ความรักที่ไม่ได้จำกัดรูปแบบ พิมพ์ผกา เสียงสมบุญ
เรียกได้ว่าห่างหายไปจากจอแก้วนานพอดู สำหรับ หมู-พิมพ์ผกา เสียงสมบุญ เพราะว่าผันตัวไปบริหารงานแบรนด์เครื่องสำอาง Born To Be Cosmetic รวมถึงเป็นฝ่ายผลักดัน นาย-ณภัทร เสียงสมบุญ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาเป็นตัวแทนในวงการบันเทิง ความสนิทสนมของแม่ลูกคู่นี้ออกสื่อให้เราเห็นกันบ่อย ๆ วันนี้คุณหมู-พิมพ์ผกา จะมาบอกเคล็ดลับว่าสิ่งที่เป็นสายใยความรักระหว่างทั้งคู่นั้นคืออะไรกันแน่
“นิยามความรักสำหรับพี่ก็ต้องบอกก่อนเลยนะ เรื่องความรักแบบหนุ่มสาวพี่จะไม่ค่อยอินเท่าไหร่นะ คือพี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ารักคืออะไร ไม่อย่างนั้นพี่ก็คงไม่อยู่ตัวคนเดียวมานานขนาดนี้ นึกออกมั้ยแต่พอมีน้องนายเนี่ย เราก็มองว่า หรือว่าความรักที่แท้มันเป็นแบบนี้รักโดยไม่หวังจะครอบครอง รักโดยที่เราคอยส่งเสริมเขา รักโดยไม่หวังผลประโยชน์สิ่งใดเลย มันเลยทำให้พี่หมูมองว่า ถ้าเราใช้ชีวิตคู่แล้วมันจะมีความรู้สึกเหมือนเราเลี้ยงลูกมั้ย คือต้องบอกว่าตัวพี่หมูประสบการณ์
เรื่องของคู่ชีวิตนี่แทบจะไม่มีเลย ตอนที่แต่งงานอยู่กันได้แค่สามเดือนก็เลิกกัน ทำให้เราไม่ได้ใช้ชีวิตคู่แบบจริงจังกับใครเลย แต่พอเวลาผ่านไปเราก็ได้คิดเหมือนกันนะ ว่าการใช้ชีวิตคู่ที่แท้จริงแล้วมันก็คือแบบนี้การที่เราคบหรือใช้ชีวิตร่วมกับใครไปนาน ๆ ก็น่าจะเป็นความรู้สึกประมาณนี้มากกว่า ที่คอยดูแลกันและกันตลอดเวลา อะไรแบบนี้มากกว่า
“ด้วยวิธีการที่เราอยู่ด้วยกันกับลูก จะมองว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมโลกคนนึงที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เราจะไม่มีเส้นแบ่งว่าชั้นคือแม่นะ เธอคือลูกเราจะให้สิทธิเค้าได้เต็มที่ในเรื่องของความคิด การตัดสินใจ ความรับผิดชอบเราจะคุยกันเหมือนเพื่อมากกว่า ฉะนั้นเวลาน้องนายอยู่กับพี่ คนอื่นมักจะมองว่าแม่ลูกคู่นี้สนิทกันจังเลย หรือไม่ก็คงตกใจไปเลยว่า ไม่เคารพแม่เลยอะไรอย่างนี้ พี่สนิทกับน้องนายมาก แต่ถ้าถามว่าขนาดไหนเราก็คงวัดไม่ได้นะ เป็นภาพที่คนอื่นมองคนอื่นเห็นมากกว่า เวลาพี่ลงรูปคู่ก็จะมีคนมาคอมเม้นต์บ้างว่า พี่หมูโชคดีมากเลยนะ มีลูกชายที่อยู่ในวัยรุ่นแล้วสนิทกับแม่ ไปไหนมาไหนด้วยกันได้แบบนี้ เราก็จะมานั่งคิดว่าแล้วครอบครัวอื่นเค้าไม่เป็นอย่างเราเหรอ คือเราก็มองว่าสงสัยเพราะเราตัวคนเดียวมั้ง ด้วยความที่น้องนายเป็นผู้ชาย เป็น Gentleman เขาคงรู้สึกว่าต้องคอยเทคแคร์คอยดูแลเรา แต่กับครอบครัวอื่นที่มีครอบครัวสมบูรณ์ อาจจะมีพ่อแม่ที่อยู่เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว ลูกก็เลยไม่ต้องเป็นห่วงในจุดนั้น เลยสามารถไปใช้ชีวิตของตัวเองได้อะไรแบบนั้น เพราะพวกคุณมีกันและกันอยู่แล้ว แต่ถ้าวันหนึ่งวันใดองค์ประกอบมันไม่สมบูรณ์ขึ้นมา ช่องว่างเหล่านั้นก็จะมีลูกนี่แหละที่เข้ามาแทนที่
“คนอื่นอาจจะมองว่าเราสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด รวมถึงเวลางานบางอย่างด้วย ก็คือต้องบอกก่อนว่าตัวพี่เองเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้นายด้วย แต่ก็ไม่ได้ลงลึกรายละเอียด แบบถ้ามีงานเข้ามาเราก็จะมาคุยกันแล้วให้เค้าเป็นคนตัดสินใจ ถ้าเค้าสนใจเราก็จะเป็นฝ่ายเจรจาให้ประมาณนี้มากกว่า เรียกว่าคุยงานกันจริงจังแลกเปลี่ยนความเห็นกัน เพราะฉะนั้นที่เห็นออกงานด้วยกันบ่อยก็เพราะอย่างนี้ด้วย เราต้องคอยซัพพอร์ตเค้า อย่างการถ่ายงานแบบนี้พี่ก็จะไปด้วยบ้าง ขับรถให้
ส่งข้าวส่งน้ำ แล้วตัวเค้าเองก็อยากให้เรามาด้วย คงเพราะกลัวเราอยู่บ้านแล้วเหงามั้ง (หัวเราะ) แต่ถ้าเป็นงานละคร ถ่ายหนัง หรืองานอะไรที่เค้าต้องใช้สมาธิและใช้ระยะเวลา แม่ก็จะไม่เข้าไปยุ่งเลย เรายกให้เค้าเป็นคนจัดการเองเลยให้เค้ารับผิดชอบ”
จากประสบการณ์ในวงการบันเทิงของคุณหมูที่มีมาหลายสิบปีในฐานะนักแสดง เธอย่อมมีประสบการณ์มาก่อน แต่สำหรับความเป็นแม่นั้นบางครั้งไม่สามารถสอนได้ทุกอย่าง แต่ถ้าเกี่ยวกับอาชีพนักแสดงเพียงแค่ 3 อย่างก็คือ เรื่องของการวางตัว ระเบียบวินัย และการดูแลตัวเองเพียงเท่านี้เอง
“วิธีการเลี้ยงลูกเราอาจจะไม่เหมือนกับคนอื่นเท่าไหร่นะ คือพี่มีแนวความคิดว่าเราต้องใช้ชีวิตวันนี้ให้เหมือนไม่มีพรุ่งนี้ คือเหมือนต้องเตรียมใจให้พร้อมเสมอว่าวันใดวันหนึ่งคนเราก็ต้องจากไป เพราะฉะนั้นเราจะต้องอยู่ให้ได้ เอาตัวรอดให้ได้ เราอยากให้ลูกสามารถดูแลตัวเองได้ในวันที่ไม่มีเราแล้ว ในขณะเดียวกันเราก็ต้องรับมือให้ได้ถ้าหากว่าวันหนึ่งแล้วเค้าไม่อยู่กับเราเหมือนกัน พี่คิดมาตั้งแต่ตอนน้องนายสามขวบได้ตอนนั้นพี่ไปติดอยู่ในลิฟท์แก้ว มันเลยทำให้พี่คิดว่าทุกช่วงเวลา เราอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอเค้าอีกแล้ว ตั้งแต่นั้นพี่เลยเลี้ยงเค้าให้เค้าสามารถเติบโตดูแลตัวเองได้ในวันที่ไม่มีเราแล้วมากกว่าค่ะ
“พี่หมูเชื่อนะคะว่าทุกคนมีสัญชาตญาณของความเป็นแม่ แต่ว่าสถานการณ์ที่แต่ละคนเจออาจจะแตกต่างกัน สำหรับพี่ก็ขอพูดในมุมของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวก็แล้วกัน ก็คือไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ผู้หญิงเราจะคิดผิดอยู่แค่สองอย่างเท่านั้นแหละค่ะ คือหนึ่งเรามัวแต่ไปคิดถึงเรื่องอดีตที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว กับสองเรามักจะกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง วิตกกังวลตลอดเวลา ทั้งสองสิ่งนี้เป็นอะไรที่พี่ว่าคิดไปก็เสียเวลาเปล่า ถ้าเราสามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือปัจจุบัน แล้วจะเข้าใจได้เองว่า ตอนนี้เราทำอะไรอยู่ กินข้าวกับลูกใช่มั้ย ดูหนังกับลูกใช่มั้ย ทำวินาทีตรงนั้นให้มีความสุขที่สุด แล้วเดี๋ยวอนาคตมันก็จะดีเองค่ะอย่าไปกังวลอดีตกับอนาคตเลยดีกว่า เราจะทำปัจจุบันให้มีความสุขอย่างไร นั่นล่ะที่สำคัญกว่า”