อาจารย์ทองร่วง เอมโอษฐ

อาจารย์ทองร่วง เอมโอษฐ

เวลาเราไปวัดที่มีชื่อเสียงถ้าลองสังเกตดี ๆ จะเห็นศิลปะปูนปั้นตามวัดมากมาย สิ่งเหล่านั้นล้วนมาจากศิลปินปูนปั้นที่มีเทคนิคชั้นสูงแทบทั้งสิ้น อาจารย์ทองร่วง เอมโอษฐ คือคนหนึ่งที่เรียนรู้และสืบทอดวิชาปูนปั้นดั้งเดิมของช่างเมืองเพชร มีผลงานปูนปั้นที่ซุ้มประตู ซุ้มหน้าต่าง ศาลาการเปรียญและพระอุโบสถ อาทิ วัดมหาธาตุวรวิหาร, วัดพลับพลาชัย ออกแบบฐานพระประธาน พระพุทธชินราช ทำลวดลายของโบสถ์และเจดีย์วัดกลางบางแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม

แม้ไม่ได้เรียนจบจากรั้วมหาวิทยาลัย แต่ฝีมือปูนปั้นนั้นเข้าขั้นชั้นครูจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ได้รับรางวัลการันตีเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประณีตศิลป์-ศิลปะปูนปั้น) พ.ศ.2554 ทำให้พูดได้ว่าท่านคือตัวจริงด้านงานช่างปูนปั้นยากจะหาใครเทียบเคียง

ชีวิตของอาจารย์ทองร่วง เอมโอษฐ พื้นเพดั้งเดิมเป็นคนบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อเรียนจบชั้น ป. 4 บิดาให้บวชเป็นสามเณร ได้มีโอกาสเรียนนักธรรมรวมถึงวิชาช่างไม้จนเมื่อบวชได้ 2 พรรษาก็เรียนจบนักธรรมตรี และได้ย้ายมาอยู่วัดอัมพวาอีก 2 พรรษา ก็เรียนจบนักธรรมเอก แต่ระหว่างที่อยู่ตรงนี้เองท่านได้คลุกคลีกับนักเรียนมัธยมทำให้ได้ซึมซับหลักการและวิธีคิดของระบบโรงเรียนมาแทบทั้งหมด 

ในระหว่างเป็นสามเณรท่านก็ได้ฝึกเขียนลายสีน้ำ เขียนลายไทย ลายกนก เขียนตัวหนังสือ โปสเตอร์โฆษณางานวัดจนได้มาพบกับครูพิณ อินฟ้าแสง ช่างปั้นปูนชั้นครู ก็รู้เลยว่าหลายสิ่งที่หัดเอาไว้ตั้งแต่ตอนเป็นสามเณร ทุกอย่างมาบรรจบที่งานปูนปั้นซึ่งเป็นงานฝีมือจับต้องได้นั่นเอง

“ผมสึกจากการเป็นเณรออกมาแล้วขอเป็นลูกศิษย์ของครูแต่ครูไม่รับ เพราะเราไม่ได้คิดถึงประเพณีเมืองเพชรบุรีอย่างหนึ่งคือ งานช่างเขาจะไม่สอนคนอื่นเขาจะสอนเพียงแต่ลูกหลานเขาเท่านั้น แม้ว่าท่านจะไม่รับเป็นลูกศิษย์แต่ยังพอมีช่องทางอยู่ว่า ถ้าอยากเป็นช่างปั้นจริงก็ให้ลองทำดูทันทีปรากฏว่าผมทำได้ ซึ่งมันคนละเรื่องกับการเป็นลูกศิษย์แต่กลายเป็นลูกจ้างแทน แล้วท่านก็ให้ผมทำงานได้ค่าตอบแทนเป็นเงินวันละ 10 บาท  

“แต่ทำงานได้ไม่เท่าไหร่ผมก็โดนส่งตัวไปกรุงเทพฯ ไปเขียนจิตรกรรมฝาผนังได้ราว 2 ปี เมื่อมีอายุครบ 20 ปี จึงต้องกลับมาบวชเป็นพระ หลังจากบวชพระผมก็ไปเป็นทหารเกณฑ์ทันที ตรงนี้แหละที่ทำให้ชีวิตผมได้รับประสบการณ์ที่ต้องต่อสู้กับชีวิตด้วยความอดทน เพราะผมเป็นโรคภูมิแพ้ทะเลซึ่งเป็นอยู่ก่อนแล้วแต่ดันไปได้เป็นทหารเรือ โรคภูมิแพ้ของผมแพ้ตั้งแต่น้ำทะเลไปจนถึงอาหารทะเล

“อาการคือมันทำให้ผิวหนังเน่าไปทั้งตัวทางค่ายทหารส่งไปโรงพยาบาลข้างนอก โรงพยาบาลเขาก็ไม่รับส่งกลับมาทางค่ายอีก เวลานอนก็นอนไม่ได้ เวลาฝึกก็ฝึกไม่ได้ ต้องไปนั่งตามโคนไม้ แมลงวันเป็นฝูงก็มาเกาะเต็มไปหมด เหมือนกับว่าผมไม่เหมาะในสังคมนั้น ผมอยู่ได้แค่ 2 เดือนเขาก็ไล่กลับบ้านไม่ให้กลับมาอีก คือกลับมาอาจต้องตายแน่เพราะโรคที่เป็นมันยากที่จะรักษา ผมได้ย้ายรายชื่อในทะเบียนบ้านไปอยู่ที่ค่ายทหาร เมื่อออกมาก็เลยทำให้ผมเป็นบุคคลหนีทหารทันที 

“เมื่ออยู่นอกค่ายผมก็ต้องดิ้นรนรักษาตัวเอง ทำอย่างไรล่ะเพราะผมไม่มีเงินเลย โชคดีที่ยังมีวิชาปูนปั้นติดตัวมา ผมก็รับงานปั้นเพื่อเอาเงินมารักษาตัวเองจนกระทั่งหายเป็นปกติหลายปีต่อมารัฐบาลมีการประกาศนิรโทษกรรมบุคคลหนีทหาร ผมก็เข้าไปที่ค่ายนำชื่อตัวเองกลับออกมาทำให้สามารถทำธุรกรรมได้เหมือนคนไทยปกติ”

หลังจากนั้นอาจารย์ทองร่วง จึงมุ่งมั่นทำงานปูนปั้นอย่างเต็มความสามารถ แม้จะไม่ได้มีครูสอนเหมือนคนที่เรียนในมหาวิทยาลัย แต่อาศัยครูพักลักจำและศึกษาด้วยตัวเอง จนงานปูนปั้นนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสร้างชื่อเสียงให้ท่านในเวลาต่อมา

“ผมก็มุ่งหน้าทำงานเรื่อยมาแต่ด้วยความที่ไม่ได้คิดเหมือนคนอื่น เราทำอะไรต้องเจาะลึกให้ทะลุทุกเรื่อง อย่างเรื่องการปั้นศาลาวัด การจะทำงานชิ้นนี้ได้บางคนมองว่าไม่น่ายาก แต่ความจริงแล้วผมต้องไปศึกษาศาสตร์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานออกแบบ เพราะผมไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัยที่เขามีหลักสูตรให้นักศึกษาเรียน ก็เลยต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มผู้รับเหมา อะไรที่เราทำได้เราก็ช่วยเขาทำโดยที่ไม่ต้องมีค่าแรง ทำแบบนี้ก็เพื่อเอาความรู้

“พอมาถึงการปั้นปิดทองซึ่งเราทำไม่ได้ ก็ต้องเหมางานเองแล้วจ้างช่างปิดทองมาทำ จึงแอบขโมยวิชาความรู้จากเขาวันละนิดเพราะเขาจะไม่สอนกันโดยตรง อะไรที่เราทำไม่ได้เราก็ต้องไปหาจนกว่าจะได้เมื่อครบแล้วจึงเป็นองค์รวมของความรู้ที่หลากหลาย

“เมื่อพูดถึงงานปูนปั้นความจริงแล้วมันเป็นงานช่างแขนงหนึ่งอยู่ในกลุ่มของช่าง 10 หมู่ งานปูนปั้นของเพชรบุรีเป็นงานปูนปั้นประเพณีไม่ใช่งานศิลปะซึ่งหมายความว่าเขาทำลวดลายเดิมสืบต่อทำตามกันมาตั้งแต่โบราณ เป็นแนวประเพณี เหมือนงานลอยกระทงปีนี้ทำแบบนี้ปีหน้าก็ทำแบบเดิม หรือแห่เทียนพรรษาก็เหมือนกันแต่งานศิลปะมันมีชิ้นเดียวใครจะทำเลียนแบบไม่ได้ แต่งานแนวประเพณีเลียนกันไปมาไม่มีใครว่า”

แม้งานปูนปั้นแนวประเพณีของอาจารย์ทองร่วงจะมีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมอยู่พอสมควร แต่มันยังไม่พอสำหรับท่าน ในช่วงปี 2518 หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยเสียงในสภาแค่ 18 เสียง เป็นรัฐบาลที่มีจัดทำโครงการต่าง ๆ สู่ชนบทมากมาย เมื่อเป็นเช่นนี้อาจารย์ทองร่วงจึงเกิดไอเดียอย่างที่สมัยนั้นไม่เคยมีใครทำมาก่อนคือปั้นหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช แบกฐานพระเพื่อให้คนจดจำและศึกษาสิ่งที่ท่านทำ ตรงนี้เองสร้างกระแสฮือฮาของยุคนั้น
มากพอสมควร

“ในปีที่จัดครบรอบ 25 ปี 14 ตุลาคม 2516 มีนักข่าวมาถามผมว่าจะเอางานอะไรไปแสดง ผมตอบไปว่าผมจะปั้นเรื่องของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน กับ โมนิก้า ลูวินสกี้ เจ้าหน้าที่ฝึกงานทำเนียบขาวที่มีความสัมพันธ์กันแบบลับ ๆ นักข่าวรอยเตอร์พอทราบข่าวว่าผมจะปั้นรูปนี้ก็ตามมาหาผมที่บ้านตั้งแต่เช้าเลย 

ในตอนนั้นผมปั้นตัวละครมีนักการเมืองไทยคุณสมัคร สุนทรเวช, คุณชวน หลีกภัย, บิล คลินตัน และ โมนิก้า ลูวินสกี้ ซึ่งสมัยนั้นผมปั้นโดยที่ไม่มีรูปใครเลยสักคนอาศัยความจำจากการดูทางทีวี เหมือนโชคดีที่ผมปั้นคลินตันเหมือน ก็เลยมีการตีข่าวออกไปทั่วโลกจากงานปั้นในครั้งนั้น

“แนวคิดแบบนี้ผมไม่อยากบอกว่าเราต้องรู้กระแสโลก แต่หลักสำคัญจริง ๆ ที่ผมทำต้องรู้กระแสธรรม เหตุและผลต้องสอดคล้องกันเราไม่ต้องกลัวว่าเราลงทุนสร้างเหตุแห่งความดีงามแล้วผลที่ออกมามันไม่ดีคงไม่ใช่ เพราะเหตุมันย่อมสมกับผลที่ออกมา หลักคิดอย่างนี้ถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น

“แต่ถามว่าทุกคนอยากเด่นอยากดังกันทั้งนั้น ถ้าคนอยากรวยขอให้เขาขยันแบบถูกวิธีก็สามารถรวยขึ้นมาได้ แต่การอยากมีชื่อเสียงให้คนยอมรับนับถืออาจทำได้ไม่เหมือนกัน สำหรับคนที่ไม่ได้สะสมปัญญามาก่อนหน้านี้มันอาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีปัญญาเพียงแต่เขาไม่ได้สะสมมันไว้ตั้งแรก เมื่อนำมาใช้กับวิถีชีวิตของงานก็ทำให้ติดขัดเหมือนคนที่ไม่ได้ฝึกหัดมาก่อน

“ความอดทนมันเหมือนเป็นพรสวรรค์ การที่ผมเจ็บป่วยผมต้องเอาชีวิตรอดด้วยตัวเอง ไม่ใช่ด้วยหมอรักษาผมร้อยเปอร์เซ็นต์นะ แต่รู้จักเอาตัวรอด ผมให้ความสำคัญกับการทำความรู้จักกับตัวเราให้มากที่สุดแล้วเอาตัวรอดกลับมาให้ได้ ผมเคยมีคดีความเรื่องที่ดิน เรื่องบ้าน ค้าขาย ถูกฟ้องเป็นความขึ้นโรงขึ้นศาล ในยุคหนึ่งผมเผยแพร่อุดมการณ์ทางการเมืองจึงถูกหมายหัวจากรัฐ ถูกมือปืนตามยิง มีหนี้สินหลายสิบล้านบาทแต่ก็พาครอบครัวญาติพี่น้องผ่านสถานการณ์เลวร้ายมาได้ประสบการณ์ชีวิตเหล่านี้แหละ จะหล่อหลอมให้เรามีความต่างจากคนอื่น

“บางคนสงสัยว่าอาชีพช่างปั้นทำให้มีกำไรเยอะหรืออย่างไรถึงได้มีที่ปลูกบ้านซื้อที่ดินมากมาย ผมบอกเลยว่าช่างปั้นแทบจะไม่พอกินอยู่ได้ไปวัน ๆ เท่านั้น เพราะในขณะที่ปั้นผมรู้สึกได้ว่าต้องสอนคนให้เป็นก็พอแล้ว อย่างการรับงานทำโบสถ์มาหลังหนึ่งผมจะรับคนมาทำ วิธีคือก็ต้องเอาเขาไปปล่อยไว้กับงาน ตอนแรกก็เบิกเงินให้เขา ตอนหลังก็ลองให้เขาเบิกเงินเองบ้าง พอเห็นว่าเขาไม่เอาเปรียบวัดไม่เหลวไหลผมจะยกงานชุดนี้ให้เขาไปเลย แล้วผมก็ไปหางานที่อื่นต่อ พอได้งานก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ นี่คืออาชีพที่ผมรับเหมา ผมไม่ได้ทำเป็นรูปบริษัทที่เอาเงินทุกบาทมากองรวมที่ตัวเองหักลบส่วนที่เหลือกำไรแล้วจ่ายลูกน้อง ไม่ใช่ คือผมยกมอบงานให้คนอื่นไปเลย เอาไปทำให้เป็นอาชีพของเขา เขาก็ไปรับเหมามีเงินเลี้ยงดูครอบครัวต่อไป ส่วนผมมีหน้าที่เพียงฝึกคนให้เติบโตไม่ได้สนใจหาเงินทองจากตรงนี้ นี่คือวิถีทางงานปูนปั้น

“แต่ที่ผมพอมีเงินได้เพราะตอนที่เป็นเณร ผมได้พระสมเด็จพิมพ์ใหญ่มาสององค์ หนึ่งองค์ผมเอาไปให้ลูกของเพื่อนแขวนคอ เขาเอาไปได้เพียงสองอาทิตย์ก็มาถามว่าปล่อยเท่าไหร่ ผมก็บอกแล้วแต่ว่าจะปล่อยเท่าไหร่ผมก็เอา หนังสือพิมพ์ที่มีราคาพระสมเด็จไปเทียบซึ่งก็หลายสิบล้านอยู่ ในเวลาต่อมาพ่อเขาก็เอาเงินมาให้ผมครั้งละล้านสองล้านผมก็เอาเงินมาซื้อของเก่าปลูกบ้านซื้อที่ดิน วิถีชีวิตผมเป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่ามีอาชีพรวยเงินรวยทองอะไร”

อาชีพช่างปูนปั้นของอาจารย์ทองร่วงนั้น ล้วนแล้วแต่สร้างคุณค่าให้อาคารสถานที่ต่าง ๆ มากมาย แต่งานชิ้นอันเป็นที่น่าจดจำมากที่สุดในชีวิตคือการที่ได้รับเชิญจากกรมศิลปากรในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศิลป์ สถาปัตยกรรมและประติมากรรมไทย ในโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระบรมมหาราชวัง ในช่วงเตรียมการฉลอง 200 ปีกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งท่านเปรียบเสมือนหัวหน้าทีมนำช่างหลายร้อยชีวิตไปทำงานชิ้นสำคัญแม้จะมีอุปสรรคในช่วงแรกบ้างแต่ในท้ายที่สุดก็ลุล่วงไปด้วยดี

“วันหนึ่งผมได้รับเชิญจากกรมศิลปากรให้มาช่วยบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระบรมมหาราชวัง ก็พยายามหาเหตุผลว่าทำไมถึงจ้างผมมาคุมงานใหญ่ระดับประเทศทั้งที่ผมจบแค่ ป.4 อีกทั้งกรมศิลปากรก็มีคนเก่งมากมาย ผมก็ถามอาจารย์ท่านหนึ่งที่มาเชิญผมก็สรุปได้ว่า ในคราวที่ผมเคยทำงานที่วัดอัมพวันซึ่งเกิดมีความเห็นไม่ตรงกันขึ้น เมื่อใช้เหตุผลในเนื้องานท่านจึงยอมจำนนกับผม ด้วยเหตุนี้เองท่านจึงเห็นแววว่า ถ้าผมมาทำงานชิ้นนี้
ก็จะมีคนที่สามารถถกเถียงด้วยเหตุผลเช่นเดียวกับที่เคยทำมา

“เมื่อเข้าไปทำงานบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระบรมมหาราชวัง ก็เจออุปสรรคเยอะมากเพราะต้องมีการสั่งแก้ไข ควบคุมคนงาน ถกเถียงปัญหามากมาย ซึ่งผมไม่กลัวว่าใครจะมาว่าผม เพราะผมเอาเรื่องงานที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญแต่ปัญหาใหญ่คือโครงการนั้นสำนักงบประมาณให้เงินมาเพียง 8 ล้าน 7 แสนบาท ทั้งที่ต้องใช้เงินเป็นร้อยล้านบาท 

“ในช่วงเริ่มงานผมขนช่างร้อยกว่าคนไปเช่าบ้าน แถมมีค่าล่วงหน้า 3 เดือนแล้วผมต้องหาเงินจ่ายค่าล้วงหน้า และค่ากินอีกเพราะบางคนไม่มีเงิน พอทำไปไม่กี่เดือนมีการแจ้งว่าเงินหมดทำต่อไม่ได้ ผมก็บอกให้หาเงินสิเขาก็ไม่รู้ว่าจะหายังไงกัน ผมบอกว่าถ้าให้ผมหาเงินมาได้คุณต้องฟังผมทุกเรื่องนะ ผมก็คิดโครงการทำเหรียญวัดพระแก้วขึ้นมาทั้งที่ไม่เคยทำกันมาก่อน ส่งหนังสือไปที่สำนักพระราชวังกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เมื่อทรงอนุญาตก็มีการออกแบบจัดทำโดยอาจารย์พินิจ สุวรรณะบุณย์ แล้วเปิดจองเหรียญขึ้นทันที ยอดเงินจองเดือนเดียวเข้ามา 200 ล้านบาท โดยเงินส่วนนี้ยังพอเหลือมาในปัจจุบัน ผมก็แนะนำให้จ้างช่างประจำสัก 5-6 คน คอยซ่อมแซมตลอดไม่ให้ทรุดโทรมอีก

“การบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระบรมมหาราชวัง เป็นงานที่เราต้องคำนวณทุกอย่างแทบทั้งหมดแล้วตีเป็นค่างบประมาณออกมาตรงจุดนี้ต้องแม่นยำ ต้องเรียนรู้อย่างรวดเร็วในงานที่ไม่เคยรู้มาก่อน ทางกรมศิลปากรมีปัญหาอะไรก็ต้องแก้ปัญหาให้เขาได้ การบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระบรมมหาราชวัง ครั้งนั้นสมเด็จพระเทพรัตนฯ ท่านเป็นองค์ประธาน เวลาท่านเสด็จทรงงานกรมศิลป์จะให้ผมไปถวายรายงานเวลาท่านสงสัยอะไรผมก็จะอธิบายทุกครั้งจนเสร็จสิ้นโครงการ” 

เมื่อผ่านงานบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระบรมมหาราชวังและมีผลงานการปั้นในรูปแบบต่างมามากมายนับไม่ถ้วน จึงเหมือนเป็นใบเบิกทางอย่างหนึ่งที่ทำให้อาจารย์ทองร่วงได้เป็นศิลปินแห่งชาติ ทำให้เด็กรุ่นใหม่ศรัทธาในความรู้ ที่ท่านสามารถสอนได้ทุกเรื่องในงานช่างปูนปั้น จึงเป็นที่มาของการเปิดเป็นกลุ่มศิลปะปูนปั้น จังหวัดเพชรบุรี อาจารย์ทองร่วง เอมโอษฐ ขึ้นมา

“ที่ผมเปิดศูนย์นี้ขึ้นก็เพื่อให้ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับปูนปั้นซึ่งมันไม่อยู่ในระบบให้มันเข้าระบบ ศูนย์แห่งนี้ไม่ใช่ว่าสอนแต่เด็กที่ไม่เป็น แต่คนที่เป็นแล้วก็เข้ามาเรียนได้ เพราะมันเหมือนชั้นเรียนที่มีระดับ เช่น ประถม มัธยม ปริญญาตรี  โท เอก เข้ามาพูดคุยกันต่อยอดงานช่างปั้นชักนำไปในทางที่ถูก อย่าให้เขาเห็นว่าแค่เพียงรับจ้างกิน มีเงินเหลือเยอะแล้วดีมันไม่ใช่ ซึ่งผลงานมันมีค่ามากกว่าเงิน แม้บางกลุ่มเขาแหกคอกเห็นเงินสำคัญกว่าคุณธรรมก็มี แต่เขาก็จะได้รับผลกรรมของเขาเอง

“อย่างการทำงานเกี่ยวกับวัดบางทีก็มีสิ่งต้องห้ามผมเคยห้ามช่างคนหนึ่งไม่ให้เขาขึ้นไปทำงานบนพระปรางค์ แต่เขาไม่เชื่อ พอขึ้นไปทำสักพักก็ป่วย หรือมีพวกขโมยขุดหาสมบัติใต้ฐานเจดีย์เพื่อหาพระเครื่องกันตลอด มีอยู่วัดหนึ่งพวกนักขุดหาไม่เจอ แต่ผมขุดเจอพระบูชาสมัยทวารดี สมัยลพบุรีมีตลับเงิน เหล็กไหล ผมก็เอาของเข้าวัดเพื่อ
เก็บเอาไว้

“แต่พอผ่านไปสามวันผมเข้าไปที่วัดถามหลวงพ่อว่าของที่ขุดพบอยู่ที่ไหน หลวงพ่อบอกไม่มีแล้วท่านบอกว่าอยู่ที่ธนาคาร กลัวขโมย คือยังไงแกก็ไม่ให้ดู จนกระทั่งมีการซ่อมพระปรางค์ ผมห้ามเจาะแต่เจ้าอาวาสก็ให้ช่างเจาะเอาของไปขายอีก เชื่อไหมว่าคนที่เจาะเอาของไปขายกลับไปนอนป่วยแถมไฟไหม้บ้านหมดเลย แล้วไม่นานหลวงพ่อก็เสียชีวิต คือสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นจริง การเป็นช่างจึงต้องมีจรรยาบรรณเวลาไปพบก็ส่งคืนหลวง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของแผ่นดิน”

แม้อาจารย์จะทำงานปูนปั้นมาหลายรูปแบบทำงานผ่านเรื่องราวมามากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงไม่ลืมคือการได้มีโอกาสรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่จังหวัดเพชรบุรี

“ช่วงเวลาที่ผ่านมาผมเห็นในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานมาโดยตลอด ท่านมีความสนใจในหลายด้านแม้แต่เรื่องเล็กน้อยท่านก็ไม่ละเลย โดยส่วนตัวผมเคยเข้าเฝ้าท่านในช่วงที่จังหวัดเพชรบุรีได้จัดถวายเรือนกฤษณาให้แก่สมเด็จพระเทพรัตนฯ โดยท่านตั้งชื่อว่าเรือนปั้นหยา ทางจังหวัดก็มีการจัดการปรับปรุงเรือนให้สมพระเกียรติท่านผู้ว่าราชการจังหวัดก็มาปรึกษาผมว่าจะแต่งเรือนอย่างไร เพราะเฟอร์นิเจอร์น้อยเกินไป ผมก็เลยเชิญท่านผู้ว่าให้มาที่บ้านผมคืออยากได้อะไรก็ขนเอาไปเลย แต่มีข้อแม้ว่าต้องเอาผู้เชี่ยวชาญมาเลือกเท่านั้น ท่านผู้ว่าก็ให้อาจารย์วนิดา พึ่งสุนทร ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะสถาปัตยกรรม (แบบประเพณี) ประจำปี 2546 มาเลือกไปจัดให้เรือนสวยงาม

“เมื่อถึงวันที่สมเด็จพระเทพรัตนฯ เสด็จปรากฏว่าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ท่านทรงเสด็จมาด้วย ท่านก็โปรดเรือนนี้มาก สมเด็จพระเทพรัตนฯ ท่านก็แนะนำผมว่าเป็นคนที่เคยถวายงานซ่อมวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ผมปลื้มใจเป็นอย่างมาก

“วันนี้ผมจึงอยากทำอะไรตอบแทนพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 บ้าง ก็เห็นคนอื่นเขาทำกิจกรรมกัน ผมคิดว่าเรื่องพระมหาชนกเป็นบทพระราชนิพนธ์ของท่าน แล้วกลุ่มของเราเป็นงานปูนปั้น ก็เลยอยากจะทำให้เป็นอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงพระองค์ท่าน โดยกำลังสร้างเรือมาหนึ่งลำเรือเป็นลวดลายนูนต่ำ แต่ภายในจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนรวมความไม่เป็นธรรมของสังคมเป็นการบันทึกเรื่องราวไปในตัว มันเป็นสิ่งที่มีค่า แทนที่จะบันทึกเป็นตัวอักษรก็เป็นภาพสัมผัสได้ขึ้นมาเหล่านี้เองคือคุณค่าของงานปูนปั้นที่สืบทอดกันมาอย่างช้านาน”

 

THE ART OF STUCCO บรมครูช่างปูนปั้นเพชรบุรี