ภราดร ศรีชาพันธ์
ซูเปอร์บอล อดีตนักเทนนิสมือวางอันดับ 9 ของโลก นักเทนนิสชื่อดังระดับตำนานของไทย และเป็นนักเทนนิสชายชาวเอเชียผู้ที่มีอันดับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังประกาศแขวนแร็กเกตอำลาอาชีพนักเทนนิสอย่างเป็นทางการ เขาผันตัวเองไปเล่นกีฬากอล์ฟจนถึงปัจจุบัน แต่จากการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ทำให้เรารู้ว่าเขากำลังจะกลับมาจับแร็กเกตอีกครั้ง!
อะไรทำให้หลงรักกีฬาเทนนิส?
“ต้องบอกว่าครอบครัวมีส่วนในการผลักดันอย่างมากครับ เริ่มจากคุณพ่อของผมท่านชื่นชอบกีฬาชนิดนี้ จึงให้พี่ชายทั้งสองคนหัดเล่นก่อน คือผมได้ซึมซับเทนนิสมาตั้งแต่เด็ก ต้องบอกว่าคุณพ่อท่านมองการณ์ไกลเล็งเห็นว่ากีฬาจะช่วยให้ลูก ๆ ได้เข้าเรียนสถาบันชื่อดังในโควต้านักกีฬาช้างเผือก ผมซึ่งเป็นลูกชายคนสุดท้องได้ตามไปดูพี่ชายแข่งขันบ่อย ๆ จำได้ว่า 3-4 ขวบ ก็ได้จับไม้แล้วนะ จุดเริ่มต้นที่ทำให้รักเทนนิสคือครอบครัวครับ”
เล่นเทนนิสตั้งแต่เด็ก ฐานะที่บ้านตอนนั้นเป็นอย่างไร?
“ฐานะปานกลางครับ คุณแม่เป็นครู คุณพ่อเป็นผู้จัดการโรงงานสับปะรดกระป๋อง เมื่อ 30 กว่าปีก่อน กีฬาเทนนิสของบ้านเรายังไม่มีใครคาดคิดว่าจะเล่นเป็นอาชีพได้นะครับ คุณพ่อมองค่อนข้างไกลว่ากีฬาชนิดนี้สามารถสร้างรายได้ในอนาคตได้ เพราะท่านได้ไปชมการแข่งขันบางกอกโอเพ่น ซี่งมีนักเทนนิสชื่อดังระดับโลกอย่าง จิมมี คอนเนอร์ส และจอห์น แม็กเอนโร มาแข่งที่อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก ทำให้ท่านเกิดไอเดียว่ากีฬาชนิดนี้น่าจะสร้างรายได้ในการเป็นนักกีฬาเทนนิส หรือแม้จะไม่ประสบความสำเร็จก็ยังสามารถเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัยได้”
ช่วงซ้อมหนัก ๆ นี่หนักขนาดไหน?
“หนักมากครับ คือซ้อมทั้งวัน ผมว่านักกีฬาเทนนิสหรือกีฬาชนิดอื่นจะเป็นเหมือนกัน คือต้องซ้อมให้มาก ต้องใช้แรงเยอะครับ ต้องอยู่กลางแดด ต้องวิ่ง ต้องใช้พลัง คำว่าซ้อมหนักบางคนอาจไม่เห็นภาพ คือหลังจากเรียนจบชั้น ปวช. ผมก็พักการเรียนเพื่อซ้อมเทนนิสเป็นหลักเลยครับ คือตั้งใจจะเทิร์นโปรเล่นอาชีพแล้วค่อยกลับไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แต่อาจด้วยโชคดีบวกกับความตั้งใจ แรงผลักดัน และเป้าหมายที่เราตั้งไว้ ทำให้ก้าวไปได้ไกลเกินกว่าเป้าหมายที่หวังไว้ตอนแรกอีกครับ”
การแข่งระดับชาติครั้งแรก?
“ตอนอายุ 14 ปี ผมได้เป็นเยาวชนทีมชาติในรุ่นนั้น ได้ติดธงชาติรับใช้ทีมชาติไทย จนมาเล่นทีมชาติไทยในระดับซีเกมส์ที่ประเทศอินโดนีเซีย จังหวะและฝีมือในช่วงนั้นก็ถือว่าดี ได้เหรียญทองในการแข่งขัน จากนั้นจึงได้เล่นทีมชาติชุดใหญ่ เล่นถ้วยเดวิสคัพเกือบทุกครั้ง เอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ได้แข่งโอลิมปิกอีกสองครั้ง ไล่เป็นสเต็ปมาเรื่อย ๆ ก็มีการติดอันดับโลกบางปีขึ้น บางปีคงที่ บางปีอาจตกชั้น เป็นวัฏจักรของการสะสมคะแนนครับ มีช่วง 5 ปีที่พีคมาก จากมือวางอันดับที่ 125 สามารถขึ้นมาถึงอันดับที่ 16 แล้วก็พัฒนาตนเองจนทำได้สูงสุดที่อันดับ 9 ของโลก”
เมื่อประสบความสำเร็จระดับมหึมาในช่วงนั้นชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไร?
“การใช้ชีวิตไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่ครับ แต่เมื่อโลกของเทนนิสพาไปทำให้เราโด่งดังมีคนรู้จักมากขึ้นทั้งในวงการเทนนิสและวงการอื่น ๆ พอมีชื่อเสียงก็มีความเป็นส่วนตัวน้อยลง มีผลิตภัณฑ์มากมายที่จ้างเราเป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือมาเป็นสปอนเซอร์ให้ทั้งของไทยและเมืองนอก ซึ่งตอนนี้ก็ไม่มีแล้วครับ แต่ยังเหลือสปอนเซอร์ที่สนับสนุนผมในการเล่นกอล์ฟปัจจุบันบ้าง”
ปัจจุบันยังเล่นเทนนิสอยู่ไหม?
“เล่นบ้าง แต่ไม่เยอะ นี่เพิ่งกลับมาจับในรอบสิบปีเลยครับ เพราะกีฬาเทนนิสต้องใช้แรงมาก นักกีฬาส่วนใหญ่จะแขวนไม้ช่วงประมาณอายุ 30 ของผมแขวนไปเมื่อปี 2007 หลังจากนั้นก็เล่นกอล์ฟมาตลอด จนได้เทิร์นโปรในที่สุด แต่ตอนนี้กลับมาจับแร็กเกตบ่อยขึ้น เพราะผมมีเป็นโค้ชให้น้อง ๆ บ้าง หลังจากนี้ก็คงจะได้เห็นภาพของภราดรมาทำโรงเรียนสอนเทนนิสครับ คิดว่าประสบการณ์ทั้งหมดของผมในกีฬาเทนนิสน่าจะเป็นประโยชน์กับน้อง ๆ เยาวชนครับ”
รู้จักกับคุณสมเล็ก ศักดิกุล ได้อย่างไร?
“ต้องบอกว่ารู้จักจากการที่แกมาพากย์กีฬาเทนนิสครับ พี่สมเล็กมีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน ทั้งในการแสดงและการพากย์เทนนิส มารู้ว่าแกเล่นเทนนิสทีหลังครับ เวลาแกพากย์แม้จะไม่ได้ดูภาพจากทีวีก็ยังรู้สึกว่าน่าติดตาม มีลีลาที่ชัดเจน พากย์สนุก น่าฟัง ผมว่าหลาย ๆ คนก็ชอบเขานะ ผมได้เจอกับพี่สมเล็กตามงานอีเว้นท์บ่อย ๆ ผมติดตามผลงานพี่สมเล็กเรื่อย ๆ ครับ”
Know Him
• เขาเริ่มเล่นเทนนิสในระดับอาชีพเมื่อปี พ.ศ.2540 และในรายการเอทีพี ปี พ.ศ.2541
• ปี พ.ศ.2545 สามารถเป็นขึ้นมือวาง 30 อันดับแรก
• ภายหลังจากสามารถเอาชนะ อังเดร อากัสซี ในรายการวิมเบิลดัน ก็ขยับขึ้นเป็นอันดับ 9 ของโลกในปี พ.ศ.2546