อะตาคาม่า

อะตาคาม่า

สิ่งสำคัญที่สุดเมื่ออยู่ที่อะตาคาม่าคือน้ำค่ะ...รุ่งเช้าที่อะตาคาม่าเราเริ่มการเรียนรู้ความเป็นไปของทะเลทรายแห่งนี้ ด้วยการร่วมคณะกับอาจารย์มหาวิทยาลัยจากนิวซีแลนด์สองคนไปเยือนดินแดนแห่งอารยธรรมรุ่นแรกที่มีมนุษย์เข้ามาอยู่ในดินแดนแถบนี้เมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล 

มนุษย์พวกแรกขุดหลุมเป็นวงกลม ๆ แล้วลงไปอยู่ใต้ดิน ต่อมาเริ่มขึ้นมาอยู่บนดิน ใช้ดินปลูกเป็นป้อมกลม ๆ หลังคาคลุมด้วยกิ่งไม้แต่เนื่องจากทะเลทรายเป็นดินแดนที่อยู่บนเขาสูง พวกเราจึงได้บุกบั่นขึ้นไปดูกันอยู่บนยอดเนินสูง...ซึ่งแม้จะผ่านมาหลายพันปี แต่ร่องรอยที่พวกเขาทิ้งไว้ก็ยังแสดงถึงความก้าวหน้าทางวิศวกรรมในยุคนั้น เราเห็นคลองส่งน้ำที่ทำให้พวกเราอยู่กันได้อย่างสบาย มีน้ำกินน้ำใช้น่าทึ่งมากทีเดียว

เสน่ห์ของ อะตาคาม่ายังไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้มีน้ำพุร้อนให้ออกไปชมแต่ต้องไปกันตั้งแต่ตอนตีสี่ที่อากาศหนาวเย็นมาก แม้ตอนกลางวันอากาศจะร้อนแรงเพราะบนท้องฟ้าโปร่งโล่ง ดวงอาทิตย์แผดรัศมีส่องลงมาได้อย่างเต็มที่และนั่นถึงทำให้เราต้องพกน้ำติดตัวกันตลอดเวลา เป็นข้อกำหนดสำคัญว่าทุกคนต้องมีน้ำติดตัวตลอดเวลาที่อยู่กลางแจ้ง และให้พยายามจิบน้ำบ่อย ๆ ไม่เช่นนั้นร่างกายจะขาดน้ำเป็นอันตรายได้ แต่เมื่อยามราตรีมาถึงอุณหภูมิก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนละอย่างเลย ความหนาวเย็นเยือกจับใจจริง ๆ ถ้ามีกิจกรรมต้องไปผจญยามเช้ามืด หรือออกไปชมดาวแล้วล่ะก็ ความหนาวเยือกเย็นด้วยอุณหภูมิที่ลบต่ำกว่า 5-7 องศาจะทำให้คนที่ไม่คุ้นชินต้องแทบทนไม่ได้

สถานที่โด่งดังของอะตาคาม่าคือการไปตะลุยทรายในหุบเขาแห่งความตาย การกลิ้งตัวหรือไถลด้วยเท้าลงมาจากเนินทรายสูงลิบ ๆ นั่นเป็นกีฬาโปรดของคนชอบความท้าทายมีให้เห็นตอนที่พวกเราไปยืนดูด้วยความเสียวไส้หรือไม่ก็เดินไปบนแผ่นหินธรรมชาติที่ขนาดไม่กว้างนักเหมือนไม้ที่ยื่นออกไปในหุบเหวสูงลิบ แม้ก้นเหวนั้นจะเต็มไปด้วยทรายแต่ถ้าตกลงไปก็คงสมกับชื่อนั่นคือ ตายอย่างช่วยไม่ได้ละค่ะ 

อะตาคาม่ายังมีบรรยากาศของโลกพระจันทร์ บรรยากาศแบบดาวพุธว่ากันว่ามนุษย์อวกาศก็จะพากันมาฝึกที่นี่ก่อนจะอยู่ในอวกาศจริง ๆ และเนื่องจากพื้นที่โล่งกว้างใหญ่เห็นท้องฟ้าได้กระจ่างตามาก ๆ จึงมีหอดูดาวที่ใหญ่และมีชื่อเสียงมาก ๆ ตั้งอยู่ที่นี่ด้วย และล่าสุดเป็นหอดูดาวที่ทันสมัยมากโดยประเทศต่าง ๆ ช่วยกันสร้าง และนักวิทยาศาสตร์จากส่วนต่าง ๆ ใช้ศึกษาค้นหาโลกในอนาคตของมนุษยชาติและแน่นอนที่เรายอมเสียเงินฝ่าความหนาวเย็นพร้อมกับเวลานัดหมายสำหรับการไปดูดาวต่าง ๆ กันตอนเที่ยงคืน เป็นค่ำคืนที่หนาวเย็นแต่ได้เห็นดาวเสาร์กับวงแหวนที่น่าอัศจรรย์ ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ที่สุกสกาว และแน่นอนเห็นพระจันทร์ที่ส่องแสงและมนต์เสน่ห์ให้หลงใหล ยิ่งเราเคยหลงเสน่ห์แสงจันทร์และได้ดูดวงจันทร์อย่างชัดเจนจากกล้องส่องทางไกลจากที่อิสตันบูลจนหลงไหลได้ปลื้มพระจันทร์มาแล้วอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ดังนั้นจึงเป็นอีกครั้งที่เสน่ห์ของพระจันทร์เป็นยิ่งกว่ามนต์สะกดให้หลงแล้วหลงอีกอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ เก็บรักษาสิ่งของโบราณสมัยที่มนุษย์ยุคเก่าเริ่มมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ นับย้อนเวลากว่า 4,000 ปีที่เริ่มมีสิ่งมีชีวิตเริ่มเกิดขึ้นที่นี่ เครื่องมือเครื่องใช้โบราณที่ทำจากหินเป็นแบบใบหอกแหลมเล็ก ๆ ก็ถือเป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพมากแล้วสำหรับในสมัยนั้น นอกจากนี้ เรายังได้เข้าไปอยู่ในหุบเขาแห่งสายรุ้ง ที่หินที่อยู่บริเวณนี้มีสีสันแตกต่างกันและเป็นแท่งสูง ๆ เต็มไปหมด เวลาเดินผ่านเข้าไปจะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังทักทาย ซึ่งพวกเรามากันเป็นกลุ่มก้อนเล็ก ๆ ก็ไม่ถึงกับกระไรนัก แต่ถ้ามาคนเดียวหรือพลัดหลงกับคณะเจอเสียงแบบนี้คงยะเยือกทีเดียวค่ะ บริเวณเหล่านี้แม้แดดจะแรงแต่ก็มีลมพัดแรงตลอด แท่งหินเหล่านี้ก็เลยส่งเสียงทักทายนักท่องเที่ยวได้ทุกครั้ง ถ้าไม่มีใครโผล่เข้าไปก็คงคุยกันเองนั่นแหละค่ะ

คนพื้นเมืองทางนี้เป็นชนเผ่าที่สืบเชื้อสายมาจากชาวมายาอินคา เราจะเห็นเส้นทางถนนที่เรียกว่าถนนสายมายาอินคาทอดยาวลึกเข้าไปในหุบเขาโล่งโปร่ง ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีชื่อเสียงมีนักท่องเที่ยวตามรอยไปชมกันแน่นรายการหนึ่ง แต่เขาว่าทรหดพอใช้นะคะ 

แต่สิ่งหนึ่งที่ถ้าไม่ได้ไปเยือนคงเสียดายเหมือนกันนั่นคือทะเลสาบเกลือซึ่งตอนเย็น ๆ ใกล้พระอาทิตย์ตกดิน จะมีหมู่นกฟลามิงโก ลงมาหาอาหารในแอ่งน้ำกิน ด้วยความที่เป็นนกที่มีสีสันสวยงาม เมื่อเวลาที่ถลาร่อนลงมานั้นสวยน่าดูมาก และด้วยจำนวนที่มากมายจึงเป็นภาพที่สุดแสนจะประทับใจ เพราะพื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยก้อนเกลือปรุพรุนเป็นก้อน ๆ เรียงกันเต็มลานโล่งกว้างไปหมด มีทางเดินทอดยาวไปสู่แอ่งน้ำ ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ส่งแสงสีส้มแดงสุดท้ายยามเย็นและลมที่พัดเย็น เป็นความสวยงามยามพระอาทิตย์ตกและเป็นอีกหนึ่งบรรยากาศที่ได้ไปเยือนแล้วยากที่จะลืมได้

ยังมีอะไรอีกมากมายเลยค่ะ งานฝีมือแบบพื้นเมืองที่เป็นผ้าทอใช้สีสันสดใสในรูปแบบต่าง ๆ กัน ส่วนใหญ่เป็นผ้าปูโต๊ะ ย่าม พรม แต่งผนังบ้าน ฯลฯ นอกนั้นก็ยังมีเครื่องใช้แบบง่าย ๆ ทำจากไม้ต้นกระบองเพชร มีพวกแร่หินต่าง ๆ และพวกสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ที่อยู่ที่อะตาคาม่า อย่างพวก ญาม่า วิสคูย่า นกกระจอกเทศและตัวที่คล้าย ๆ กระต่าย ซึ่งสัตว์พวกนี้เมื่อเราเจออยู่ในทะเลทราย เป็นกฎห้ามเลยว่าจะต้องไม่เข้าไปใกล้จนเกินไป ตามบริเวณต่าง ๆ ก็จะมีสัตว์ต่าง ๆ ให้ได้เห็น แม้แต่พวกนกของที่นี่ก็จะเห็นได้เวลาที่อยู่ในหนองน้ำหรือบึงใหญ่แถวที่เป็นหมู่บ้านใกล้น้ำพุร้อนเป็นต้น

สรุปแล้ว แม้ทะเลทรายอะตาคาม่าจะเป็นพื้นที่แห่งความแห้งแล้งมากมาย แต่เสน่ห์ของที่นี่แม้จะผ่านไปกี่สิบปีก็ยังคงมีมนต์และส่งเสียงเพรียกเรียกร้องให้เราหวนนึกถึงความทรงจำที่ได้ไปสัมผัสมาอยู่ไม่รู้วาย

เสียงเพรียกและเรียกหาจากอะตาคาม่า (ตอนที่ 2)