PanPan Temfah Krisanayuth
ปันปัน เต็มฟ้า กฤษณายุธ
คุณถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถหลายด้านมาก?
ต้องบอกว่าเป็นเด็กกิจกรรมมากกว่าค่ะ อย่างตอนเด็ก ๆ คุณแม่ก็จะสนับสนุนให้ทำกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งว่ายน้ำ เล่นเทนนิส เต้นบัลเลต์ และคอยสังเกตว่าเราทำอะไรได้ดี อย่างยิมนาสติกและบัลเลต์ คุณแม่ก็จะเห็นแววมากกว่าอย่างอื่น เลยให้เรามุ่งทางด้านนี้ ส่วนเรื่องร้องเพลงก็เป็นความชอบเพราะเห็นคุณแม่ร้องเพลงตั้งแต่เด็ก และอีกเรื่องที่หลงรักคือการแสดง จริง ๆ คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรนะคะ แต่โดยส่วนตัวปันปันจะเป็นคนตั้งใจโดยพื้นฐานอยู่แล้ว อยากให้คุณพ่อคุณแม่ภูมิใจ เราเลยเต็มที่กับทุกอย่างที่ทำ
งานในวงการตอนนี้คุณมีอะไรบ้าง?
ตอนนี้ปันปันถือเป็นนักแสดงอิสระค่ะ แต่เนื่องจากเรียนปีสี่แล้ว ใกล้จะจบและกำลังฝึกงานอยู่ เลยขอโฟกัสไปที่การเรียนก่อน งานละครเลยยังไม่ได้รับ แต่อีเวนท์ เดินแบบ ถ่ายแบบทั่วไปก็มีค่ะ และยังมีงานร้องเพลงกับคุณแม่อยู่บ้าง งานในวงการก็ยังไม่ทิ้งแน่นอนค่ะ เพียงแต่ขอทำหน้าที่ในการเรียนให้เต็มที่ก่อน
ตอนนี้คุณเรียนที่ไหน คณะอะไร?
ปันปันเรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยค่ะ ซึ่งตอนนี้ก็ฝึกงานอยู่ที่องค์การสหประชาชาติ (UN) คือมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ปันปันได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนที่สหรัฐอเมริกา เลยรู้สึกว่าถ้าเราอยากจะเรียนต่อปริญญาโทหรือทำงานด้านที่เราเรียนมา เราต้องฝึกงาน เลยมาบอกคุณแม่ว่าเราจะเริ่มฝึกงานแล้วนะ คุณแม่ก็เห็นด้วยเลยอาจเบรกงานในวงการไปก่อนสักระยะหนึ่งค่ะ
เท่าที่ได้คุยกับคุณ จะเห็นว่าคุณเป็นคนที่มีความมั่นใจมาก?
จริง ๆ ตอนเด็กก็ไม่ได้มั่นใจนะ เป็นเด็กติดแม่มากกว่า มีอะไรก็จะถามคุณแม่ก่อน แต่พอโตขึ้นก็เริ่มตัดสินใจเอง ได้ทำงานได้เจอผู้คน และได้เรียนรู้ว่าต้องวางตัวยังไง พูดคุยกับผู้ใหญ่ยังไง ได้เรียนรู้การทำงาน ความมั่นใจก็เพิ่มมากขึ้น และเป็นไปได้ว่า เพราะทางครอบครัวสนับสนุนทุกอย่างที่ทำ แม้ผิดเขาก็ไม่ได้ต่อว่าหรือซ้ำเติมแต่จะคอยให้กำลังใจ เราเลยกล้าคิดและกล้าทำค่ะ
ความหมายของคำว่าครอบครัวสำหรับคุณ?
สำหรับปันปัน คำว่าครอบครัวแปลว่าทุกอย่าง มันคือความรักที่แท้จริง อย่างคุณพ่อ คุณแม่ หรือปันปัน ไม่ว่าเราจะทะเลาะกันยังไง แต่เราก็ยังรักกัน ไม่เหมือนกับความรักแบบหนุ่มสาว ที่หากเรารับในตัวเขาไม่ได้ ก็ต้องแยกทางกัน แต่คุณพ่อ คุณแม่ต่อให้ยังไงเขาก็ยังรักเรา
ช่วงเดือนที่ผ่านมา มีข่าวคุณกับหนุ่มรู้ใจคนใหม่?
เราเจอกันที่อเมริกาตอนปันปันไปแลกเปลี่ยน เรียนคลาสเดียวกัน คือเขาเป็นเด็กไทยที่ไปเรียนและโตที่เมืองนอก เขาเหมือนเป็นเพื่อน เป็นพี่ และที่ปรึกษาทางด้านการเรียน เป็นคนดีไม่ได้เที่ยวเตร่และตั้งใจเรียนมาก ซึ่งเหมือนปันปันเพราะเราก็เป็นคนตั้งใจเรียน คุณแม่ก็ทราบค่ะ เพราะคุณแม่เคยไปเยี่ยมปันปันที่ซานฟรานซิสโก เราก็พาเขามาทานข้าวด้วย ตอนนั้นแม่ก็แค่สงสัยว่า ทำไมดูสนิทกับเพื่อนคนนี้เป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร หลัง ๆ ก็พามาเรื่อย ๆ (ยิ้ม) ถือว่าคบกันในสายตาของผู้ใหญ่ตลอดค่ะ
สุดท้ายนี้คุณมีอะไรอยากบอกแฟน ๆ ที่คอยติดตามคุณมาโดยตลอด?
ก็ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ที่ให้กำลังใจปันปันมาตลอด หลายคนก็บ่นคิดถึงว่าเราหายไปไหน ก็ขอทำหน้าที่การเรียนให้เต็มที่ก่อน ส่วนปกนิตยสาร MiX ฉบับนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจมาก หลายครั้งที่ปันปันเห็น MiX ตามแผงและเห็นดาราดังหลายท่านขึ้นปก ก็รู้สึกชื่นชม แต่พอได้รับการติดต่อก็ดีใจและภูมิใจมากค่ะ ก็ฝากพวกเราทั้งสามคนด้วยนะคะ
ลูกหนุน ศุภรา วงษ์กระจ่าง
เราไม่ค่อยเห็นคุณทำงานหรือสัมผัสวงการบันเทิงซักเท่าไหร่ ครั้งนี้ถือเป็นการถ่ายแบบเต็มตัวครั้งแรกเลยรึเปล่า?
ใช่ค่ะ ปกติก็จะถ่ายกับน้องหนัง หรือกับครอบครัวบ้าง แต่ถ่ายเดี่ยวในสไตล์แบบนี้ก็ถือเป็นครั้งแรกเลยค่ะ ก็ตื่นเต้นมากและดีใจมากเช่นกันที่ได้มาเจอปันปันกับหยดน้ำอีกครั้ง คือเราเคยเจอกันเมื่อสามสี่ปีที่แล้ว วันนี้กลับมาร่วมงานกันอีกก็ดีใจมาก สำหรับหนุนชุดแรก ๆ ก็เกร็งนะคะ ต้องโพสต์ท่าหรือทำหน้าเซ็กซี่ด้วย ซึ่งเราก็ยังไม่เคย (ยิ้ม) แต่พอถ่ายไปสักพักก็สนุกมากค่ะ ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากของหนุนเลย
ตอนนี้คุณเรียนด้าน Musical theater?
ใช่ค่ะ เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ชั้นปีที่ 2 ที่เลือกเรียนคณะนี้เป็นเพราะหนุนชอบการร้องเพลง เล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็ก และเป็นไปได้ว่า ชอบตามคุณพ่อไปดูละครเวที ไม่ว่าจะเป็นที่คุณพ่อเล่นเองหรือในฐานะคนดู เลยค่อย ๆ ซึมซับมา
คุณบอกว่าค่อนข้างขี้อาย แต่ทำไมเลือกเรียนทางด้านนี้?
ตอนนี้ก็ยังขี้อายอยู่นะคะ แต่เป็นเพราะเราชอบในการแสดง ตอนเล็ก ๆ ขี้อายมาก จนคุณแม่จับให้ไปเรียนการแสดงเพิ่มเติม แต่พอได้แสดง ทำให้เรารู้ว่า เราก็มีศักยภาพและมันก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นหลงรักการแสดงไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าในอนาคตมีคนมอบโอกาสทางการแสดงหรืองานในวงการให้เรา ก็ยินดีค่ะ ถือเป็นโอกาสและประสบการณ์ที่ดี
บุคลิกภายนอกคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณค่อนข้างจะต่างกัน สำหรับคุณใครใจดีกว่ากัน?
ใจดีทั้งคู่ค่ะ คุณพ่อคุณแม่จะดุในเวลาที่จำเป็น แต่แม่ก็จะเป็นเหมือนเพื่อนมากกว่า เวลาเที่ยว ไปช้อปปิ้งก็จะไปกับคุณแม่ แต่จริง ๆ สนิททั้งคู่ค่ะ ตอนเด็ก ๆ เขาก็จะสลับกัน ใครที่งานยุ่งก็จะให้อีกคนไปส่ง ไปเที่ยวเป็นเพื่อนลูก แต่คุณพ่อจะค่อนข้างซีเรียสเรื่องเวลา เช่นบอกจะกลับบ้านห้าทุ่ม ก็ต้องห้าทุ่ม ไม่งั้นก็ต้องคุยกันว่าทำไมไม่เป็นตามที่ตกลง เรื่องนี้น้องหนังจะโดนบ่อยกว่าหนุนค่ะ (หัวเราะ)
ในความเป็นฝาแฝด คุณมีอะไรที่ต่างจากน้องสาวบ้าง?
ลูกหนัง (ศีตลา วงษ์กระจ่าง) จะมั่นใจกว่า เขาจะเปรี้ยวกว่า แฮงค์เอาท์กับเพื่อนหลายกลุ่มกว่า ตัวหนุนจะเงียบกว่า แต่ถ้ารู้จักหรือสนิทก็จะพูดเยอะ
ครอบครัวคุณถือว่าสนิทกันแค่ไหน?
สนิทกันมากนะคะ อย่างที่บอกคุณแม่ก็จะเป็นเหมือนทั้งแม่ ทั้งเพื่อน พี่สาว เวลามีอะไรจะเล่าให้แม่ฟังตลอด เวลาเครียดก็จะระบายกับคุณแม่ (ยิ้ม) เพราะแม่คอยบอกว่า จะยังไงแม่ก็รักลูกที่สุด หรือเราพยายามจะแพลนไปเที่ยวกันทุกปี แต่ตอนนี้ค่อนข้างยากเพราะน้องก็เรียนอยู่ต่างประเทศ คุณพ่อคุณแม่ก็ค่อนข้างยุ่งแต่พยายามวางแผนค่ะ อย่างน้อยในประเทศก็ยังดี
หยดน้ำ นัดดาภรณ์ นิวาตวงศ์
ทราบมาว่าคุณเป็นถึงผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัย?
ใช่ค่ะ หยดน้ำทำกิจกรรมเป็นเชียร์ลีดเดอร์ตลอด ตั้งแต่อยู่มัธยมที่โรงเรียนมาแตร์เดอี พอมาอยู่จุฬา ได้มาคัดตัว ก็ผ่านมาได้ ตอนแรกที่เข้ามหาวิทยาลัย ตั้งใจว่าจะไม่เป็นแล้ว เพราะเหนื่อยมาก แต่คุณแม่ก็จะสนับสนุนเพราะตอนที่คุณแม่เรียนที่จุฬา ก็เคยได้เป็นลีด แต่คุณแม่ติดละครเวทีเลยไม่ได้เป็นต่อ เลยเชียร์ให้ลูกเป็นแทนค่ะ
ช่วงที่ผ่านมา ชื่อของคุณถูกเอ่ยถึงในโลกโซเชี่ยลพอสมควร?
ทราบจากเพื่อน ๆ มาบ้างค่ะ ตอนแรกก็งง ๆ นะคะ (ยิ้ม) แต่พอคนเริ่มรู้จักมากขึ้น ก็ต้องระวังในเรื่องของการวางตัว เพราะเขารู้จักหยดน้ำในฐานะที่เป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ เราก็ต้องวางตัวให้เหมาะสมค่ะ
ความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับ MiX Magazine?
สนุกและตื่นเต้นมาก พอคุณแม่เล่าถึงคอนเซ็ปต์การถ่ายแบบ และบอกว่าจะมีพี่ปันปันกับพี่หนุนถ่ายด้วย เราก็ยิ่งตื่นเต้น เพราะส่วนตัวสนิทและเคยร่วมงานกับพี่ ๆ มาก่อนแล้ว ก็บอกคุณแม่ให้รับเลยค่ะ (ยิ้ม) เพราะถือเป็นโอกาสที่ดีมาก ส่วนคอนเซ็ปต์ก็ดีมาก เพราะเป็นเหมือนครอบครัว ซึ่งเราสามคนสนิทกันอยู่แล้ว ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อคุณแม่ เหมือนเป็นพี่น้องกันจริง ๆ ค่ะ
วันนี้คุณแม่มาคอยเชียร์ คอยให้กำลังใจด้วย?
ใช่ค่ะ ตอนแรกคุณแม่ว่าจะไม่มา แต่หยดน้ำก็บังคับให้แม่มาด้วย มีแม่อยู่ใกล้ ๆ แล้วอุ่นใจกว่าค่ะ (ยิ้ม) แม่ก็จะคอยดูแล ให้กำลังใจ ในการถ่ายแบบคุณแม่จะไม่ถนัดแต่ก็บอกให้หยดน้ำจำเทคนิคจากพี่ ๆ ทีมงาน แล้วนำมาปรับปรุงตัวเองค่ะ
แล้ววันนี้คุณได้เทคนิคอะไรกลับไปบ้าง?
ได้เยอะเลยค่ะ อย่างเช่น จะสื่อสารทางแววตายังไง คือมันจะมีเทคนิคเล็ก ๆ น้อย และเราต้องสื่อสารผ่านมาจากข้างในด้วย ต้องดึงอินเนอร์มาใช้เยอะ ๆ ค่ะ
คุณเคยมีโอกาสได้ลองเล่นละครด้วย?
ค่ะ เล่นรับเชิญนิดหน่อย ในละครเรื่อง ดอกไม้ใต้เมฆ ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีนะคะ แต่ยังต้องฝึกอีกเยอะมาก โชคดีได้คุณพ่อคอยเป็นติวเตอร์ให้ค่ะ ตอนนั้นทำการบ้านหนักมาก คุณพ่อก็จะให้ซ้อม ฝึกพูด ฝึกออกเสียง สนุกดีค่ะ
คุณบอกว่าไม่เคยมีความลับกับครอบครัวเลย?
ใช่ค่ะ เหมือนหยดน้ำเคยพูดกับคุณแม่ไว้ตอนเด็ก ๆ ว่า เราจะไม่มีความลับต่อกัน ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น หยดน้ำพูดกับคุณพ่อ คุณแม่ทุกเรื่อง ไม่ว่าเราจะทำอะไร คบใคร คือไม่เคยมีความลับต่อกันเลยค่ะ คุณแม่มีอะไรเขาก็เล่าให้หยดน้ำฟังทุกเรื่องเหมือนกัน
แต่คุณก็ยังบอกว่าตัวเองดื้อ?
ใช่ค่ะ (ยิ้ม) จริง ๆ หยดน้ำปฏิเสธมาโดยตลอดว่า เราไม่ดื้อนะ แต่จริง ๆ แล้วเพิ่งมารู้จักตัวเองว่า ถ้าไม่ชอบอะไรก็จะไม่ทำเลย และใครก็จะมาบังคับไม่ได้ด้วย แต่ถ้าตั้งใจทำแล้ว ก็จะทำให้ถึงที่สุดค่ะ ซึ่งถือว่าหยดน้ำโชคดีมาก ที่พ่อกับแม่ไม่เคยบังคับ และไม่เคยดุด้วยนะคะ ท่านทั้งสองใจดีมาก และเป็นคนมีเหตุผล อย่างคุณพ่อ เขาไม่ได้ดุแต่ถ้าพูดด้วยเหตุผลและน้ำเสียงจริงจัง แค่นี้หยดน้ำก็ร้องไห้แล้วค่ะ
แล้วตัวตนจริง ๆ ของคุณเป็นยังไง?
อยู่กับเพื่อนก็จะร่าเริง สนุกสนานค่ะ แต่จริง ๆ ก็จะเป็นเด็กเงียบ ๆ เหมือนกับเข้าหาคนไม่เป็นมากกว่า ก็พยายามปรับปรุงอยู่เหมือนกัน เพราะคนชอบหาว่าหยิ่ง ตอนนี้ก็พยายามยิ้มเยอะ ๆ (ยิ้ม) แล้วก็เป็นเด็กกิจกรรมค่ะ ก็จะเรียนกับทำกิจกรรมอยู่สองอย่าง
คุณสนิทกับครอบครัวมากแค่ไหน?
สนิทมากค่ะ หยดน้ำเป็นลูกคนเดียว คุณพ่อคุณแม่ก็เป็นลูกคนเดียว เราเลยเหมือนมีกันอยู่แค่นี้ เวลาว่างก็จะดูหนัง หรือกลับบ้านคุณพ่อก็จะทำกับข้าวให้ทาน ว่างปุ๊ปก็จะชวนกันไปเที่ยว คุณย่าจะเป็นคนนำเที่ยวตลอดค่ะ
สำหรับคุณ คำว่าครอบครัวมีความหมายอย่างไร?
ครอบครัวคือทุกอย่างค่ะ ต่อให้เราจะดี จะแย่ ก็มีแต่ครอบครัวที่ให้กำลังใจ อย่างตอนที่หยดน้ำซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ ต้องบอกว่าหนักมาก เลิกเรียนมาก็ซ้อมถึงตีสาม ไม่ได้คุยกับใครเลย ช่วงนั้นก็มีปัญหากับตัวเอง แต่พอหันไปก็จะเจอครอบครัวอยู่ข้าง ๆ ตลอด อย่างคุณพ่อก็จะซื้อข้าวมาให้ คุณแม่ก็จะคอยส่งข้าวส่งน้ำตลอด มันทำให้เราสู้และอดทนต่อไปได้