ธชย ประทุมวรรณ

ธชย ประทุมวรรณ

แม้ศิลปินหนุ่มผู้มีเอกลักษณ์ทางด้านดนตรีและคาแรกเตอร์ที่จัดจ้าน อย่าง ‘เก่ง–ธชย ประทุมวรรณ’ จะผ่านมาแล้วหลายเวที ไม่ว่าจะเป็นเวทีเล็กหรือเวทีใหญ่อย่าง Coke Music Awards หรือ The Voice Thailand Season 1 ซึ่งทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่จุดหมายปลายทางของเขาไม่ได้หยุดแต่เพียงเท่านี้ ล่าสุดเขาได้ท้าทายความสามารถของตัวเองไปประกวดเวทีระดับโลก! เรามาสัมผัสความคิดและมุมมองของหนุ่มคนนี้ให้มากขึ้นกว่านี้กัน

“พูดถึงเรื่องการร้องเพลง เก่งมาจากสายประกวดนะ เพราะคิดว่าการประกวดมันเป็นเวทีในการฝึกซ้อม ซึ่งเกิดผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว อย่างพอใกล้จะแข่งแล้วก็ต้องร่นระยะทุกอย่างให้เกิดความเข้มข้น พร้อมประกวด เราก็อยู่แบบนี้มาตลอดเลยตั้งแต่รู้จักดนตรีมา เป็นคนกระหายการประกวดมาก คือจะให้ตัวเองหยุดประกวดไม่ได้จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้คาดหวังรางวัลหรืออะไร คือไม่รู้ว่าอยากประกวดทำไมเหมือนกัน อธิบายไม่ถูก เหมือนเราชอบอะไรบางอย่างแต่หาเหตุผลหรือคำจำกัดความไม่ได้ว่าทำไมถึงชอบ

“เวทีแรกเลยประมาณอายุ 15 ปี เป็นการประกวดวงดนตรีสากลของ ม.ทักษิณ ร้องเพลงชะตาชีวิต เวทีแรกก็ไม่ได้รางวัล พอเวทีถัด ๆ มาก็ถือว่าเป็นการซ้อม เคยแข่งร้องเดี่ยวครั้งแรกรุ่นประชาชนแล้วได้ที่ 1 พอย้อนกลับไปดูมันทำให้เราเป็นคนทะเยอทะยานเหมือนกันนะ ให้ตัวเองเป็นคนมีอีโก้ จำได้ว่าเพลงที่ทำให้เรามีลูกคอคือเพลง ขอให้เหมือนเดิมของวงบูโดกัน เป็นเพลงแรกที่ทำให้เราฝึกลูกคอเองโดยที่ไม่รู้ว่ามันคือลูกคอ”

แล้วชีวิตของเขาก็มาถึงจุดที่พลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือจากการประกวดเวที The Voice Thailand เขากลายเป็นบุคคลสาธารณะ มีชื่อเสียง และมีผลงานเพลงติดหูออกมาให้ฟังอีกหลายบทเพลง แต่แม้กาลเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่เขาก็ยังคงเอกลักษณ์สไตล์เก่ง ธชย อยู่เสมอ

“ผมต้องทำความเข้าใจกับตัวเองหลายอย่างว่าการเป็นคนสาธารณะต้องทำยังไง ปกติผมเป็นคนขี้อายนะ ถึงแม้จะแต่งตัวแรง ถ้าขึ้นไปร้องเพลงเฉย ๆ จะร้องไม่ออกหรอก แต่เราชอบที่จะร้องเพลง เพราะมันเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องทำ คือคนตัดสินแล้วว่าเขารู้จักเรา แต่เราไม่ได้รู้จักทุกคน ฉะนั้นก็ต้องยิ้มอย่างเดียวเลย ถ้าเกิดทำหน้านิ่งปุ๊บก็ถูกตีหน้าแล้วว่าหยิ่ง

“ทุกอย่างมันตกตะกอนมาตอนเวที The Voice แหละ ไม่ใช่แค่สไตล์และความเป็นตัวเองนะ แต่ผ่านเรื่องธุรกิจดนตรีด้วย เพราะพอจบเวที Coke Music Awards ผมมีโอกาสได้ทำเพลง ได้รู้ถึงชีวิตจริงของสังคมการทำเพลงว่าค่ายเพลงตีเราเป็นสินค้า ตอนนั้นเรารู้สึกรับไม่ได้ แต่พอมาถึงจุดของมันก็ต้องยอมรับ เราเลยเข้าร้านหนังสือไปหาหนังสือธุรกิจมาอ่าน แล้วเจอหนังสือที่ชื่อว่า ‘ทวนกระแสธุรกิจคิดต่าง ไม่มีทางตัน’ เป็นหนังสือแปลญี่ปุ่น ได้นั่งอ่านแล้วตั้งโจทย์ว่าถ้าแบรนด์เราชื่อ เก่ง ธชย เราจะทำยังไงให้มันดัง บวกกับ The Voice มาเป็นเวทีทดลอง ขั้นแรกของผมเลยคือการรีแบรนด์ดิ้ง เปลี่ยนชื่อ หาคาแรกเตอร์ เปลี่ยนทรงผม ทุกอย่างอยู่ภายใต้กรอบที่ว่าแตกต่างแต่ทำตามได้ง่าย ถ้าเกิดการก็อปปี้แปลว่าแบรนด์ของคุณเกิดการขยาย หรือแม้กระทั่งการเลือกเพลง ต้องทำให้คนรู้สึกว่า เป็นเพลงที่คุ้นเคยแต่ไม่คุ้นเคยต้องทำยังไง ทุกอย่างผ่านกระบวนการคิดมาหมด”

ล่าสุดเขาได้เป็นตัวแทนประเทศไทย โชว์ดีดจะเข้แข่งขันบนเวทีประกวดด้านการแสดงระดับโลกอย่าง World Championships of Performing Arts ครั้งที่ 20 (WCOPA 2016) ที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา โดยคว้ารางวัลมาทั้งหมด 27 รางวัล

“เป็นช่วงที่เฟลของชีวิต ทุกคนอาจมองว่าเก่งประสบความสำเร็จแล้ว แต่สำหรับเราเองมองว่ายังเลย บวกกับเราเริ่มเบื่อกับกิจวัตรเดิม ๆ ก็คือออกเพลง ออกอีเว้นท์ เดินสายโปรโมท ซึ่งตอนนั้นก็ได้ออกจากสังกัดแล้วมีโอกาสได้มาทำงานเอง แต่ยังรู้สึกว่า เรามีความสามารถแค่นี้เองเหรอ เราน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ แล้วช่วงนั้นเวที WCOPA มาพอดี เลยได้มีโอกาสไปเป็นโค้ชตัดสิน ก่อนที่จะขอถอนตัวจากการเป็นกรรมการแล้วไปสมัครเอง เพราะเห็นว่ามันเป็นโอกาส ไม่ผ่านก็ได้ไม่เป็นไร สุดท้ายก็ผ่านเป็นหนึ่งในยี่สิบห้าทีม บางคนถามว่าทำไมเก่งต้องแข่ง ผมคิดว่ามันไม่ใช่เวทีแข่งตลาดน้ำ แต่นี่คือเวทีแข่งระดับโลก ทุกคนสามารถทำเพื่อประเทศชาติได้หมด เราเชื่อว่าไปตรงนั้นน่าจะมีใครหลาย ๆ คนที่เห็น 

“การแข่งเวทีนี้เหมือนเป็นผลงาน Masterpiece ที่สุด ได้ร้องเพลงหลาย ๆ เพลงที่อยากร้องมานานแล้วไม่ได้ร้อง ผมร้างราจากเวทีประกวดสามถึงสี่ปี การร้องอีเว้นท์ไม่ได้ช่วยให้พัฒนาศักยภาพในชีวิตผมเลย คือมันได้พัฒนาศักยภาพของการเอ็นเตอร์เทน แต่ในเรื่องของพลังและทักษะนั้นไม่ได้ซ้อม เวทีนี้ผมลงแข่ง 19 ประเภท ซึ่งผมไม่คิดว่าจะไหวด้วยซ้ำ ได้ทำดนตรี 19 เพลง 19 โชว์ ปวดหัวมาก ผมต้องกลับไปวอร์มเสียงใหม่ ได้กลับไปรื้อฟื้นเพลงโชว์พลังต่าง ๆ หรือใช้เทคนิคบางอย่างในการร้องที่แบบสะใจ แล้วรู้สึกสนุก เวทีนี้ทำให้กลับมาเป็นเก่งที่มีอินเนอร์ มีพลังอีกครั้ง”

ผลงานเพลงในปี 2017 เขาจะปล่อยอัลบั้ม ‘สังเคราะห์แสง’ อย่างเต็มตัว โดยแนวดนตรีเขาบอกว่า ไม่เชิงเป็น World Music แต่เขาบัญญัติว่าเป็นแนวอาคเนย์ป็อป ซึ่งมีกลิ่นอายความเป็นเอเชียอาคเนย์ ก่อนจบการสนทนาเขาทิ้งท้ายว่า

“เอกลักษณ์สำหรับคนเป็นศิลปินมันสำคัญมากนะ เพราะมันจะเป็นคำตอบว่าคุณมีวิญญาณหรือเปล่า ถ้าคุณมีมันจะแสดงออกให้เห็นว่าคุณมีตัวตน มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งทุกคนมีแหละ แต่ว่ามันจะชัดเจนขนาดไหนล่ะ ต้องขยันอย่าเหลวไหลและต้องมีความรับผิดชอบสูงทีเดียวกับความฝันของคุณ เพราะว่าความสำเร็จของคุณ 100% มาจากตัวเองไม่ใช่จากคนอื่น คนอื่นเขาพูดสักวันเขาก็ลืม สุดท้ายเราเองเป็นคนแบกรับทั้งหมด ไม่ว่าจะดีหรือเลว ดังนั้นต้องอย่าเหลวไหลแล้วทำมันอย่างเต็มที่” 

ศิลปินหนุ่มผู้มีเอกลักษณ์ทางด้านดนตรีและคาแรกเตอร์ที่จัดจ้าน เก่ง–ธชย ประทุมวรรณ ผ่านเวทีใหญ่อย่าง Coke Music Awards หรือ The Voice Thailand Season 1