นภาพร ไตรวิทย์วารี
“เวลาที่เราทุกข์มากเราเพียงแค่อยากหาคนที่ฟังเราเวลาเราเจอปัญหาเราไม่ได้อยากได้คำตอบ แต่เราอยากได้คำปลอบก็เท่านั้น” ประโยคแรกที่ ดีเจพี่อ้อย หรือ คุณนภาพร ไตรวิทย์วารีกุล บอกกับเราในเรื่องคนที่หวังกับความรักเหมือนกับว่าเวลาเรามีปัญหาอะไร พี่อ้อยจะตอบกลับมาได้อย่างน่าประทับใจทุกครั้ง
พี่อ้อยเป็นดีเจจัดรายการอยู่กรีนเวฟ คลื่น 106.5 MHz มีรายการชื่อดังอย่าง Club Friday ในวันศุกร์ และทำรายการทีวี Club Friday Show ทางช่อง GMM ทุกวันเสาร์ นอกจากนั้นเธอยังเป็นคอลัมนิสต์ให้กับนิตยสารหลายสำนัก เป็นวิทยากรสร้างแรงบันดาลใจให้กับองค์กรต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีกิจการร้านอาหารชื่อว่าบนดาวอังคาร ในย่านอารีย์อีกด้วย
อย่างไรก็ตามงานดีเจเป็นงานที่เรียกว่าอยู่ในสายเลือด เพราะเธอทำมากว่า 20 ปี จนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปโดยปริยาย การทำรายการ Club Friday จึงกลายเป็นที่ปรึกษาหัวใจ เวลาที่ใครสักคนมีปัญหาเรื่องความรักจะนึกถึงพี่อ้อยและพี่ฉอดเป็นอันดับต้น ๆ ของสังคมในตอนนี้ไปแล้ว
“อาชีพดีเจมันเป็นอาชีพที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่งคือใกล้กำลังดี มีระยะห่างกำลังเหมาะ อย่างพี่จัดรายการตอน 5 โมงเย็น ผู้ฟังจะรู้สึกสนิทกันโดยอัตโนมัติทั้งที่ไม่ต้องเจอหน้า นี่คือใกล้กำลังดี ส่วนระยะห่างกำลังเหมาะคือเวลาที่เขามีปัญหากับใคร พี่อยู่ห่างมากพอที่จะไม่นำเรื่องของเขาไปสร้างปัญหา คนเลยให้ความไว้วางใจโทรเข้ามาเล่าให้ฟัง
“จากการทำรายการ Club Friday มา 12 ปี พี่เชื่อว่าปัญหาความรักกว่า 80 % แก้ไม่ได้แล้ว เขานอกใจมีคนอื่นทิ้งเราไปเรียบร้อย สิ่งเดียวที่ทำได้คือเราจะหาวิธีคิดให้ชีวิตรอดยังไง เราจะหาวิธีไหนบอกกับใจตัวเองว่าพอเถอะ ถามว่าคนที่โทรเข้ามาเขาไม่รู้ทางออกจริง ๆ เหรอ พี่ว่ารู้แต่ยังไม่อยากออกมาเพราะทำใจไม่ได้ คือเขารู้ว่าต้องทำอะไรแต่ทำไหวหรือยังแค่นั้นเอง
“เมื่อไหร่ที่ยอมรับสิ่งที่ตัวเองเจอได้ พี่ว่าเขาจะเข้มแข็งไปกว่าครึ่งแล้วเมื่อไหร่ก็ตามเราตั้งคำถามว่าทำไมต้องเกิดขึ้นกับหนู ตัวหนูไม่ดีตรงไหน ทำไมเขาเห็นคนอื่นสำคัญกว่า คำถามเหล่านี้ตอบแล้วได้อะไร ให้ตั้งคำถามว่าทำอย่างไรดีกว่า หลักคิดก็คือต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเหมือนการเขย่าตัวให้มีสติ สิ่งที่เราตอบไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา แต่เป็นวิธีการคิดต่างหากที่ทำให้รอดจากเงื่อนไขเหล่านี้
“จากที่พี่ทำงานมาเห็นได้ว่าช่วง 4-5 ปีหลังเรื่องของการนอกใจมีเยอะมาก อย่าคิดว่าคนทำผิดพร้อม ๆ กันแล้วมันไม่ผิด อย่าคิดว่าคนอื่นเขาทำได้ ถ้าเป็นแบบนี้สังคมมันวินาศมากเลย อย่างการไปชอบแฟนชาวบ้าน คนเรามีสิทธิ์ไปคว้าเขามาได้หรือ คือพี่ไม่โทษสังคมอย่างเดียวแต่เราถือสาเรื่องการมีเจ้าของน้อยลงจริง ๆ เมื่อวันที่จิตใจของเรามันหนักแน่นน้อยลง ประกอบกับเจอคนที่ไม่สนใจเรื่องการมีเจ้าของอัตราการนอกใจมันจึงสูงขึ้นเพราะทุกคนไม่ซีเรียส แล้วเราก็มักมีเหตุผลดี ๆ กับเรื่องแย่ ๆ มากขึ้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมดพี่ยังเชื่อว่าสังคมนี้ยังมีคนรักเดียวใจเดียว ยังมีความซื่อสัตย์ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ง่ายมากของคนรักกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีคนไม่ดี เพราะสังคมมันประกอบไปด้วยคนหลายรูปแบบ ในวันนี้สถิติการหย่าร้างเกิดขึ้นสูงมากอย่างน่าตกใจพี่คิดว่ามันจะเกิดความไม่มั่นคงในความสัมพันธ์มากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเรายังปล่อยให้มีความสัมพันธ์เป็นแบบนี้ต่อไป เราจะเห็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวแม่เลี้ยงเดี่ยวมากขึ้น เพราะเราไม่เชื่อในสถาบันครอบครัว มันเป็นยุคที่เราบริโภคความเร็ว แต่ความสัมพันธ์บางทีมันเร็วไม่ได้
“เวลาที่เกิดปัญหาเราก็มักจะโทษเวรกรรมในการปลอบใจตัวเอง กรรมเก่าอาจทำให้เรามาเจอกัน แต่กรรมใหม่เราสร้างได้นะ ว่าเราจะนำสิ่งดี ๆ มาชดเชยสิ่งแย่ ๆ ได้หรือเปล่า เพราะมันคือการกระทำของเรา อย่าคิดว่าทำไมเป็นคนดีต้องอกหัก ถูกทำร้ายตลอดเวลามันคนละประเด็น แต่พี่อยากให้เขาเป็นคนดีต่อไปเรื่อย ๆ พลังความดีของเรานี่แหละจะให้เรารอดจากปัญหาที่เกิดขึ้นได้
“ความรักมันอยู่ทุกอณูเป็นส่วนประกอบของชีวิต แต่เวลาพูดถึงความรัก คนเราจะตีความแคบ ๆ ว่าคือการมีคู่ ในแต่ละวินาทีที่ดำเนินชีวิตมันมีความรักทั้งนั้น ความรักมันกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับบางคนความรักเป็นเรื่องเดียวในโลกที่ใช้ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นไม่ได้ ทำดีแทบตายสุดท้ายทำไมเสียใจ ความพยายามอยู่ที่ไหนรักที่อยากได้ไม่เห็นอยู่ที่นั่นเลย อะไรก็ตามที่มันควบคุมไม่ได้เราจะเริ่มกลัวมันมากกว่าเรื่องอื่นนี่คือความรัก
“สำหรับคนโสดถ้าย้อนกลับไปสัก 10 ปีพี่ว่ามันดูเศร้ามาก ไม่มีใครเอาแต่ยุคนี้โสดเพราะไม่เอาใคร พี่รู้สึกว่าโสดไม่ใช่บทลงโทษของฟ้าไม่ได้แปลว่าไม่มีใครเอาไปดำเนินชีวิต แต่คนโสดคือคนที่สุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับเราตอนนี้ วันนี้ขอให้มีความสุขมากที่สุดกับความโสด แล้ววันหนึ่งจะมีคนมาแบ่งบันความสุขใกล้ ๆ เขาจึงมีคำของคนแต่งงานว่าสละโสด
“สำหรับคนที่ถูกทำร้ายด้วยความรัก วัตถุดิบที่ดีมากที่เหลืออยู่คือความรักในตัวเอง บางคนเราเสียเขาไปน่าดีใจกว่าได้เขามา ตอนแรกเราไม่รู้สึกหรอก คร่ำครวญว่าทำไมต้องโดนทิ้ง แต่ลืมไปว่าถ้าเขาอยู่อาจทำร้ายเราได้อีกนาน พี่ไม่ได้โลกสวยนะเราต้องอยู่ในโลกแห่งความจริงช่วงที่เปลี่ยนผ่านเจ็บสุดแต่พอผ่านมาได้แล้วก็หลุดพ้น ในชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใคร ส่วนคนที่มีความรักดี ๆ ก็ดูแลความรักที่อยู่ในมือให้ดีที่สุดส่วนตัวพี่อ้อยเชื่ออย่างหนึ่งว่า ความรักเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนที่สุดในโลกมันจึงเป็นข้อดีถ้าเราเชื่อว่ารักจะอยู่กับเราทั้งชีวิต เราอาจเห็นเขาเป็นของตาย บางคนไม่เห็นคุณค่ารักแท้ในมือ ตราบใดที่เราเชื่อว่ารักมันไม่แน่นอน วันนี้เราจะดูแลเขาดีเหมือนว่าพรุ่งนี้รักของเราไม่มีอีกแล้วเราจะมีความรักที่ดีทุกวัน ในเทศกาลแห่งความรักของเดือนนี้ มันเป็นเพียงเทศกาลหนึ่งที่ย้ำเตือนว่าไม่ว่าจะรักใคร อยากให้ยกครึ่งหนึ่งของความรักมาให้กับตัวเองบ้าง”