โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย โดย สันติ เศวตวิมล Issue 158

โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย โดย สันติ เศวตวิมล Issue 158

แล้วในที่สุด...เพิงสังกะสีก็กลายเป็นบ้าน

ฉันมองดูบ้านไม้สองชั้น ด้วยความหวังว่า

ห้องหลายห้องที่สร้าง คงจะมีสักห้องเป็นของฉัน

มันจะต้องดีกว่า ห้องเล็ก...เล็ก แคบ...แคบ ที่ติดอยู่กับโรงงานทำพริกนายผล ที่วัดชนะสงคราม บางลำพู หรือห้องแถวไม้ของอาคารสงเคราะห์ห้วยขวาง

และฉันก็ได้ห้องเป็นของฉันจริง...จริง

มันไม่ใช่ห้องที่อยู่ในตัวบ้าน แต่เป็นห้องเล็ก...เล็ก ติดอยู่กับริมรั้วที่ใช้เป็นห้องรวมสาระพัด ตั้งแต่ห้องเก็บของที่เหลือใช้ไปจนถึงห้องสำหรับเลี้ยงสุนัข

แต่ถึงอย่างไรฉันก็ยังพอใจ เพราะในที่สุดฉันก็มีห้องของฉันเองอีกครั้ง และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ฉันได้มีบ้านกับเขาเสียที

แม่ย้ายเข้ามาอยุ่ในบ้าน ตบแต่งอย่างสวย ประตูหน้าต่างมีผ้าม่านฉลุลายลูกไม้ ซึ่งทันสมัยที่สุดในยุคหลังสงครามโลกเลิกใหม่...ใหม่

พื้นที่บ้านเป็นไม้ปาร์เก้ที่มีราคาแพง เพราะเป็นไม้สักลงน้ำมัน

มันงามไปจนกระทั้งห้องน้ำ ห้องครัว ที่จะปูกระเบื้องโมเสทเช่นเดียวกับบ้านเศรษฐี

รอบ...รอบบ้าน แม่ก็จะปลูกไม้ดอก ไม้ใบไว้มากมาย ทั้งยังเลี้ยงหมาฝรั่งตัวโตเอาไว้ แล้วบอกกับใคร...ใครว่า

“เลี้ยงหมายังดีกว่าเลี้ยงคน”

แต่คนที่ต้องเลี้ยงหมาก็คือฉัน ที่ต้องเลี้ยงมันและก็ต้องนอนอยู่กับมันในห้องที่ฉันคิดว่าเป็นห้องส่วนตัวของคน

“คุณท่าน”...จะมาหาแม่วันละครั้ง หรือหลายวันถึงจะมาที

แต่ดูแม่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

สิ่งที่แม่สนใจก็คือ ภาระที่มอบหมายให้กับฉันจะต้องทำตรงเวลา

ฉันต้องตื่นตีห้า เพื่อต้มน้ำร้อนให้แม่อาบ และเตรียมชงชาที่แม่ชอบวางไว้ให้ตรงเวลาที่แม่ตื่น จากนั้นฉันก็จะต้องรีบไปโรงเรียน

แม่จะวางเงินไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งแต่งตัว เงินนี้จำนวนหนึ่งเป็นค่ารถเมล์

อีกส่วนหนึ่ง จะเป็นค่าจ่ายกับข้าว

หน้าที่ของฉันก็คือ จะต้องเจียดเงินเอามาจ่ายกับข้าวที่ตลาดราชวัตร สำหรับคนสามคนในบ้าน คือแม่ ตัวฉันเองและคนใช้ส่วนตัวของแม่

คนใช้ที่แม่จ้างมาสำหรับซักผ้ารีดผ้าให้ ส่วนกวาดบ้าน รดน้ำต้นไม้ รวมไปถึงทำกับข้าวกับปลา เป็นหน้าที่ของฉันเหมาหมด

“กูกินกับข้าวฝีมือพวกลาวกาวไม่ได้” แม่หมายถึงคนใช้เป็นสาวโคราชและดูเหมือนแม่จะเที่ยวบอกกับเพื่อนที่มาหาที่บ้านว่า

“ไอ้เด็กคนนี้ มันเคยอยู่ในครัวขุนนาง มันทำกับข้าวได้อร่อยสารพัด”

“หน้าที่ของฉันก็คือต้องทำกับข้าวคาวหวานให้ทุกคนในครอบครัว ไม่เว้นกระทั้งพระสงฆ์องค์เจ้าที่แม่ไปทำบุญ ได้กินกับทั่วหน้า

เพราะว่าคุณท่านมาหาแม่ไม่สม่ำเสมอ แม่มักจะหายไปจากบ้านบางทีก็เป็นวัน บางทีก็หลาย...หลายวัน

เมื่อหายไปแม่ก็ไม่ได้ทิ้งเงินเอาไว้ให้ ทั้งค่ารถไปโรงเรียน ค่ากับข้าวที่จะต้องทำกินทุกวัน ปัญหาทั้งหมดจึงมารวมที่ฉัน

เมื่อไม่มีเงินค่ารถเมล์โรงเรียน ก็อาศัยเพื่อนข้างบ้านช่วยออกค่ารถเมล์ให้

กลางวันก็อาศัยเพื่อนเลี้ยงข้าว ถ้ามีเพื่อนกลับบ้านทางเดียวกันก็ขออาศัยรถของเขาหรือขอให้เขาช่วยออกค่ารถเมล์ให้

แต่ถ้าไม่มีใครจริง...จริง ฉันก็จะต้องเดินกลับบ้านจากเชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าตั้งแต่โรงเรียนเลิกสี่โมง เดินมาถึงบ้านที่ราชวัตรก็ตกทุ่ม...สองทุ่ม แต่ถึงเวลานั้น แม่ก็ยังไม่กลับ

ฉันอยู่ได้ในตอนนั้นก็เพราะฉันมีเพื่อนที่ดี

เพื่อนที่ไม่เคยถามฉันเลยว่า ทำไมฉันจึงไม่มีเงินมาโรงเรียน บางคนถึงกับเดินเป็นเพื่อนกลับมาบ้านด้วยกัน

บางคนก็ชวนให้ฉันแวะบ้านเขาก่อน เพื่อจะให้ได้กินอาหารร่วมกับครอบครัวของเขา แต่เมื่อไปถึงบ้านของเพื่อนฉันก็เปลี่ยนใจ พี่น้องของเพื่อนมีมากมายหลายคน จะกินจะอยู่ก็กระเบียดกระเสียรกันอยู่แล้ว

ฉันมีเพียงชีวิตเดียว ไม่ต้องการจะเอาเปรียบอีกหลายชีวิต

แล้ววันหนึ่ง แม่ก็กลับมา หลังจากหายไปหลายวัน

แต่แม่ไม่ได้กลับมาคนเดียว

มีผู้ชายวัยกลางคนมากับแม่ด้วย แม่บอกสั้น...สั้นว่า

“กูชวนเขามาอยู่เป็นเพื่อน ช่วยกันดูแลบ้าน”

แม่บอกเช่นนั้น แต่มันกลับกลายเป็นว่า ฉันเองต้องดูแลผู้ชายรุ่นพี่ชายแม่ที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ไม่ใช่พี่น้องของแม่หรือไม่เป็นผู้มีพระคุณที่แม่จะต้องมาดูแลกัน

ภาระของฉันจึงต้องเพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่ความเป็นคนไม่มีระเบียบ ตั้งแต่การสูบบุหรี่ทิ้งก้นไว้เกลื่อนบ้าน ไปจนถึงบรรดาขวดเหล้าขวดเบียร์ที่กินแล้วดื่มแล้ว ทิ้งให้เกลื่อนบ้าน

บางครั้งถึงกับออกคำสั่งให้ฉันไปซื้อกาแฟที่ร้านหน้าซอย แย่กว่านั้นที่เขาจะบอกกับฉันว่า

“เองไปเชื่อเขามาก่อน บอกว่าเซ็นบัญชีติดเอาไว้ มีเงินเมื่อไหร่น้าจะไปจ่ายให้”

น้า...ใครเป็นหลานของมัน แต่แม่นั้นล่ะบอกเขาว่า

“มึงต้องฟังเขา เชื่อเขา หรือมึงจะลองดีกับกู”

ผู้ชายคนนี้ นำความเดือดร้อนมาให้กับบ้าน ดูจะไม่แตกต่างอะไรกับไอ้สมพงษ์ ผัวอีกคนหนึ่งของแม่

ดูเขาวางอำนาจบาทใหญ่ แม่เองก็เกรงใจ เหมือนแม่เคยกลัวไอ้สมพงษ์ มันจะเกินเลยอะไรกว่านั้นฉันไม่รู้ แต่สังเกตุว่าคุณท่านค่อย...ค่อยหายหน้าไป

และแม่ก็ไม่เคยเอ่ยถึง

แต่นับวันไอ้น้านอกบ้าน ก็สำแดงฤทธิ์เดชมากขึ้น

ชาที่ฉันชงให้แม่ในตอนเช้า ก็จะต้องชงกาแฟเพิ่มให้อีกถ้วย ปาท่องโก๋เคยซื้อให้แม่คราวละคู่สองคู่ ก็จะต้องซื้อเป็นสิบคู่ เพิ่มไข่ลวกให้มันอีกสองฟอง

ค่ารถเมล์ไปโรงเรียนบางทีแม่ก็ไม่ให้ ตะคอกตอนเช้า...เช้าเมื่อไปขอค่ารถ

“วันนี้มึงไปหาเอาข้างหน้า เพื่อนมึงก็มีไปไถเขาซิ เงินที่กูมีตอนนี้จะต้องเก็บเอาไว้ซื้อบุหรี่ ซื้อหนังสือพิมพ์ให้น้า”

มันไม่เพียงเท่านั้น ค่ากับข้าวที่แม่เคยจ่ายให้ทุกวัน ก็ถูกตัดไป

เจ้าน้าเส็งเคร็งไม่วิตก ไม่มีกับข้าวกับปลากินมันก็สั่งร้านอาหารข้างบ้านลงบัญชีแม่เอาไว้ ชีวิตของมันไม่ต้องรับผิดชอบอะไร

ตื่นขึ้นมาก็มีกาแฟ ปาท่องโก๋ ไข่ลวกวางรอไว้ ตกสาย...สาย ก็นอนสูบบุหรี่ อ่านหนังสือพิมพ์ ตอนเย็นก็นั่งดื่มเบียร์ ดื่มเหล้าจนเมามายแล้วก็เข้านอน

หรือบางวันก็หายหน้าไป กลับมาอีกทีก็ดึกดื่น ตะโกนโหวกเหวกปลุกให้ฉันมาเปิดประตู

บางคืนก็เมาสะเงาะสะแงะ อ้วกแตกอ้วกแตน

บางคืนมีแท็กซี่มาส่ง แต่กลับไล่แท็กซี่โดยไม่จ่ายค่าโดยสาร ยืนทะเลาะกันเสียงลั่นซอยจนชาวบ้านแห่ออกมาดู

เดือดร้อนแม่ต้องลุกขึ้นมาเจรจาต่อรองจนดึกดื่น มันเป็นอย่างนี้แทบทุกคืน

จนถึงคืนหนึ่ง มันกับแม่จับฉันขึ้นโรงพักสน.ดุสิต ด้วยข้อหาทำร้ายร่างกาย

มันก็เป็นความจริงอย่างมันแจ้งกับตำรวจ

เรื่องมีอยู่ว่าคืนนั้น มันก็เมามายมาอีกเช่นเคย คราวนี้มันทะเลาะกับแม่อย่างรุนแรงเมื่อฉันตื่นขึ้นมาดู มันขู่จะทำร้ายแม่

มือหนึ่งมันถือไม้กวาดทำท่าเหมือนว่าจะตีแม่ เมื่อฉันออกไปห้ามมันก็จะเอาไม้สกปรกไล่ฟาดฉันแทน แต่ความเมาของมันทำให้ตีพลาด ไม้กวาดด้ามไม้ขนาดใหญ่ฟาดไปถูกกระจกหน้าต่าง

คราวนี้มันเมามัน ใช้ไม้กวาดตีกระจกหน้าต่างทุกบานในบ้านแตก มันเหลือที่จะทนทาน

ฉันเข้าไปแย่งไม้และเมื่อได้มันมา ฉันก็ช่วยมันตีเหมือนกัน ไม่ใช่ตีกระจกบ้านแต่ฉันใช้ไม้กวาดตีกบาลมันไปหลายครั้ง จนกระทั่งมันคงจะคลายหายเมา

แม่นั้นล่ะวิ่งเข้ามาห้าม เสียงมันขู่อาฆาตว่า

“กูจะเอาตำรวจมาลากคอมึงติดตาราง”

“เออไปเอาตำรวจมาเลย กูจะรออยู่ที่นี่” ฉันบอกโดยไม่สบสายตาของแม่ที่มองดูฉันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

ตำรวจมาตามตัวฉันจริง...จริง

มันไปแจ้งความและตามตำรวจมาถึงบ้าน

ดึกดื่นเที่ยงคืนนั้น ฉันต้องนั่งจับเจ่าอยู่บนสถานีตำรวจดุสิต มันให้การว่าฉันทำร้ายร่างกายด้วยการเอาไม้กวาดตีหัว แม่เป็นพยานว่าฉันทำเช่นนั้นจริง

ฉันไม่เข้าใจแม่ทำไมไม่ปกป้องฉัน?

ไอ้สารเลวคนนี้มันสำคัญอย่างไร แม่จึงเข้าข้างมันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ตำรวจก็ดูเหมือนจะเชื่อคำให้การของมัน เพราะแม่ที่เป็นพยานให้

มันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ฉันคงจะไปโรงเรียนไม่ทัน หรืออาจจะไปโรงเรียนไม่ได้ ถ้าถูกตำรวจควบคุมตัวไว้ด้วยข้อหารทำร้ายร่างกาย

แต่ดึกดื่นคืนนั้น มันได้เกิดความอัศจรรย์ขึ้นมากลางดึก เมื่อเจ็กหาบบะหมี่เกี๊ยวขึ้นมาโรงพัก ทันทีที่อาแป๊ะเห็นตะโกนให้ลั่นโรงพัก

“เอ๊า! ไอ้ตัวดี มึงถูกตำรวจจับมาแล้วหรือนี่”

เรื่องก็เลยกลายเป็นว่า อาแป๊ะขายบะหมี่เกี๊ยวบอกกับตำรวจว่า

“ไอ้คนนี้มันขี้เมา กินบะหมี่อั๊วแล้วไม่จ่ายตังค์ เคยไล่ชกอั๊ว หมาต๋าถ้าไม่เชื่อไปถามคนในซอยมิตรอนันต์ดูได้ มันทะเลาะกับเขาไปหมด” คำบอกเล่าของเจ๊กบะหมี่เกี๊ยวกลางคืนทำให้รูปคดีเปลี่ยนไป

ตำรวจเริ่มสอบปากคำใหม่ ตั้งแต่พิสูจน์บาดเจ็บที่มันอ้างว่าถูกฉันตีด้วยไม้กวาดจนหัวร้างข้างแตก

ตำรวจขอร้องให้มันเปิดผ้าพันแผลที่พันอยู่บนหัว หลังจากที่มันอิดออดอยู่จนตำรวจต้องขู่ มันจึงค่อย...ค่อยคลี่ผ้ากลอสพันแผลที่มีสีแดงซึมไปทั่วผ้าแต่แก้ออกมาก็ไม่มีบาดแผลอะไร สีแดงที่เห็นก็คือยาแดงที่มันทาผ้าไว้ ให้ดูเหมือนกับเป็นสีเลือดไหล

“อ๊าว !! แล้วทำไมคุณถึงแจ้งความว่าเด็กเอาไม้กวาดตีคุณจนหัวแตก ดูแล้วแผลสักนิดก็ไม่มี” ตำรวจสำทับ

แม่นั่นล่ะเป็นคนยุติคดีความ ด้วยการบอกกับตำรวจขอยุติคำแจ้งความกล่าวหาเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของคนในบ้าน ตกลงกันได้

คืนนั้นกว่าฉันจะได้กลับบ้านก็เกือบจะสว่าง ระหว่างที่แม่นั่งรถแท็กซี่พามันกลับบ้าน ฉันต้องเดินจากโรงพักกลับมาอย่างสะโหล่สะเหล่แทบจะหมดเรี่ยวแรงเดิน

เรื่องไม่จบลงเพียงเท่านั้น

เมื่อกลับมาถึงบ้านแม่อาละวาดใหญ่โต

“ไปมึงออกจากบ้านกูไป กูเลี้ยงมึงไม่ได้ ไอ้เด็กกุ๊ยข้างถนนทำความเดือดร้อนมาให้ครอบครัวกู”

แล้วคราวนี้ฉันจะบากหน้าไปหาใคร บ้านคลองบางหลวงของย่า หรือบ้านอาคารสงเคราะห์ห้วยขวางของเจ๊อิ้ง

เวลามันผ่านไปหลายปี ตอนที่ออกจากบ้านย่า ฉันอายุได้สิบขวบ แต่ตอนนี้ฉันเริ่มจะเป็นผู้ใหญ่ และที่สำคัญฉันยังเรียนหนังสืออยู่ในระดับมัธยม

ความหวังของฉันก็คือฉันจะต้องเรียนหนังสือให้สำเร็จไว...ไว เพื่อจะได้ออกมาหางานทำเลี้ยงตัวเอง

ฉันตัดสินใจเข้าไปต่อรองกับแม่ ว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่สร้างปัญหาอีก

“ได้แต่มึงต้องให้กูตีหัวกกบาลมึง ขอเห็นเลือดชั่วมึงสักหน่อย”

จะเป็นไรไป ถ้าจะถูกแม่ตีอีกเพราะฉันเคยถูกตีมาบ่อยครั้ง จนเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งที่ถูกตี ถูกโบย ถูกจับแก้ผ้าประจาน

แม่ตีฉันจนหนำใจ เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยไม้ที่ฟาด แม่คลุ้มคลั่งคล้ายคนบ้า ยิ่งเห็นเลือดยิ่งกระหน่ำแรงขึ้นอีก

วันนั้นฉันไม่ได้ไปโรงเรียน และคืนนั้นก็ไม่ได้นอนบ้านเพราะแม่ออกคำสั่งเผด็จการเมื่อตอนหัวค่ำว่า

“กูคิดแล้วจะไม่เลี้ยงมึงให้เปลืองข้าวสุกต่อไป”

แม่สั่งให้ฉันออกจากบ้านไปคืนนั้น

“มึงจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป ข้างถนนมึงก็เคยนอนมาแล้ว”

ฉันรู้อารมณ์ของแม่ดี แม่พูดอะไรเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอ้อนวอน ขอร้องหรือต่อรอง สิ่งที่ฉันต้องทำก็คือต้องรีบออกจากบ้านตามคำสั่งคำบัญชา

คนที่เห็นใจฉันก็คงจะเป็นคนใช้จากโคราช ที่เดินมาส่งถึงหน้าประตูบ้านแล้วกระซิบบอกฉันว่า

“คุณออกไปก่อนเถิด ไปอยู่ที่ไหนก็ได้สักพัก ไว้รอให้คุณผู้หญิงหายโกรธแล้วค่อยกลับมา”

คืนนั้น...เป็นคืนของเดือนพฤศจิกายน กรุงเทพเมื่อหกสิบกว่าปีที่ผ่านมาอากาศเริ่มหนาว

ความหนาวไม่ใช่ปัญหา แต่คืนนั้นจะนอนที่ไหนเป็นเรื่องที่ฉันคิดไม่ออก

ฉันเดินเรื่อย...เรื่อยจากบ้านแม่ ซอยมิตรอนันต์ เดินไปตามเส้นทางที่เคยเดินกลับบ้านจากโรงเรียนเชิงสะพานพุทธยอดฟ้า

ผ่านถนนสุโขทัย มองเห็นโรงเรียนวชิราวุธที่สวยสง่าริมคลองเปรมประชา

ผ่านสวนสัตว์ดุสิต ไปจนถึงบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า

มันดึกมากแล้ว ฉันทั้งหิว ทั้งเหนื่อยอ่อน และก็ง่วงนอนมองเห็นคนนอนตามสนามหญ้าบริเวณหน้าพระที่นั่งอัมพรสถาน

ฉันเลือกมุมหนึ่งของประตูเข้าพระที่นั่นอนันตสมาคม ในซอยแคบของซุ้มประตูคงจะพอให้ฉันซุกหนีความหนาวได้บ้าง เพราะเสื้อนักเรียนบาง ๆ ไม่ได้ช่วยให้ฉันอบอุ่นได้

ในขณะที่ฉันนั่งหนาวสั่น ก็มีผู้ชายคนหนึ่งที่นอนหนาวอยู่กับพื้นหญ้าเดินเข้ามาแล้วยื่นกระดาษหนังสือพิมพ์ปึกหนึ่งให้

“เอาหนังสือพิมพ์ห่มซะไอ้หนู ถึงมันจะไม่อบอุ่นเหมือนผ้าผวยผ้าห่ม แต่มันก็ยังดีกว่าที่เองจะมานั่งหนาวสั่นแบบนี้” เขาบอกฉัน

“แล้วน้าไม่เก็บหนังสือพิมพ์เอาไว้ห่มล่ะ หรือว่าน้าไม่หนาว” เมื่อฉันถามเขาตอบด้วยเสียงหนักแน่นว่า

“ทำไมข้าจะไม่หนาว ข้าก็หนาวเหมือนเองนั้นล่ะ แต่ข้าหนาวอย่างนี้เสียจนเคยชินแล้ว ส่วนเองคงจะหนีออกจากบ้านมา เพิ่งจะมาเจอหนาวครั้งแรก เอาห่มกระดาษพิมพ์เอาไว้ พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้าน”

....กลับบ้าน ฉันมีบ้านให้ได้กลับหรือ ฉันอยากจะบอกกับคนจรหมอนหมิ่นคนข้างถนน คนแปลกหน้าที่ฉันไม่รู้จัก

...แต่ความรู้สึกตอนนั้น มันตื้นตันจนฉันอยากจะหัวเราะออกมาเย้ยหยันกับชะตากรรมของตัวเอง...

Text : สันติ เศวตวิมล

โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย ตอนที่ ๑๖ คืนนั้นและอีกหลาย...หลายคืน โดย สันติ เศวตวิมล