาว์ และ ความโดดเดี่ยว
ซีเกม : ด้านดนตรีผมคิดว่าค่อนข้างครบรสนะ ทั้งสองเพลงมีตั้งแต่ทำนองที่น่าจะติดหู จังหวะกลาง ๆ ไปจนเร็วให้พอโยกหัวตามได้ ไปจนถึงกระแทกอารมณ์เละเทะให้ทุกคนได้ปลดปล่อยอย่างเต็มที่ พวกเราจัดให้เต็มเหนี่ยว ไม่มีกั๊ก ด้านเนื้อหา ผมคิดว่าทั้งสองเพลงน่าจะสะกิดความรู้สึกเบื้องลึกของทุกคนได้ ไม่มากก็น้อย เพลงมีความหมายแฝงมากไปกว่าที่ได้ยิน มีแง่คิด มีปรัชญา ซ่อนอยู่ ถ้าจะคิดให้ถึง อยากให้ลองตั้งใจฟังดูครับ
แม็ก : ถ้าในฐานะของคนเขียนเนื้อเพลงทั้งสองเพลง ผมคิดว่า ความเยาว์ เป็นเพลงที่คล้าย ๆ กับการบันทึกห้วงเวลาบางส่วนของตัวผม และเป็นเพลงที่รู้สึกว่าดีใจที่สุดที่เขียนมันออกมาได้ เพลงนี้บรรจุความรู้สึก คำถาม และความเป็นไปในใจบางอย่าง ซึ่งส่วนตัวคิดว่ามัน Universal มีความกว้างขวางในตัวมันเอง แม้เรื่องราวกับคำที่ใช้จะมีความส่วนตัวอยู่ แต่กลับกลายเป็นว่าพอทุกคนได้ฟัง เอาไปตีความกันมากมาย เลยทำให้ได้รู้ว่าแต่ละคนมีเรื่องเล่าและมีความเยาว์แตกต่างกันไป แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกคนยังมีชีวิตอยู่ และยังต้องเดินทางต่อไปตราบที่ยังอยู่ ผมเลยคิดว่าเพลงนี้คือเพลงที่เล่าแบบ Coming of age เรียงช่วงเวลา และแต่ละคนจะมีเรื่องราวกับปลายทางที่ต่างกันในใจ และนั่นคือดีแล้วครับ
ส่วนเพลง ความโดดเดี่ยว เล่าเรื่องที่ยากกว่า ซับซ้อนและมืดดำกว่า เพราะแม้มันจะไม่ใช่ความรู้สึกที่ใครหลายคนอยากจะเจอ แต่ท้ายที่สุดแล้วเรากลับต้องมีวันที่โดดเดี่ยว แม้เราจะไม่เต็มใจ เพราะบางครั้งมันไม่ได้เกิดจากเราอ้าแขนรับมา แต่เป็นเพราะถูกผลักไสไล่ไป ในมุมของผมมันเลยเป็นได้ทั้ง Cries for help และการระบายความรู้สึกออกมา บางคำที่พูดไม่ได้เพราะกลัวอ่อนแอ บางสิ่งที่ไม่อยากบอกเพราะไม่อยากได้รับความสงสาร แม้แต่ความโกรธหรือผิดหวัง เพลงนี้อาจจะเป็นเพลงที่เล่าเรื่องพวกนั้นออกมาให้เป็นรูปธรรมได้ชัดขึ้นครับ
คิดว่าอะไรคือความท้าทายของการทำงานเพลงที่มีความยาวกว่า 10 นาที
ก้อง : ความท้าทายคือทำยังไงให้คนฟังไม่รู้สึกเบื่อ หรือเหมือนฟังแล้ววนเป็นลูปแบบลักษณะตัดแปะ
ซีเกม : ท้าทายตั้งแต่การเล่นเลย เพลงเรามีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ แค่เพลงความยาวปกติในอัลบั้มก่อน ๆ ก็จำยากแล้ว อันนี้ 10 นาที มึนสิ (หัวเราะ) แต่มันก็ทำให้วงก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเองไปอีกขั้น เป็นสิ่งที่ดีครับอีกสิ่งคือคนฟัง มันท้าทายมากว่าเค้าจะอยู่กับเราจนจบ 10 นาทีได้มั้ย ด้วยความที่รายละเอียดมันเยอะ บางทีมันต้องฟังเต็ม ๆ 10 นาทีถึงจะได้รับสุนทรียรสครบถ้วน เราก็อยากให้สิ่งที่เราอยากสื่อมันส่งไปถึงอย่างครบถ้วน แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับคนฟังอยู่ดี ซึ่งถ้าใครฟังไม่จบก็ไม่เป็นไร แค่ลองเปิดฟังดูเราก็ขอบคุณมาก ๆ แล้ว
เต้ : ขอตอบเป็นพาร์ทเล่นสดละกันครับ ก็คือว่าเราจะยืนระยะยังไงให้ไม่เหนื่อยก่อนโชว์จบ ฮ่า ๆ ร่างกายต้องถึกขึ้นครับ
แม็ก : ตอนที่ตัดสินใจเขียนเพลงแบบนี้ สิ่งที่ตั้งเป้าไว้คือ ไม่อยากจะกลับไปทำเพลงแบบที่พวกเราเคยทำไว้ และไม่อยากทำในแบบที่ใครทำเอาไว้เลยทั้งสิ้น จริง ๆ การทำเพลง 10 นาทีสำหรับผมไม่ใช่เรื่องใหม่ในอุตสาหกรรมเพลง ทั้งของไทย และระดับโลก แต่สิ่งที่ตั้งเป้าเสริมไว้คือจะเล่นกันถึงระดับจิตใจได้ยังไงบ้าง ถ้าเพลงมันสามารถแตะจิตใจได้จริง เวลาจะไม่ใช่ปัญหา เรื่องที่ตามมาคือเราจะทำให้ 10 นาทีของเราและคนที่จะฟังต่อจากนี้ไม่รู้สึกเสียเปล่าได้อย่างไร แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราทุกคนตั้งโจทย์ร่วมกันไว้ว่า ต่อให้มัน 10 นาทีกว่า เราจะต้องเล่นกันอย่างสนุก และผมจะต้องเชื่อในมัน แม้จะฟังไปอีกพันครั้งหมื่นครั้ง ก็จะไม่เบื่อมันครับ
หากยึดตามปกเพลงที่ปล่อยออกมา ความเยาว์คือสีขาว ความโดดเดี่ยวคือสีดำ ผลงานที่วางแผนปล่อยไว้หลังจากนี้คิดว่าน่าจะเป็นสีอะไร และให้อารมณ์ความรู้สึกประมาณไหน
ซีเกม : จากอารมณ์เพลงของสองเพลงที่ปล่อยมา ก็จะไม่พ้นสีที่สามารถตีความไปทางอารมณ์ลบ เช่น เศร้า เหงา โกรธ แต่ถ้ามองให้รอบก็จะเห็นอารมณ์บวกอย่าง สุข สมหวัง หรือปล่อยวาง ได้เช่นกัน
แม็ก : เอาจริง ๆ แอบอยากเก็บเอาไว้ก่อนครับ (หัวเราะ) ยังไม่ค่อยอยากเปิดเผยให้มากเท่าไรนัก พอพูดเรื่องนี้ขออนุญาตพูดถึงทีมงานครับ เรื่องของสีและการตีความทางด้านภาพ คนที่ช่วยวางไว้ให้คือเคน Art Director ของค่าย เขาลองทำและเสนอไอเดียมา และพวกเรามีความชื่นชอบและมันมีความไปในทางเดียวกันพอดี เลยมาทางนี้กัน ต้องขอปรบมือให้เคนและทีมงานที่เกี่ยวข้องทุกคนในเรื่องนี้ด้วย
ทิศทางของอัลบั้มใหม่ที่กำลังจะปล่อยออกมา
ซีเกม : ก็จะคุมโทนเสนาะหูไปจนถึงกระแทกเละเทะเหมือนสองเพลงที่ได้ฟังนี่ล่ะครับ รอเหวี่ยงกันได้เลย
แม็ก : เท่าที่พอจะเปิดเผยได้คือ มันจะยาว นาน และไม่ใช่สิ่งที่คุณจะได้เจอในชีวิตประจำวันแน่นอน เป็นอัลบั้มที่ท้าทายทุกคนที่สุดทั้งวงและคนฟัง แอบหวังว่าทุกคนจะเปิดใจรับทางนี้ครับ
จากอัลบั้มแรกจนถึงปัจจุบัน คิดว่าวงมีการเติบโตขึ้นในแง่ใดบ้าง
ก้อง : เติบโตขึ้นในแง่ Concept และการสื่อสารของทั้งภาคดนตรีและเนื้อหา
ซีเกม : เหมือนเราจะคิดถึงคนฟังเยอะขึ้นนะ (ด้วยการทำเพลง 10 นาทีเนี่ยนะ ฮ่า ๆ) คือไม่ได้คิดในแง่ว่าให้ฟังง่าย กินง่าย แต่คิดในแง่ว่าเขาน่าจะได้อะไรจากเพลง ไม่มากก็น้อย คนที่อาจคิดว่าเขาคิดแบบนี้อยู่คนเดียวรึเปล่า เราก็มอบความรู้สึกโอบอุ้มเชิงที่ว่า ‘ไม่เป็นไรนะเราเข้าใจคุณ’ ไปให้ ซึ่งใครจะรับได้หรือไม่ได้ก็สุดแท้แล้วแต่ เราแค่ยินดีที่ได้ส่งต่อความรู้สึก แค่นั้น
แม็ก : น้ำหนักครับ (หัวเราะ) ล้อเล่นครับ จากอัลบั้มแรกที่ออกในนามวงดนตรีวงนี้ สิ่งแรกที่เติบโตขึ้นมามาก ๆ เลยคือสมาชิกและ Teamwork ครับ ผมเริ่มจากเป็น Solo Artist คนเดียวมาก่อน การได้มีเพื่อนที่ดีและใจใจต่อกันขนาดนี้เป็นการพัฒนาร่วมกันโดยแท้ในนามวง ส่วนในมุมมองของผมซึ่งเป็นผู้เขียนเพลง คิดว่า... น่าจะเป็นเรื่องมุมมองและการคิดงานมั้งครับ น่าจะมีความเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้เป็นคนมากขึ้น (หัวเราะ) การได้ทำงานกับค่ายเพลงทำให้พวกเรามีความเติบโตในแง่ของการบันทึกเสียง และนั่นส่งผลไปถึงเรื่องของการแสดงสดอีกด้วย ซึ่งสองข้อหลังนี้คือการเติบโตที่พวกเราภูมิใจมากจริง ๆ ครับ
คิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของ The Darkest Romance
ก้อง : พัง....
ซีเกม : คือทุกคนในวงลงไปเล่นกับคนดูล่างเวทีแล้วทิ้งมือกลองไว้คนเดียว...เอาใหม่ ๆ (หัวเราะ) จากที่หลาย ๆ คนบอกมาคือเราเป็นวงที่ ‘สื่อสารอารมณ์’ ได้ดี ซึ่งนั่นก็เป็นจุดประสงค์ของเราจริง ๆ นั่นแหละ เราใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการส่งต่อความรู้สึก เรื่องราว ที่มันไม่สามารถส่งได้ด้วยคำพูดหรือแม้แต่การกระทำอย่างเพลง หมากับเงา (อัลบั้ม คู่) ที่มักจะมีคนร้องไห้เวลาเราเล่นสด แรก ๆ รู้สึกผิดนะที่ทำคนร้องไห้ แต่ซักพักก็คิดได้ว่า เออ เราต้องขอบคุณเขานะ ที่เขารับสิ่งที่เราส่งมอบได้อย่างเข้าถึงอารมณ์จนเขาตอบสนองออกมาด้วยการร้องไห้ ซึ่งนั่นเป็นน้ำตาที่มีคุณค่ามาก ๆ ขอบคุณครับ
แม็ก : ความเป็นจริงในเพลงมั้งครับ ไม่ว่าจะดนตรี หรือทำนอง ที่พวกเราทุกคนร่วมกันเขียน แชร์ และปรับปรุง มันจริงไปหมดจนสัมผัสได้ เหนื่อยจริง มันจริง สะใจจริง และส่วนตัวยังคงคิดว่าเสน่ห์ของพวกเราจะอยู่ในการแสดงสด เราเลยอยากจะออกไปเล่นดนตรีกันมาก แม้จะรู้ว่าช่วงนี้ไม่เวิร์คก็ตาม แต่ไม่เป็นไรครับ ที่ไหน เมื่อไหร่ พวกเราก็จะทุ่มไม่ยั้งเลยครับ
เป้าหมายนับจากนี้ของวง
ซีเกม : เล่นเพลงใหม่ให้ได้... และก็คงทำแบบที่ทำอยู่ไปเรื่อย ๆ เพราะเรายังเชื่อในการทำเพลงแบบที่เราทำ แต่มันจะมีการพัฒนาต่อยอดไปอีกอย่างแน่นอน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แม็ก : ถ้าเอาเป้าหมายที่ผมฝันเฟื่องไว้เป็นคำตอบด้วยคือ สักวันเพลงของพวกเราจะเปลี่ยนโลกได้ครับ แต่ถ้าเอาเป้าหมายในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้จริง คือพวกเราแค่อยากออกไปเล่นคอนเสิร์ตและทำให้ทุกคนสนุก และยังมีแรงพอที่จะเขียนและทำเพลงที่ทำให้ตัวผม ในวง และคนรอบข้าง รวมไปถึงเพื่อน ๆ คนฟังทุกคน รักเพลงที่พวกเราทำ เท่านั้นก็ดีใจแล้วครับ จากนี้เป็นโบนัสแล้ว
คิดว่ารสนิยมมีผลต่อการสร้างงานหรือไม่ เพราะเหตุใด
ก้อง : ไม่มีผลต่อการสร้างงานแต่มีผลกับผลงาน เพราะคำว่ารสนิยมแต่ละคนมีไม่เหมือนกันอยู่แล้ว การสร้างชิ้นงานขึ้นมาซักหนึ่งชิ้นไม่จำเป็นว่าคน ๆ นั้นจะต้องมีรสนิยมที่ดีหรือไม่ดี อยู่ที่ตัวคนสร้างเองว่าชอบหรือไม่ชอบ ส่วนรสนิยมจะมีผลต่อผลงานคือ เมื่อทำออกมาแล้ว เราต้องเจอกับอีกหลากหลายรสนิยม มีทั้งชอบและไม่ชอบ แต่ ไม่มีหรอกคำว่าดีหรือไม่ดี
ซีเกม : แบ่งเป็น 2 อย่าง รสนิยมผู้สร้างงาน และ รสนิยมผู้ฟัง ถ้าพูดถึงรสนิยมผู้สร้าง มีผลแน่นอน และแทบไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะการสร้างงานศิลปะ ไม่ว่าจะแขนงไหน ระดับไหน คนเราจะเอารสนิยมส่วนตัวใส่ลงไปโดยไม่รู้ตัวเสมอ ไม่มาก ก็น้อย มันอยู่ในตัวเรา ต่อให้ตั้งใจเลี่ยงแค่ไหน มันก็จะออกมาอยู่ดี ส่วนรสนิยมผู้ฟัง ขึ้นอยู่กับผู้สร้างงานว่าจะให้มันมีผลมั้ย เช่น ถ้าเราจับรสนิยมกลุ่มคนฟังเป็นตัวชี้วัด และตั้งใจทำงานให้ตรง ก็อาจจะได้ผลดีในเชิงการตลาด เป็นต้น แต่ถ้าไม่สนใจ ก็ไม่มีผล
แม็ก : ส่วนตัวคิดว่ารสนิยมมีผลหมดเลยครับ ไม่ว่าจะกับคนทำงาน คนฟังเพลง นักวิจารณ์ ผู้ถ่ายทอด ศิลปินไม่ว่าแขนงไหนก็ตาม สำหรับบางคนรสนิยมสามารถกำหนดเส้นทางชีวิตทั้งชีวิตได้ รสนิยมสำหรับบางคนทำให้เขาชัดเจนต่อสิ่งที่ทำ หรือแม้แต่สิ่งที่แสดงออกมาไม่ว่าจะในเชิงใด ๆ การพูดจา การแสดงออก นิสัยใจคอ สิ่งที่ชอบเกลียด ประสบการณ์ชีวิต และอื่นๆ อีกมากมาย รสนิยมของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ซึ่งมักมีที่มาจากประสบการณ์และการเรียนรู้ส่วนบุคคลด้วย ดังนั้นจึงคิดว่ามีผลมาก และไม่ใช่แค่เฉพาะผู้สร้างงานครับ