SCHOOL TALE
เป็นหนังไทยที่กว่าจะได้ฉายต้องประสบหลายปัญหาเหลือเกิน ตั้งแต่การเลื่อนฉายแล้ว เลื่อนฉายอีก กว่าจะได้ออกสู่สายตาประชาชนคนไทยจริง ๆ ก็ต้องรอให้ผ่านพ้นข้ามปีกันเลยที่สำคัญคือนี่เป็นหนังไทย 1 ในจำนวนอันน้อยนิด ที่หาญกล้าออกมาต่อกรกับวิกฤตปัญหาที่เหล่าคนทำหนังไทยกำลังประสบอยู่ได้อย่างคมคายเลยทีเดียว
School Tale เปิดเรื่องด้วยความเชื่อเกี่ยวกับตำนานของโรงเรียน เพราะทุกสถานที่นั้นล้วนมีเรื่องราว มีความผูกพัน มีความทรงจำ และแน่นอนมีวิญญาณ โดยเรื่องเล่าภายในโรงเรียนนั้นถือเป็นวัฒนธรรมร่วมของคนเอเชีย โดยหนังได้นำเสนอด้วยการให้เหล่านักเรียนวงโยธวาทิตที่มาเข้าค่ายเก็บตัวกันในโรงเรียน ได้เกิดแนวคิดพิเรนทร์ ออกไปลองของตามเรื่องเล่าที่ถูกส่งต่อกันมา ซึ่งถึงแม้ว่าพล็อตจะเป็นพล็อตที่ดูธรรมดา แต่กลับส่งผลกระทบมาถึงผู้ชมได้เป็นวงกว้าง เพราะแน่นอนว่าทุกคนที่ล้วนแล้วแต่ผ่านพ้นการเป็นเด็กมัธยมวัยคะนอง จะต้องมีการจับกลุ่มกันเล่าเรื่องผี รวมถึงออกไปพิสูจน์ตำนานโรงเรียนกันอย่างแน่นอน ในช่วงที่มีกิจกรรมอันจำเป็นจะต้องค้างแรมกันภายในโรงเรียน
แน่นอนว่าถ้าออกไปท้าทายผี บรรดาภูตผีที่ยังคงวนเวียนอยู่ในโรงเรียนต่างก็เตรียมจัดหนักจัดเต็มกันอย่างสาสมใจกันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นกลุ่มเด็กวงโยธวาทิตจึงจำเป็นต้องหาทางเอาตัวรอดและแก้ไขปมของวิญญาณเหล่านั้นก่อนที่ตนเองจะถูกเอาชีวิตไป ทำให้การดำเนินเรื่องของหนังเป็นไปในแนวทางสืบสวน ค้นหาความจริงเสียมากกว่า ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงแล้วหนังค่อนข้างประสบความสำเร็จในด้านการผูกปมและแก้ปม มีความสมเหตุสมผลและน่าเชื่อถือ ถึงแม้ว่าความเป็นหนังผีจะถูกลดทอนลงไป แต่ตัวหนังก็ได้ความสนุกของการสืบสวนเข้ามาแทนที่ เป็นหนังไทยไม่กี่เรื่องในปีนี้ที่เล่าเรื่องได้ไม่น่าเบื่อเลย
หนังพูดถึงความเชื่อที่ถูกส่งเล่ากันแบบปากต่อปาก เรื่องเล่าที่ถูกเล่ากันมาแบบสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ด้วยความศรัทธาที่แรงกล้าแล้วนั้น เรื่องเล่าเหล่านั้นจะกลายเป็นความจริง ประเด็นของหนังตรงนี้นั้นไม่ใช่ประเด็นใหม่แต่อย่างใด เพียงแต่บ้านเรายังไม่ได้มีแง่มุมการนำเสนอเรื่องราวมุมนี้อย่างแพร่หลายมากนักทำให้นี่ถือเป็นเรื่องที่คนไทยไม่คุ้นชิน ถือเป็นการฉีกแนวการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณให้กับผู้ชมคนไทยได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งถือว่ามันค่อนข้างสมบูรณ์เลยทีเดียวเมื่อนำมาผูกเข้ากับความเชื่อของโรงเรียน รวมไปถึงแนวทางการหาความจริงในการเอาตัวรอด ถือเป็นการเปิดทางให้หนังไทยได้มีโอกาสต่อลมหายใจไปอีกนิด
ท่ามกลางวิกฤติของวงการหนังไทย ที่ล่าสุดทางเครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์ถึงกับต้องออกมาเรียกร้องให้ทางรัฐบาลจัดหามาตรการรับมือกับวิกฤตหนังไทยที่กำลังเกิดขึ้น จากการที่ส่วนแบ่งหนังไทยในตลาดหนังลดลงอย่างน่าใจหายทั้งจากการจัดการรอบฉายของทางโรงหนัง รวมไปถึงหนังไทยเองที่ไม่สามารถดึงดูดให้คนไปชมกันที่โรงหนังได้ ส่วนหนึ่งเรื่องของโรงหนังอาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถ้าหากว่าหนังไม่ทำเงินโรงฉายก็จำเป็นต้องลดรอบ ซึ่งคงต้องหาข้อสรุปกันอย่างจริงจังอีกทีในส่วนนี้ แต่ถ้าหากเป็นเรื่องของคนทำหนังนั้นล่ะก็ถ้าสถานการณ์ของหนังไทยปัจจุบันยังคงติดอยู่ในลูปวงจรเดิม ๆ แล้วจะมีใครกัน ที่จะเข้ามาช่วยยกระดับให้หนังไทยก้าวและเติบโตต่อไปในภายภาคหน้า จุดเปลี่ยนมาถึงแล้ว อยู่ที่ว่ามันจะดำเนินไปในทิศทางไหนนั่นแหละครับ