มะละกา I แผ่นดินมรดกโลกแห่งคาบสมุทรมะลายู I issue 160
คอลัมน์ Recharge ฉบับนี้ เป็นการออกเดินทางไปกับทีมนิสสันประเทศไทย เป็นการเดินทางด้วยคอนเซ็ปต์ “Go Anywhere” หรือ “ลุยได้ทุกที่” พาไปชมแผ่นดินมรดกโลกแห่งคาบสมุทรมะลายู
เมื่อถึงท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ เราก็ได้เริ่มขับ NissanTerra จากสนามบิน มุ่งตรงไปยังเหมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศมาเลเซีย ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากกัวลาลัมเปอร์ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่า ราวๆ 25 กิโลเมตร เป็นศูนย์รวมของหน่วยงานราชการ
คาราวานรถของเราแวะพักที่ร้าน Indus Cafe, Marina Putrajaya เพื่อรับประทานอาหารเที่ยง ร้านนี้ตั้งอยู่ติดกับทะเลสาปขนาดใหญ่ในกลางเมืองปุตราจายา บรรยากาศโดยรวมถือว่าเมืองนี้เงียบ สงบ ร่มรื่น สบายตา เพราะมีพื้นที่สีเขียวเหลืออันเหลือเฟือ และที่สำคัญรถไม่ติดอีกด้วย
จากนั้นเราออกเดินทางต่อไปยัง Port Dickson Waterfront ใช้ระยะเวลาในการเดินทางราวๆ 1.30 ชั่วโมง แวะดื่มชากาแฟกันตามอัธยาศัย ซึ่งอดีตของเมืองนี้เป็นท่าเรือขนแร่ และยังใช้ชื่อตามชื่อเจ้าหน้าที่ของอังกฤษ เซอร์ จอห์น เฟรดเดอริก ดิกสัน ในสมัยอยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษอีกด้วย เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆเงียบสงบริมทะเล ผู้คนจึงพลุกพล่านไม่มากนัก
หลังจากดื่มชากาแฟแก้ง่วงยามบ่ายๆอ่อนๆ เรามุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางของวันนั้นนั่นคือเมืองมะละกา ที่หลากหลายเส้นทางสลับกัน ทางโค้ง ทางหลวงชนบท ผ่านเมืองต่างๆ รวมถึงทางด่วนที่ค่อนข้างมีมาตรฐาน ทำให้การขับรถครั้งแรกในต่างประเทศของเราวิ่งอย่าลื่นไหล ตื่นตาตื่นใจไปกับทัศนีย์ภาพระหว่างการเดินทางที่รายล้อมไปด้วยพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศนั่นคือสวนปาล์ม มองดูอย่างสุดลูกหูลูกตา บ้างก็มีฉากหลังเป็นทิวเขาอยู่ลิบๆ
แดดร่มลมตก เราก็เดินทางสู่จุดหมายปลายทางของวันนั่นคือเมืองมะละกา ซึ่งอดีตเป็นเมืองท่าสำคัญ ศูนย์กลางการค้าระหว่างตะวันตกกับตะวันออก มะละกาเป็นเมืองมรดกโลกเล็กๆ ตั้งอยู่ในช่องแคบมะละกา ตรงข้ามเกาะสมุมาตรของอินโดนีเซีย บ้านเมืองของที่นี่ผสมผสานไปด้วยสถาปัตยกรรมระหว่างดัตช์ โปรตุเกส และมาเลย์ ดังจะเห็นได้จากสถานที่สำคัญๆและมีชื่อเสียงอย่าง โบสถ์เซนต์ปอล์ ซุ้มประตูซานดิเอโก้ กังหันจตุรัสแดง
หลังจากเก็บสัมภาระพร้อมเช็คอินเข้าที่พัก ณ โรงแรมโนโวเทลมะละกา เราได้ตื่นตาตื่นใจกับสามล้อแห่งเมืองมะละกา ที่ประดับตกแต่งไปด้วยโคมไฟสีสันสวยงาม ตุ๊กตา และทุกคันต้องมีเครื่องเสียงปะจำรถ ปั่นพาเราไปยังท่าเรือคลองมะละกา เพื่อชมทัศนีย์ภาพอันสวยงามยามค่ำคืนของเมือง
บรรยากาศของเมืองยามค่ำคื่นประดับประดาไปด้วยแสงสีของไป เติมแต่งให้ดูน่าสนใจและแปลกตา ตามแบบฉบับของเมืองท่องเที่ยว สองฝั่งคลองมะละกา เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่มีอายุเก่าแก่ สอดแทรกเติมแต่งไปด้วยกราฟฟิตี้ขนาดใหญ่บนผนังตึก รอให้หลายคนได้มาสัมผัส
ทั้งผู้คนและสายน้ำ ต่างก็มีส่วนขับเคลื่อนถักทอร้อยเรียงเรื่องราวเมืองมรดกโลกแห่งนี้ ตามแบบที่ควรจะเป็น แต่วันนี้มีบางอย่างที่อาจจะทำให้เมืองนี้ดูเงียบเหงาเกินกว่าที่เป็น เพราะด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19
ไม่นานนักฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ