Following Your Dreams เมธาวี อ่างทอง

Following Your Dreams เมธาวี อ่างทอง

ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเรียนรู้ คือคำกล่าวที่บอกภาพรวมของเราในวันนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะเรามีบุคคลที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านการเรียน ธุรกิจ และผลงานดีไซเนอร์ ด้านการออกแบบเสื้อผ้าเป็นที่ยอมรับในระดับโลก  

จากความชื่นชอบเกิดเป็นแรงผลักดันให้ร่ำเรียนในสถาบันการออกแบบและดีไซน์หลากหลายสถาบัน จนในที่สุดเธอก็คว้าปริญญาโทในวัย 60 ปี เรียกได้ว่าอายุและวัยไม่ได้จำกัด การแสวงหาความรู้ของเธอแม้แต่น้อย และเธอยังเป็นบุคคลต้นแบบในการร่ำเรียนเพื่อไปต่อยอดและพัฒนาธุรกิจจนประสบผลสำเร็จ

“ตอนแรกพี่รับราชการสังกัดกระทรวงศึกษาธิการด้วยวุฒิ ปวส. ทางด้านบัญชี แต่เมื่อปี 2529 ก็ได้เริ่มทำเสื้อผ้าเด็กแล้ว ตอนนั้นรับราชการมา 5 ปี กระทั่งปีที่ 5 เลยออกมาทำเสื้อผ้าเด็กอย่างเต็มตัว ทีแรกกะว่าจะทำทั้ง 2 อย่างควบคู่กันแต่มันไม่ไหว เพราะต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อเดินทางไปให้ทันเข้างานตอน 8 โมงเช้าที่เทคนิคสุพรรณบุรี 

“ในช่วงแรกการตอบรับดีมาก เป็นที่ฮือฮาของตลาด ช่วงนั้นเป็นยุคทองของการส่งออกไปตะวันออกกลาง อย่างประเทศซาอุดิอาระเบีย พอออเดอร์เริ่มเยอะขึ้นก็เลยลาออกมาทำงานเสื้อผ้าอย่างเต็มตัว พี่ทำเสื้อผ้าเด็กมาประมาณ 30 ปีแล้ว เพิ่งจะมาเลิกทำเมื่อ 3 ปีที่แล้วเหมือนมันจะเป็นจุดอิ่มตัวของเสื้อผ้าเด็ก ตอนนั้นทำส่งออกอย่างเดียวนะ จนเกิดวิกฤตปัญหารัสเซีย-ยูเครน ขึ้น ลูกค้าก็เริ่มมีปัญหาทางด้านการเงิน ก็เลยเป็นสาเหตุให้ต้องทบทวนใหม่

“เมื่อก่อนมีลูกน้องในโรงงานกว่า 100 คน และนอกโรงงานอีก 100 กว่าคน ตอนนั้นธุรกิจส่งออกเริ่มชะลอตัวแล้ว เราก็เริ่มแบกรับภาระไม่ไหว ลูกน้องก็เริ่มทยอยออก แต่ก็ยังมีบางส่วนที่เขายังอยู่กับเรา เราก็คิดว่าจะทำอย่างไรดีให้ที่เหลืออยู่รอดไปพร้อมกับเรา ก็เลยทำสต็อกเสื้อผ้าไว้เกือบ 2 ปี โดยที่ขายไม่ได้เลย ในที่สุดลูกน้องที่เหลืออยู่ก็ออกเกินครึ่ง จากนั้นจึงเกิดไอเดียว่าจะลองทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ คือเราเป็นคนชอบแต่งตัว ชอบแต่งตัวแปลก ๆ ชอบเสื้อผ้าสีขาวดำ ปกติก็จะทำใส่เองอยู่แล้ว เลยคุยกันกับแฟนว่าเราลองทำดูไหม ทำไปเสนอขายที่ห้างสรรพสินค้าในประเทศดู 

“เริ่มแรกเราทำ 2 แบรนด์ก่อน แบรนด์แรกแนวธรรมชาติ เอิร์ทโทน แนวแฮนด์เมดอีกแบรนด์ก็แนวขาว-ดำ แล้วก็ไปเสนอห้างกับห้างอิเซตันซึ่งเป็นของญี่ปุ่นพร้อมกันทั้ง 2 แบรนด์ จุดประสงค์หลักคือเขาเป็นญี่ปุ่น ปรากฏว่าที่ญี่ปุ่นแนวขาว-ดำ มีเยอะแล้ว เขาจึงเลือกให้พื้นที่ทดลองขายโดยเลือกแนวธรรมชาติเอิร์ทโทน, แฮนด์เมด เพราะมันโดนกว่า มันถูกจริตของเขากว่า ปรากฏว่าผลลัพธ์ออกมาดีเกินคาด เมื่อขายมาสักพักทางห้างเขาจำได้ว่าเรามีแบรนด์ Black Sugar อยู่ เลยให้มาทดลองขายโดยจัดหลากหลายโปรโมชั่น ปรากฏว่า ขายดีอีกแล้ว! เขาก็เลยให้ที่ประจำ จนตอนนี้ก็มีอยู่ตามห้างต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ อีก 7 สาขา

“ในวัยเด็กจะชอบวาดรูป เล่นตุ๊กตาเย็บใส่เสื้อผ้า จนมาเรียนด้านการเงินการธนาคาร คือเราไม่มีโอกาสที่จะเรียนเหมือนคนปกติทั่วไปต้องไปเรียนภาคค่ำ ตอนกลางวันเราก็ไปทำงานหาเงิน แต่ก็ต้องอดทนเรียนจนได้วุฒิมา ก็คิดว่า
สิ่งที่จะทำให้เรามั่นคงก็คือการรับราชการ เพราะฉะนั้นก็เป็นคามหวังของครอบครัวเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ เลยไปสอบ กพ. จนได้รับราชการ 

“แต่พอทำไม่นานก็รู้สึกไม่ใช่หนทางของเรา เลยตัดสินใจลาออกจากราชการมาเดินตามความฝันใหม่ เรียนในสิ่งที่ตอนเด็กเราอยากเรียนแต่ไม่ได้เรียน เริ่มแรกเลยเรียนที่ แดง ดีไซน์ เป็นโรงเรียนเกี่ยวกับการสอนออกแบบแฟชั่นและดีไซน์ จากนั้นก็เรียนตัดเสื้อที่รพี และเรียนต่อแพทเทิร์นชั้นสูงที่โรงเรียนปกรณ์ แล้วก็มาเรียนออกแบบที่โรงเรียนออกแบบ ชนาพัฒน์ นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการศึกษาต่อปริญญาตรีของพี่ที่ ม.ศิลปากร เกี่ยวกับการออกแบบแฟชั่น และก็จบปริญญาโท ด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสิ่งทอและการจัดการสินค้าแฟชั่นที่ ม.เกษตรศาสตร์ มันเหมือนกับว่าเราเรียนเพื่อทดแทนสิ่งที่ตอนเด็ก ๆ เราไม่ได้เรียน ส่วนการเรียนร่วมกันกับเด็กนั้นมันไม่เป็นอุปสรรคกับเราเลย เด็กเขาก็เข้าใจเราและเข้ากันได้ดี จากเป็นเพื่อนลูกก็ไปเป็นเพื่อนแม่ของเขาอีก 

“ผลงานที่คิดว่าเป็นระดับ Masterpiece ของพี่ก็คือ ได้ไปร่วมงาน BIFF&BIL กับ ดร.อโนทัย ชลชาติภิญโญ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งทอจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในงานนั้นเจ้าของเวียนนา แฟชั่นวีค เขามาเดินดูงานเขาเห็นแบรนด์ของเราแล้วชอบ ก็เลยมาเชิญ Black Sugar ไปร่วมงาน MQ Vienna Fashion Week ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย นั่นแหละก็ถือว่าเป็นการโกอินเตอร์ครั้งแรกของแบรนด์ Black Sugar และตอนนี้ก็มีส่งออกนอกบ้าง มาเลเซีย อินโดนิเชีย ไต้หวัน และเกาหลีกำลังจะเปิดเป็นช็อป Black Sugar เลยนะ ไม่ใช่เอาไปร่วมในร้านเขากับยี่ห้ออื่น ซึ่งปกติเราจะไปซื้อเสื้อผ้าเกาหลีมาใส่ เราก็ตกใจว่ามันจริงหรอที่เกาหลีจะมาซื้อเสื้อผ้าเราไปใส่ เพราะว่าเสื้อผ้าที่พี่ออกแบบมันไม่ใช่สิ่งที่เป็นแฟชั่นนิยมในกระแส 

“คำว่าแฟชั่นในความคิดของพี่คือ มันจะตรงข้ามกับสิ่งที่อยู่ในกระแส เหมือนเสื้อแนวของพี่มันไม่ได้เป็นเสื้อผ้าในกระแส ทันสมัยหรือล้าสมัยก็ไม่ใช่ เพราะมันไม่ได้ตามกระแส มันมีเอกลักษณ์ของมันอยู่แล้ว ทันสมัยหรือเชย ใส่เมื่อไหร่ก็ได้ 

“อยากจะฝากถึงคนที่กำลังวิ่งตามความฝันอยู่ว่า ถ้าเราไม่ลองก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าโอกาสมันเป็นยังไง ถ้าวันนั้นพี่ไม่กล้าก้าวออกมา พี่ก็คงเป็นแค่ข้าราชการแก่ ๆ ที่นั่งรอวันเกษียณ เพราะตอนนี้อายุ 60 ปี วัยจะเกษียณอยู่แล้ว ให้กล้าที่จะก้าวออกมา กล้าที่จะเดินตามความฝันของเราขอให้ตัวอย่างของพี่ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับหลาย ๆ คนที่ไม่กล้าจะเริ่มต้นทำตามฝัน”

ถ้าคุณกล้าที่จะวิ่งตามความฝัน คุณก็จะประสบความสำเร็จ